ชีวิตประจำวันของติยคุณยามอยู่ที่ลอนดอนค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควร เลิกจากงานในฐานะอาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัย เขาก็มักจะพบปะลูกศิษย์เพื่อคุยงานวิชาการ หรือไม่ก็ไปเจอเพื่อนสมัยเรียนเพื่อสังสรรค์ตามประสาหนุ่มโสดวัยสามสิบกลางๆ อยู่บ้าง น่าเบื่อยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเขาต้องอยู่คนเดียวในวันหยุดแล้วไม่มีอะไรทำ ซึ่งวันนี้ก็น่าจะเป็นอีกวันที่เขาต้องจมจ่อมกับความเบื่อหน่าย ถ้าหากว่าไม่มีสายเรียกเข้าจากประเทศไทยที่เขาไม่ได้รับสายมานานโทรเข้ามาล่ะก็ เขาคงจะเบื่อไปอีกเป็นอาทิตย์แน่
แต่...ความตื่นเต้นจากสายของป้าอิ่ม แม่บ้านที่อยู่กับครอบครัวเขามานานนั้นก็ตื่นเต้นเกินไปจนเรียวคิ้วเข้มของอาจารย์หนุ่มขมวดมุ่น สิ่งที่เขาได้ยินช่างไม่จรรโลงใจเอาเสียเลย ยิ่งถามย้ำว่าตนไม่ได้หูฝาด ใบหน้าเขายิ่งยับย่นจนเขาแทบไม่อยากมองตัวเองใจกระจกเวลานี้
“ตกลง...คุณพ่อแต่งงานใหม่จริงๆ เหรอ”
[จริงค่ะคุณติ]
“ป้าส้มแน่ใจนะ”
[ถ้าป้าไม่แน่ใจ ป้าไม่โทรมารบกวนคุณติอย่างนี้หรอกค่ะ คุณทัศน์ไปอยู่ที่เชียงรายไม่กลับมาหลายเดือนแล้ว ตอนแรกป้าก็คิดว่าไปพักผ่อนเฉยๆ เพิ่งมารู้เอาวันนี้ว่าจดทะเบียนสมรสไปเมื่ออาทิตย์ก่อน]
“...”
[คุณติได้ยินป้าไหมคะ]
“ได้ยินครับ...ชัดเจนดี”
[แล้ว...แบบนี้คุณติจะเอายังไงต่อคะ]
“ผมยังนึกไม่ออก”
นึกอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ในหัวเขาอึงอลไปด้วยคำถามว่า ‘ทำไม’ นับครั้งไม่ถ้วน ครั้นคิดถึงใบหน้านิ่งเฉยของบิดาอย่างทัศดนัยที่มีให้เขาตลอดมาตั้งแต่ที่มารดาของเขาเสียชีวิต เสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกหลายต่อหลายครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตจะย้อนหวนกลับมาราวกับสายน้ำไหล
ตอนเขาอายุสิบหก มารดาผู้แสนใจดีเสียชีวิตหลังจากต่อสู้กับมะเร็งมานานนับปี การสูญเสียในครั้งนั้นทำเอาทั้งเขาและทัศดนัยแตกสลาย โดยเฉพาะกับทัศดนัยที่รักภรรยาสุดหัวใจ พอสิ้นภรรยาไป จากที่ไม่สนิทกับลูกชายคนเดียวอยู่แล้ว เขายิ่งเหินห่างมากขึ้นไปใหญ่ ความเสียใจถูกระบายออกด้วยการทำงานไม่หลับไม่นอน ด้วยคิดว่าการมีอะไรทำตลอดเวลาจะช่วยให้ลืมช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดลงไปได้ โดยไม่ได้คิดถึงจิตใจของติยคุณเลยว่าสำหรับเด็กหนุ่มที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นนั้น เมื่อไม่มีที่ให้พึ่งพิง มันเคว้งคว้างขนาดไหน มีเพียงป้าส้มเท่านั้นที่คอยดูแลไม่ห่างด้วยกลัวว่าติยคุณจะคิดสั้นทำอะไรโง่ๆ ลงไป
รอยร้าวระหว่างสองพ่อลูกเริ่มแยกจากกันมากขึ้นเมื่อทัศดนัยตัดสินใจส่งให้ลูกชายไปเรียนต่อที่อังกฤษ ติยคุณไม่เคยอยากจากบ้านหลังที่แม่เคยอาศัยอยู่ไปเลย เขายังคงอยากซึมซับกลิ่นอายของแม่ตราบนานเท่านาน แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งพ่อได้ เพราะทัศดนัยอ้างว่าติยคุณเก็บตัวจมปลักอยู่กับความเศร้าเสียใจมากเกินไป จนลืมสิ้นไปหมดว่าการเข้าสังคมเป็นอย่างไร การส่งเขาไปเรียนเมืองนอก เป็นการตัดสินใจที่ถี่ถ้วนดีแล้ว ไม่อย่างนั้นพฤติกรรมของเขาจะส่งผลต่อตัวเขาเองในอนาคตอย่างแน่นอน
ไม่มีใครคัดค้าน ล้วนแล้วมีแต่จะเห็นด้วย ติยคุณไม่เคยเข้าใจหรอก เพิ่งมาเข้าใจตอนเข้ามหาวิทยาลัยว่าพ่อหวังดีเพราะเขาหลุดพ้นจากทุกข์นั้นลงได้ เรียกง่ายๆ ว่าปล่อยวาง แม้ว่าเขากับพ่อยังไม่สนิทกันเหมือนเดิมก็ตาม ทว่าทัศดนัยทำหน้าที่พ่อได้ดีในด้านของการศึกษาและสนับสนุนให้เขาได้เติบโตในด้านต่างๆ ตามสิ่งที่เขาชอบ ไม่เคยบังคับฝืนใจอะไร ต่อให้ตอนนี้เขาไม่อยากกลับมาไทย ก็ไม่เคยเรียกร้องอะไร ให้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างอิสระเต็มที่ รวมถึงไม่เคยคิดจะมีแม่ใหม่ให้เขาด้วย
สิ่งนั้นติยคุณถือว่าเป็นการแสดงซึ่งความรักที่พ่อมีต่อเขา แต่ตอนนี้...ทำไม...ทำไมกัน ทำไมจู่ๆ ชายที่อายุเลยวัยเกษียณแล้วถึงได้อยากมีความรักขึ้นมา ถึงขั้นไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้โดยไม่บอกเขาเลยสักคำ!
ติยคุณไม่อยากโวยวายหรอก เขาโตมากพอที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ที่ทัศดนัยใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ เท่ากับว่าก็อดทนมามาก เขาจะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการเพื่อมีความสุขในบั้นปลายชีวิตก็ไม่แปลก ทว่า...ต้องไม่ใช่ใครก็ไม่รู้โดยไม่ผ่านการสอบประวัติโดยติยคุณอย่างนี้!
ยอมรับตามตรงเลยว่าติยคุณระแวงว่าแม่ใหม่ของเขาจะมาฮุบเอาสมบัติไป ใช่ว่าเขาระแวงว่าตนจะไม่ได้รับมรดกจากพ่อหรอกนะ สิ่งที่พ่อเขาสร้างมากับแม่มันเยอะจนเขารู้สึกว่าต่อให้ทัศดนัยเอาไปบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะ เขาก็ยังได้รับสมบัติชนิดที่ว่ากินอยู่สบายไปตลอดชีวิตอยู่ดี เพียงแต่จู่ๆ มีคนมาชุบมือเปิบไปอย่างนี้ เขาไม่ยอมหรอก
ที่รู้ว่าสองแม่ลูกนั้นชุบมือเปิบเพราะพ่อเขานำเอาชื่อของลูกเลี้ยงมาตั้งเป็นชื่อไร่ชาแห่งใหม่จากคำบอกเล่าของป้าส้ม
ไร่ลานนาทยา...ชื่อก็เพราะดี แต่มันต้องไม่ใช่ไร่ชาของครอบครัวเขา!
คิดได้เท่านี้ ติยคุณพลันเผลอขบกรามแน่น ได้สติอีกทีเมื่อเสียงจากปลายสายดังขึ้น
[ถ้าอย่างนั้น ป้าไม่รบกวนแล้วค่ะคุณติ ป้าแค่โทรมาบอกข่าวค่ะ]
สิ้นเสียงก็ทำท่าจะวางสายไป หากแต่ติยคุณกลับตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน
“ผมจะกลับไทยอาทิตย์หน้าครับ รบกวนป้าส้มเตรียมห้องให้ผมด้วย ผมจะอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่กี่วัน แล้วจะไปอยู่ที่บ้านที่เชียงราย”
[คุณติจะไปอยู่กับ...เอ่อ...]
น้ำเสียงตกใจไม่น้อย ไม่กล้าพูดต่อด้วย ได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มเอ่ยเสริม
“ครับ ผมจะไปอยู่กับ ‘ครอบครัวใหม่’ ต้องไปต้อนรับให้สมเกียรติเสียหน่อย”
ไม่รู้ทำไม คนฟังถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของติยคุณฟังดูเหี้ยมเกรียมเสียบเหลือเกิน กระนั้นก็ไม่ขัดอะไร ไม่ใช่เรื่องของหล่อน ได้แต่ตอบรับตามคำสั่งเท่านั้น
[ได้ค่ะ ยังไงคุณติแจ้งวันกลับให้ป้าอีกทีนะคะ]
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ แล้วก็อีกเรื่อง ป้าส้มอย่าบอกใครนะครับว่าผมจะกลับ โดยเฉพาะพ่อกับแม่เลี้ยงคนใหม่ของผม ผมจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย”
งานนี้รับรองเลยว่าเขาจะจัดความเซอร์ไพรส์ให้อย่างงามเลย