ณ รุ่งอรุณวันใหม่ ลั่วชิงอีที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้า หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางก็นั่งสมาธิเดินลมปราณอยู่ภายในห้องสักพักใหญ่
เมื่อคืนวาน นางได้เริ่มวางลำดับแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อที่จะชำระแค้นและทวงความยุติธรรมให้แก่แม่หนูลั่วชิงอี ทว่าก็ต้องพบเข้ากับปัญหาอย่างใหญ่หลวง ซึ่งปัญหาที่พบก็คือ เงิน
ใช่แล้ว! สิ่งที่ขาดแคลนมากที่สำหรับลั่วชิงอีก็คือ เงิน หากไม่มีเงิน แผนที่ตัวนางเอาคิดเอาไว้ก็จะสูญเปล่า
ทว่าพอหลังจากสำรวจความทรงจําจึงได้รู้ว่าแม่หนูลั่วชิงอีคนเก่านั้นมีเงินเก็บอยู่เพียงแค่ 4 เหรียญทอง สําหรับคนทั่วไปเงินจำนวนนี้พวกเขาอาจใช้ได้เป็นเดือน แต่สําหรับนายน้อยหรือคุณหนูของตระกูลใหญ่ เงินจำนวนเท่านี้มันน้อยเกินไป อย่าว่าแต่ตระกูลใหญ่เลย แม้แต่นายน้อยหรือคุณหนูตระกูลชนชั้นกลางก็ยังได้รับเบี้ยเลี้ยงต่อวันมากกว่าแม่หนูลั่วชิงอีหลายเท่านัก
“ทำไมข้าถึงได้จนเยี่ยงนี้กัน?” ลั่วชิงอีเอ่ยด้วยเสียงขมขื่น ใบหน้างามประหนึ่งเทพธิดาแสดงสีหน้าเวทนาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เกือบลืมไปเลย ข้าเป็นถึงเซียนโอสถ แค่ปรุงโอสถขายก็สิ้นเรื่อง…”
หลังจากเอ่ยจบ ลั่วชิงอีก็ลุกออกจากเตียงนอน และเตรียมตัวที่จะออกไปซื้อสมุนไพรในเมือง
ทว่าพอนางเดินออกมาจากเรือนได้สักพัก และกำลังจะเดินออกไปจากซุ้มประตูตระกูลลั่ว จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะ ถากถาง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของลั่วชิงอี
“นางแพศยา เจ้ากลับมาได้ยังไงกัน? ใครเป็นคนไปช่วยเจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ…”
เมื่อหันกลับไปมองยังต้นทางของเสียง ก็พบว่าเสียงนั้นมาจากเด็กสาวผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่กำลังเดินมาพร้อมกับเด็กสาวผมสีแดงเพลิง
จากความทรงจำของแม่หนูลั่วชิงอีคนเก่า เด็กสาวผมน้ำตาลนั้นคือ ลั่วเหมย และเด็กสาวผมสีแดงเพลิงคือ ลั่วฮวา
ซึ่งเด็กสาวทั้งสองคนนี้ คือหนึ่งในกลุ่มเด็กสาวที่วางยาพิษแม่หนูลั่วชิงอี และแน่นอนว่าทั้งสองคนเป็นเพียงแค่ลิ้วล้อเท่านั้น ทว่าคนที่เป็นคนคิดแผนการอันโหดร้ายนี้ออกมาก็คือ ลั่วหลิงเฟย ลูกสาวคนรองของรองประมุขตระกูลลั่ว
ลั่วชิงอีที่เห็นว่าเป็นเด็กสาวสองคนนี้ แววตาสีฟ้าทะเลก็ฉาบฉายความไม่เป็นมิตรออกมา น้ำเสียงเย็นชาประหนึ่งก้อนน้ำแข็งพันปีเอ่ยตอบคำถามกลับไป
“ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า…”
“ฮือ กล้าพูดจาเช่นนี้กับพวกข้างั้นเรอะ” เมื่อเด็กสาวทั้งสองคน ได้ยินคำพูดของลั่วชิงอี พวกเขาก็รู้สึกเดือดดาลจนใบหน้าดำทะมึน
ลั่วเหมย ลั่วฮวา จึงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาลั่วชิงอีอย่างไว เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของลั่วชิงอี พวกนางก็ยกมือขึ้นหมายจะตบสั่งสอนดั่งเช่นที่เคยทำเป็นปกติ
แต่! นี่…ไม่ใช่ลั่วชิงอีคนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเซียนโอสถเยว่หลันที่อยู่ในร่างของลั่วชิงอี
ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาที่ยอมให้ผู้อื่นรังแกโดยง่าย ในตอนนี้มีแค่เพียงเด็กสาวผู้เยือกเย็น เด็กสาวที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
“ไม่เจียมตัว…”
ในจังหวะที่ฝ่ามือของเด็กสาวทั้งสองคนกำลังจะกระแทกเข้ากับใบหน้าประหนึ่งเทพธิดา ลั่วชิงอีก็เบี่ยงตัวหลบอย่างฉับพลัน จากนั้นก็หมุนตัวกลับ ขาเรียวยาวเตะไปที่หน้าท้องของเด็กสาวทั้งสองคนอย่างแรง
ปั้ง!
ลั่วเหมย ลั่วฮวา เมื่อถูกขาเรียวยาวของลั่วชิงอีเตะเข้าไปที่หน้าท้องอย่างแรง ด้วยแรงกระแทกและความรุนแรงของการเตะ จึงทำให้ทั้งสองคนปลิวกระเด็นไปไกลหลายก้าว
ทว่าลั่วชิงอีไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ นางใช้ย่างก้าวเมฆาพุ่งเข้าไปหาเด็กสาวทั้งสองอย่างรวดเร็วดั่งสายลม
ผว๊ะะ ผว๊ะะ ผว๊ะะ
มือเล็กขาวนวลประหนึ่งหยกงามของลั่วชิงอี ตบเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองคนอย่างแรง จนใบหน้าของพวกนางเริ่มบวมจากการถูกตบซ้ำๆ เข้าไปที่จุดๆ เดียว
“เป็นอย่างไร? ความรู้สึกที่โดนคนอย่างข้าตบ” เสียงเย็นเยียบดังขึ้น ดวงตาสีฟ้าทะเลจ้องไปยังเด็กสาวสองคนเบื้องหน้าที่มีสภาพสะบักสะบอม ใบหน้าปูดบวมแดงก่ำ ด้วยแววตาเย้ยหยัน
“จะ…เจ้า” ลั่วฮวาที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมา ไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจนจบ ก็ถูกตบเข้าไปที่ใบหน้าอย่างแรง จนร่างบอบบางทรุดลงไปกองกับพื้น
“ข้าบอกให้เจ้าพูดหรือยัง?” น้ำเสียงเยือกเย็นดุจมัจจุราชดังขึ้น ม่านตาสีฟ้าทะเลจ้องไปยังร่างบอบบางที่ล้มพับลงไปกองกับพื้นอย่างเย็น
สายตาที่ลั่วชิงอีใช้มองลั่วฮวาประหนึ่งจักรพรรดินีกำลังมองไพร่อันต่ำต้อย
ร่างงามราวกับถูกออกแบบมาอย่างดีจากสรวงสวรรค์ ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างช้าๆ ไปยังเบื้องหน้าของลั่วฮวา
“หากข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าพูด เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด” แววตาโหดเหี้ยมประหนึ่งเทพแห่งความตายมองไปยังร่างบอบบางเบื้องล่าง ขณะเอ่ยออกมา ลั่วชิงอีก็ใช้เท้าเหยียบไปที่ข้อมือของลั่วฮวาอย่างแรง
“อ๊าาาาาา”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม เลือดสีแดงสดเปอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ
ลั่วฮวากรีดร้องอย่างโหยหวน ใบหน้าของนางเปอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แขนข้างที่ถูกลั่วชิงเหยียบนั้นมีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำ
“ขะ…แขนของข้า”
เสียงโหยหวน ตื่นตะหนก และหวาดกลัวดังขึ้น แขนข้างที่ถูกลั่วชิงอีเหยียบขาดออกจากกัน เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ปะ…ปีศาจ” ลั่วเหมยเมื่อเห็นลั่วฮวาถูกเหยียบจนมือขาด นางก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว นางมองไปยังร่างงามที่ยืนอยู่ด้วยสายตาประหนึ่งมองปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น
‘หนี! ข้าต้องหนี ไม่งั้นข้ามีสภาพไม่ต่างกันกับลั่วฮวาแน่’ เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบอบบางของลั่วเหมยก็หมุนตัวกลับและออกฝีเท้าอย่างไว
ทว่า…ก็สายไปเสียแล้ว!
ลั่วชิงอีกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง รัศมีลมปราณสีทองก็พวยพุ่งออกมาจากร่างงามอ้อนแอ้นอรชร
ในจังหวะที่ลั่วเหมยกำลังจะหนีไป ลั่วชิงอีก็ใช้ย่างก้าวเมฆาพุ่งไปทางด้านหน้าของลั่วเหมยเอาไว้
“ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วหรืออย่างไร?” ลั่วชิงอีเอ่ยเสียงเย็น
“ยะ…อย่า ทำไรอะไรข้าเลยนะ” ลั่วเหมยที่เห็นลั่วชิงอีมาปรากฏอยู่ด้านหน้าของตนเอง น้ำเสียงหวาดผวาก็ดังขึ้น ใบหน้าของนางขณะนี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา มือเล็กยกมือขึ้นทำท่าทำทางขอร้องอ้อนวอน
“เฮอะ…มาสำนึกตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อก่อนพวกเจ้าทำอะไรไว้ ข้าจะเอาคืนพวกเจ้าเป็นสิบเท่า! กลับไปบอกลั่วหลิงเฟย บอกให้นางเตรียมล้างคอรอไว้ได้เลย…” ลั่วชิงอีเอ่ยเสียงเย็น ทุกคำพูดของนางลัวนแฝงไปด้วยจิตสังหาร
ลั่วเหมยสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าทะเลของลั่วชิงอี นางก็ตัวสั่นขวัญผวา เพราะสิ่งที่นางเห็นในแววตาสีฟ้าทะเล แววตานั้นช่างเยือกเย็น โหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความปราณี ประหนึ่งดวงตานั้นเป็นดวงตาของปีศาจร้าย
“ดะ…ได้ ข้าจะไปบอกคุณหนูลั่วหลิงเฟยให้เจ้าเอง” น้ำเสียงสั่นกลัวตะกุกตะกักของลั่วเหมยดังขึ้น ใบหน้างามในยามนี้หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อสบเข้ากับดวงตาเยือกเย็นของลั่วชิงอี ร่างทั้งร่างสั่นเทิ่มด้วยความหวาดกลัวอย่างขีดสุด
ลั่วชิงอีเมืี่อเห็นร่างบอบบางที่สั่นเทิ่มด้วยความกลัว นัยน์ตาสีฟ้าก็ไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด ในแววตาของนางมีเพียงแค่เพียงความเย็นชา ไร้ซึ่งความปราณี
“แต่… ข้าคงให้เจ้ากลับไปในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ได้หรอก ไม่งั้นสหายของเจ้า คงได้ขาดทุนแย่” เอ่ยจบ มือเล็กขาวนวลก็เคลือบไปด้วยคลื่นลมปราณสีเขียวมรกต
ฉว๊ะะะะ!
“อ๊ากกกก” เสียงโอดครวญที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดยากจะบรรยายดังไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ตุ๊บ!
มีบางอย่างร่วงลงกระทบกับพื้นใกล้ร่างบอบบางของลั่วเหมย บริเวณตรงนั้นเอ่อหนองไปด้วยเลือดสีแดงสด
และสิ่งที่กระทบลงกับพื้นก็คือแขนคน ใช่แล้ว…แขนคน มันเป็นแขนของคนจริงๆ ซึ่งแขนนั้นไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็นแขนของลั่วเหมยที่โดนฝ่ามือเคลือบลมปราณสีเขียวอ่อนของลั่วชิงอีตัดจนขาด
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น แขนข้างที่ถูกตัดของลั่วเหมยมีเลือดไหลทะลักอย่างไม่หยุดหย่อน เลือดที่ไหลออกมานั้นราวกับน้ำตกที่ไหลลงสู่สายธาร
ลั่วเหมยทรุดลงกับพื้นอย่างร้อง นางกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเกินจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้
ม่านตาสีฟ้าทะเลของลั่วชิงอี มองไปยังร่างบอบบางด้วยเเววตาสมเพซ และเย้ยหยัน
“จงจำเอาไว้ว่า คนที่จะทำร้ายผู้อื่นได้ จะต้องเป็นคนที่เตรียมใจ โดนทำร้ายกลับเท่านั้น” เอ่ยจบ ลั่วชิงอีก็หมุนกายเดินจากไป ทิ้งไว้ซึ่งเสียงทุกข์ระทมอยู่เบื้องหลัง
.
.
หลังจากเดินออกมาจากตระกูลลั่ว ลั่วชิงอีก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ก็เดินมาถึงเขตการค้าในเมืองฟ้ากระจ่าง
พอมาถึงยังเขตการค้า เป้าหมายลำดับแรกของลั่วชิงอีก็คือ ร้านขายสมุนไพร ทว่าเมื่อพบร้านขายสมุนไพรร้านหนึ่งแล้ว ในจังหวะที่นางกำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในร้าน เหมือนในหัวของนางฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน ร่างงามจึงหยุดชะงักฝีเท้าและหมุนตัวจากไปทันที
“เกือบลืมไปเลยว่า ข้าในตอนนี้อยู่ในร่างของเด็กน้อย” ลั่วชิงอีเอ่ยขึ้น
การที่เดินเข้าไปซื้อสมุนไพรทั้งที่ยังเป็นเด็กน้อย ลั่วชิงอีจึงกลัวว่าจะโดนโก่งราคาเพราะเห็นว่าเป็นเด็ก ซึ่งตอนนี้เงินที่ตัวนางมีอยู่มันก็น้อยมากอยู่แล้ว หากยังโดนโก่งราคาไปอีกชีวิตต่อจากนี้ของนางคงจะลำบากไม่น้อย
ดังนั้นลั่วชิงอีจึงเลือกที่จะเดินไปยังร้านอาภรณ์ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านขายสมุนไพร
โดยลั่วชิงอีเลือกซื้อเสื้อคลุมอย่างดีของผู้ใหญ่สีดำมา 1 ชุด และผ้าคลุมสีขาวครึ่งหน้าอีก 1 ผืน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ราคาอยู่ที่ 1 เหรียญทอง หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย นางก็เดินออกจากร้านทันที
หลังจากเดินออกจากร้านขายอาภรณ์มาแล้ว ลั่วชิงอีก็เดินเข้าไปในตรอกที่ไม่มีผู้คน ก่อนจะใช้วิชาทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานของเหล่าเซียนเพื่อเพิ่มส่วนสูงและปรับเปลี่ยนโครงหน้าเล็กน้อย จนตอนนี้นางมีความสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ใบหน้าดูเหมือนผู้ใหญ่วัยสามสิมปี แต่ยังคงความงามประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์เอาไว้อยู่
เมื่อทำการจัดการรูปลักษณ์เสร็จสรรพ และสวมผ้าคลุมสีดำและผ้าคลุมครึ่งหน้าเอาไว้แล้ว ลั่วชิงอีก็เดินเข้าไปยังร้านขายสมุนไพรอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับขอรับท่านจอมยุทธ์…” เถ้าแก่ร้านขายสมุนไพรที่เห็นลั่วชิงอีเดินเข้ามาด้วยชุดคลุมสีดำ ก็เอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“เถ้าแก่พอจะหาสมุนไพรเหล่านี้ให้ข้าได้หรือไม่?” ลั่วชิงอีเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย พลางยื่นรายการสมุนไพรกว่า 10 ชนิด ที่เตรียมไว้สำหรับปรุงโอสถลมปราณระดับต่ำ ให้แก่เถ้าแก่ร้านขายสมุนไพร
พอเถ้าแก่รับใบรายการสมุนไพรจากลั่วชิงอีมาแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความตะลึง ปกติจะไม่ค่อยมีคนมาซื้อสมุนไพรมากนัก ส่วนมากคนที่มาซื้อล้วนแต่เป็นสำนักใหญ่ ที่มักจะมากว้านซื้อสมุนไพรอยู่เป็นประจำ
เนื่องจากนักปรุงโอสถในแคว้นจินหลงมีน้อยอย่างมาก ไม่ใช่เพราะว่าราคาวัตถุดิบแพงหรือหายาก แต่เป็นเพราะว่าคนที่จะนำวัตถุดิบเหล่านั้นมาปรุงเป็นเม็ดโอสถได้นั้นหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นนักปรุงโอสถจะมีสถานะสูงมากในแคว้นจินหลง
“เออ…มีขอรับ กรุณารอสักครู่” เถ้าแก่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขารีบเดินไปบอกให้ลูกน้องรีบไปนำสมุนไพรตามรายการของลั่วชิงมาทันที
“ทั้งหมดราคา 100 เหรียญเงิน ขอรับ” เถ้าแก่เอ่ยขึ้น พลางยื่นสมุนไพรที่ห่อไว้เป็นอย่างดี ให้แก่หญิงสาวในชุดคลุมดำเบื้องหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม
“งั้นข้าเอาทั้งหมด 10 ชุด แล้วก็เอาเตาปรุงโอสถมา 1 เตา…” ลั่วชิงอีเอ่ยขึ้น พลางหยิบเงินออกมาด้วยท่าทางเรียบเฉย
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงตกอกตกใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหน้าของลั่วชิงอี เป็นเสียงของเถ้าแก่ร้านขายสมุนไพรนั้นเอง
“ท่านเป็นนักปรุงโอสถ?”
“ข้าเป็นนักปรุงโอสถ มีปัญหาอะไรงั้นหรือ? หรือว่าร้านนี้ไม่ทำการค้ากับนักปรุงโอสถ?” เมื่อได้ยินดังนั้น น้ำเสียงงุนงงของลั่วชิงอีดังขึ้น ใบหน้างามใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้าฉายความประหลาดใจ
“เออ…ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ ทางเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำการค้าร่วมกันกับนายท่าน” เถ้าแก่ร้านขายสมุนไพรรีบเอ่ยตอบด้วยท่าทางร้อนรน พร้อมโบกไม้โบกมือไปมาเพื่อปฏิเสธ กลัวว่าลั่วชิงอีจะเข้าใจผิดไป…
นักปรุงโอสถนั้นหาได้ยากยิ่งนักในแคว้นจินหลง แม้กระทั้งสำนักใหญ่ยังมีนักปรุงโอสถเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แล้วนี้ถ้าเขาเสียมารยาทกับนักปรุงโอสถตรงหน้า หายนะจะไม่มาเยือนร้านขายสมุนไพรของเขาหรอกหรือ?