“อี้เฟิง รีบไปตามพ่อของเจ้ามาเร็วเข้า…”
หลังจากคืนสติ ผู้อาวุโสท่านนั้นก็รีบหมุนกายหันไปกล่าวกับกงซุนอี้เฟิงที่ขณะนี้กำลังยืนนิ่งอ้ำอึ้ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายความตะลึงงึงงันออกมา เมื่อได้ยินคำว่า โอสถในตำนาน..
“ขะ…ขอรับ”
กงซุนอี้เฟิงหลังจากที่ได้สติจากเสียงเรียกของผู้อาวุโสท่านนั้น เขาก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก จากนั้นก็หันกายเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่ยังคงตกตะลึง
ใครจะคิดว่าโอสถในตำนาน โอสถที่มีความบริสุทธิ์ 10 ส่วน จะมีอยู่จริงๆ เมื่อมันปรากฏออกมาย่อมต้องเกิดความโกลาหลไปทั่วดินแดน
ผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนัก…ก็เผยให้เห็นร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูมีอายุอานาม กำลังเดินลงมาจากชั้น 2 ของหอการค้าอย่างเร่งรีบพร้อมกับกงซุนอี้เฟิงที่ยังคงแสดงสีหน้าตื่นตะลึงไม่หาย
และแน่นอนว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ กงซุนหนานหยาน ผู้ดูแลหอการค้าจินหลง สาขาเมืองฟ้ากระจ่าง อีกทั้งยังเป็นพ่อของกงซุนอี้เฟิงอึกด้วย
กงซุนหนานหยานนั้นมีร่างกายบอบบางแต่ก็ดูสมส่วนไปในตัว ใบหน้าของเขาดูดุดันแต่ทว่าก็มีความอ่อนโยนแฝงเร้นอยู่ อีกทั้งคลื่นพลังปราณที่เขาแผ่ออกมาอย่างบางเบา ทำให้อากาศโดยรอบสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย
คลื่นลมปราณที่กงซุนหนานหยานแผ่ออกมา สามารถบ่งบอกได้ว่าเขามีระดับการฝึกฝนที่ไม่ต่ำกว่าขอบเขตราชันย์ !
“แม่นางท่านนี้หรือ?...ที่นำโอสถความบริสุทธิ์ 10 ส่วนมาขาย”
กงซุนหนานหยานที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดกงซุนอี้เฟิง เขาก็อดที่จะตะลึงไม่ได้… ดังนั้นเขาเองจึงรีบออกมาจากห้องทำงานอย่างเร่งร้อนเพื่อหมายจะพบกับนักปรุงโอสถที่สามารถหลอมโอสถระดับนี้ออกมาได้
ทว่าพอเดินมาถึง กงซุนหนานหยางพลันขมวดคิ้วเป็นปม ท่าทางของเขาดูคล้ายผู้อาวุโสก่อนหน้านี้มิมีผิด เนื่องจากเขาเองก็ไม่อาจสัมผัสระดับลมปราณของลั่วชิงอีได้เหมือนดั่งผู้อาวุโสคนก่อนหน้านี้
“ใช่แล้ว ท่านลองตรวจสอบดูเองเถอะท่านผู้นำ…” ผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตื่นเต้น ขณะกล่าวก็ยื่นโอสถที่อยู่ในมือตนไปให้กงซุนหนานหยานตรวจสอบดูด้วยตนเอง
“นะ…นี่ ท่านเป็นคนหลอมมันขึ้นมางั้นเรอะ?” น้ำเสียงตื่นตระหนกของกงซุนหนานหยานดังขึ้น หลังจากที่ได้ตรวจสอบโอสถที่อยู่ในมือของตน ใบหน้าดุดันหันขวับไปทางลั่วชิงอีอย่างฉับพลันด้วยอาการตกตะลึง
“เป็นข้าเอง…” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นางไม่ได้ใส่ใจอากัปกิริยาของกงซุนหนานหยานเลยแม้แต่น้อย
“อ่า~~~” กงซุนหนานหยาน เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของลั่วชิงอี เขาก็อุทานออกด้วยความตะลึงพลางคิดเองเออเองในใจว่า ‘ หญิงสาวตรงหน้าจะต้องมีระดับพลังที่เหนือกว่าตนเอง เขาเคยได้ยินว่าหากมีขอบเขตพลังระดับพรหมยุทธ์ขึ้นไป สามารถทำให้ร่างกายคงความเยาว์วัยดั่งเช่นหนุ่มสาวได้ เช่นนั้นหญิงสาวตรงหน้าอาจจะมีอายุอานามเป็นร้อยปีแล้ว ’
“ท่านต้องการรับซื้อหรือไม่?” ลั่วชิงอีกล่าวถาม หลังจากที่เห็นคนตรงหน้ายืนนิ่งไป
“รับขอรับ…” พอดึงสติกลับมาได้ กงซุนหนานหยานจึงรีบกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงอีก็นำโอสถที่เหลือออกมาพลางยื่นให้กงซุนหนานหยานในทันที
กงซุนหนานหยานพอรับโอสถมา เขาก็ทำการตรวจสอบโอสถลมปราณอีก 14 เม็ด ที่ลั่วชิงอียื่นมาให้ในทันที
ทว่ายิ่งตรวจสอบ ก็ยิ่งทำให้กงซุนหนานหยานตกตะลึงหนักเสียยิ่งกว่าเดิม การที่ครอบครองโอสถลมปราณความบริสุทธิ์ 10 ส่วน แค่ 1 เม็ด ก็น่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว แต่ในมือของเขาในตอนนี้มีโอสถลมปราณความบริสุทธิ์ 10 ส่วน ถึง 15 เม็ด นี้มันน่าเหลือเชื่ออย่างมากราวกับว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงภาพมายา
“ทางหอการค้าของเรา จะรับชื้อในราคาเม็ดละ 300 เหรียญทอง ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นใด?” กงซุนหนานหยานอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง พอได้สติก็รีบกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
โอสถลมปราณระดับต่ำที่มีความบริสุทธิ์ 4 - 6 ส่วน ราคาตามท้องตลาดจะอยู่ที่ 15 เหรียญทอง ทว่าราคาที่กงซุนหนานหยานเสนอให้ลั่วชิงอีนั้นสูงกว่าราคาปกติถึง 20 เท่าเลยทีเดียว
“ไม่มีปัญหา”
ลั่วชิงอีที่คิดว่าคงขายได้ไม่เกินเม็ดละ 10 เหรียญทอง พอได้ยินราคาที่กงซุนหนานหยานเสนอให้ นางจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้
“รอสักครู่ขอรับ” กงซุนหนานหยานพอได้รับคําตอบจากลั่วชิงอี เขาก็เก็บโอสถไว้ในแหวนมิติ จากนั้นจึงหันกายเดินกลับขึ้นไปบนชั้น 2 ของหอการค้า
ไม่นานนัก เขาก็เดินลงมาพร้อมกับบัตรขนาดเล็กสีเงินที่มีตราสัญลักษณ์ตราชั่งทองคําอยู่บนบัตร จากนั้นก็ทำการยื่นบัตรสีเงินให้แก่ลั่วชิงอีพร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสุภาพ
“ทั้งหมดรวมเป็นเงิน 4, 500 เหรียญทองขอรับ เงินทั้งหมดอยู่ภายในบัตรเรียบร้อยแล้ว กรุณาตรวจสอบด้วย”
ลั่วชิงอียื่นรับบัตรสีเงินนั้นมาพร้อมกับตรวจดูเงินในบัตรไปด้วย เมื่อตรวจสอบแล้ว…ใบหน้างามประหนึ่งเทพธิดาใต้ผ้าคลุมก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
บัตรสีเงินที่ลั่วชิงอีได้รับมา เป็นบัตรสมมาชิกของหอการค้าจินหลง โดยบัตรแต่ละใบนั้นสามารถเก็บเงินไว้ภายในบัตรได้คล้ายกับแหวนมิติที่มีไว้ใช้เก็บของ
สีของบัตรแต่ละใบนั้นจะแสดงถึงสถานะเจ้าของบัตร ซึ่งบัตรแต่ละใบจะมีสีและสถานะของบัตรที่แตกต่างกัน โดยจะแบ่งได้ดังนี้
บัตรสีขาวคือบุคคลทั่วไป บัตรสีดำคือผู้มีอิทธิพลดั่งเช่น ผู้อาวุโสจากตระกูลหรือสำนัก ต่างๆ และบัตรสีแดงคือระดับประมุขตระกูลหรือเจ้าสำนัก ส่วนบัตรสีเงินของลั่วชิงอีคือแขกผู้มีเกียรติของหอการค้าจินหลง และบัตรสีทองนั้นผู้ที่จะสามารถครอบครองมันได้จะต้องเป็นระดับจักรพรรดิของแต่ละแคว้นหรือขุมอำนาจใหญ่ของทวีปเท่านั้น
โดยทวีปเทียนฉี่ จะประกอบไปด้วย 5 แคว้น โดยแต่ละแคว้นล้วนมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกัน ซึ่งเมืองฟ้ากะจ่างนั้นเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นจินหลงที่ถูกปกครองโดยราชวงศ์ อู่
ทั่วทั้งทวีปเทียนฉี่ผู้ที่ได้ครองบัตรสีเงินของหอการค้าจินหลงมีเพียงแค่หยิบมือ ซึ่งลั่วชิงอีก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น
ซึ่งการที่หอการค้าจินหลงมอบบัตรสีเงินให้แก่ลั่วชิงอี แสดงให้เห็นว่าทางหอการค้าจินหลงให้ความสำคัญแก่นางเป็นอย่างมาก
“เออ…ข้าเดินสินค้าในหอการค้าได้หรือไม่?” ลั่วชิงอีกล่าวถาม
“ย่อมได้อยู่แล้ว…ขอรับ เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไปเดินเป็นเพื่อนท่านหญิงหน่อย…” กงซุนหนานหยานกล่าวตอบ จากนั้นก็หันไปกล่าวกับกงซุนอี้เฟิงที่ยังคงตกตะลึงไม่หาย
กงซุนอี้เฟิงเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นพ่อ เขาก็พาลั่วชิงอีเดินชมสินค้าต่างๆในหอการค้าทันที เด็กหนุ่มปฏิบัติตัวราวกับเป็นผู้ติดตาม สินค้าอันไหนที่ลั่วชิงอีดูจะสนใจ เขาก็จะคอยอธิบายข้อมูลความเป็นมาต่างๆของสินค้า รวมไปถึงราคาสินค้า ให้นางได้รับรู้
“นี่…คือเตาหลอมโอสถระดับสูง เตาหลอมผลาญฟ้า มันมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการหลอมโอสถ และยังช่วยลดปริมาณลมปราณที่ใช้ในการหลอมโอสถในแต่ละครั้งด้วย ขอรับ” กงซุนอี้เฟิงเมื่อเห็นลั่วชิงอีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตาหลอมโอสถใบหนึ่ง เขาจึงกล่าวอธิบายเกี่ยวกับเตาหลอมโอสถใบนั้นในทันที
คุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มโอกาสสําเร็จในการหลอมโอสถ ไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับลั่วชิงอีมากนัก ทว่าคุณสมบัติในการลดปริมาณลมปราณที่ใช้ในการหลอมโอสถ พอจะทำให้นางสนใจอยู่บ้าง
“ข้าต้องการเตาหลอมโอสถใบนี้…และข้าต้องการแหวนมิติระดับสูงอีกสักวง รบกวนคุณชายจัดการให้ข้าที…” ลั่วชิงกล่าวขึ้น
“รับทราบขอรับ…โปรดรอข้าสักครู่” กงซุนอี้เฟิงกล่าวจบ ก็เดินไปหยิบเตาหลอมโอสถผลาญฟ้าและแหวนมิติระดับสูงหนึ่งวง ตามที่ลั่วชิงอีนั้นต้องการ
“นี้…ขอรับเตาหลอมโอสถผลาญฟ้า ราคา 1,500 เหรียญทอง และแหวนมิติระดับสูง ราคา 2,000 เหรียญทอง ราคาทั้งหมด 3,500 เหรียญทอง ส่วนเตาหลอมโอสถอยู่ในแหวนมิติแล้วขอรับ” กงซุนอี้เฟิงกล่าวรายละเอียดของราคาของสินค้าพร้อมยื่นแหวนมิติให้แก่ลั่วชิงอีด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม
“รบกวนเจ้าแล้ว” ขณะกล่าวลั่วชิงอีก็ยื่นบัตรสีเงินให้แก่กงซุนอี้เฟิง เพื่อจ่ายเงินค่าสินค้าพร้อมกับรับแหวนมิติมาสวมใส่เอาไว้
หลังจากรับบัตรสีเงินคืนมาจากกงซุนอี้เฟิง ลั่วชิงอีก็กล่าวลาอย่างสุภาพ
“เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน…”
“หวังว่าท่านจะให้เกียรติ กลับมาใช้บริการของหอการค้าของเราอีกนะขอรับ” กงซุนอี้เฟิงกล่าวขึ้นพลางย่อกายคำนับอย่างสุภาพและนอบน้อม
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น…” พอกล่าวจบ ลั่วชิงอีก็เดินออกจากหอการค้าจินหลงในทันที
หลังจากที่ลั่วชิงอีเดินจากไปแล้ว กงซุนหนานหยานที่เฝ้ามองดูตลอดก็หันมากล่าวกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เฟิงเอ๋อร์ จากนี้ไปหากท่านหญิงผู้นี้มาที่หอการค้าของเราอีก เจ้าดูแลนางให้ดีที่สุด…เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าของหอการค้าเรา”
“ขอรับ…ท่านพ่อ”
.
.
.
ลั่วชิงอีพอเดินออกมาจากหอการค้าจินหลง นางก็ตะเวนเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์และของใช้ที่จําเป็น พร้อมกับซื้อเสบียงอาหารมากักเก็บไว้ภายในแหวนมิติ
ใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วยาม ลั่วชิงอีก็ได้ข้าวของที่จำเป็นครบแล้ว ซึ่งในตอนนี้นางเหลือเงินอยู่เพียงแค่ 500 เหรียญทอง
ทว่าก่อนที่จะกลับไปยังถ้ำหลังน้ำตก ลั่วชิงอีก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อสมุนไพรจากร้านสมุนไพรเล็กๆที่นางเคยรับปากเถ้าแก่ของร้านนั้นเอาไว้ว่าจะกลับมาซื้อสมุนไพรที่ร้านของเขาอีก
พอเดินมาถึงยังร้านขายสมุนไพรร้านนั้น ลั่วชิงอีก็บอกกล่าวรายการสมุนไพรที่นางต้องการแก่เถ้าแก่ไป
จากนั้นไม่นานลั่วชิงอีก็ได้รับสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถลมปราณระดับกลางมา 5 ชุด ในราคา 250 เหรียญทอง
พอซื้อสมุนไพรเสร็จเรียบร้อย ลั่วชิงอีก็ทำการกลับไปยังถ้ำหลังน้ำตกทันที
“ได้ฤกษ์เพิ่มระดับลมปราณของข้าแล้ว”