ตอนที่ 1

1797 คำ
                                                โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง                 ท่ามกลางแสงไฟในห้องผ่าตัด ได้ยินเสียงกระทบกันของมีดและกรรไกรผ่าตัดที่เพิ่งถูกวางลงในถาดใส่อุปกรณ์ แพทย์คนหนึ่งในทีมผ่าตัด ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ภายหลังจากพยายามแย่งยื้อชีวิตของผู้ป่วยจากเงื้อมมือมัจจุราช ด้วยการผ่าตัดที่กินเวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมง                 ภายนอกห้องผ่าตัด ใกล้ๆกับเก้าอี้รับแขกที่จัดเตรียมเอาไว้รับรองญาติผู้ป่วย ที่หน้าประตูลิฟท์ ร่างสูงใหญ่ของชายชาวต่างชาติปรากฏขึ้น เมื่อบานประตูลิฟท์แยกออกจากกัน                 เขาก้าวยาวๆออกมาจากลิฟต์ในอาการรีบร้อน มือข้างหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ ตรงรี่มายังหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนั่งรอฟังผลการผ่าตัดอยู่ด้วยอาการกระวนกระวายใจจนเห็นได้ชัด                 “คาร์ลอส”                 หญิงสาวอุทาน ในจังหวะที่เงยใบหน้าไปตามเสียงอันเกิดจากฝีเท้าและล้อเล็กๆของกระเป๋าเดินทางที่ถูกลากมาตามพื้น                 “ปราโมทย์เป็นยังไงบ้าง”                 คนที่เพิ่งมาถึง เอ่ยถามถึงน้องชายในทันที ด้วยสีหน้าและแววตาเป็นห่วง                 คาร์ลอสเป็นลูกชายของ ‘ราอูล’ ที่เกิดกับ ‘ลอร่า’ และภายหลังจากที่ลอร่าเสียชีวิต พ่อของคาร์ลอสก็มาพบรักกับ ‘บานเย็น’ ซึ่งในขณะนั้นเป็นแม่หม้าย มีลูกติดมาจากสามีเก่าหนึ่งคน ก็คือปราโมทย์นั่นเอง                 หลังจากตัดสินใจแต่งงานกับราอูล บานเย็นก็ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อเมริกากับสามีใหม่ ปราโมทย์จึงอยู่กับยายที่เมืองไทย ราอูลซึ่งมีฐานะเป็นพ่อเลี้ยง ก็ช่วยเหลือด้วยการส่งเสียเรื่องการศึกษา ส่งเงินมาเป็นค่าเลี้ยงดูไม่ได้ขาด                    เค้าโครงร่างและหน้าตาของคาร์ลอส บ่งชัดว่าเป็นอเมริกันก็จริง ทว่าน่าทึ่งที่เขาสามารถใช้ภาษาไทยได้ดีทีเดียว แม้สำเนียงจะไม่ชัดเจนนัก นั่นเป็นเพราะเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ คนเดียวที่พอจะเป็นคู่สนทนาภาษาไทยให้กับเขาได้ ตอนที่อยู่อเมริกา ก็คือลอร่าผู้เป็นแม่นั่นเอง                 ด้วยความที่ลอร่าเคยมีอาชีพเป็นครูสอนภาษา และยังหลงใหลในวัฒนธรรมตะวันออก เธอจึงอยากให้ลูกชายพูดภาษาไทย ถึงกับลงทุนจ้างครูซึ่งเป็นคนไทยมาสอนภาษาไทยให้กับคาร์ลอสถึงบ้าน และผลพวงของความพยายามก็ไม่สูญเปล่า ยืนยันจากสิ่งที่เห็น คาร์ลอสสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างไม่ติดขัด                 “ตอนนี้ปราโมทย์กำลังอยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ”                 หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของน้องชาย มีชื่อว่า ‘น้ำผึ้ง’ ตอบคำถามของพี่ชายสามี                 คาร์สสังเกตเห็นว่าแววตาคู่นั้นดูระทดท้อ เพราะในความรู้สึกของหญิงสาวที่เขาทอดสายตามองอยู่ในขณะนั้น กำลังคิดในใจว่า‘การมีชีวิตอยู่ เป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกิน…ในวินาทีที่มันกำลังถูกยื้ออยู่ระหว่างเส้นแบ่งของความเป็นและความตาย’                 “เขาจะปลอดภัยใช่มั้ย”                 คนตัวใหญ่ถามออกมาด้วยความลืมตัว ราวกับลืมไปว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นไม่ใช่หมอ                 “ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นค่ะ…” เอ่ยทั้งน้ำตาเอ่อ                 “ขอให้ปราโมทย์ปลอดภัยด้วยเถอะ” เขากล่าวพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอ                 “ขอบคุณค่ะ”                 น้ำผี้งเอื้อมมือไปรับผ้าเช็ดหน้า ซับน้ำตาตัวเองเบาๆ แอบได้ยินเสียงถอนหายใจลึกยาวของเขา คาร์ลอสทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างๆเธอ                 “นั่งก่อนสิคะ” หญิงสาวหันไปบอก                 จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดร่างลงนั่ง เมื่อเหลือบมองใบหน้าอิดโรยของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าในฐานะภรรยาของคนไข้ เธอคงรู้สึกเป็นกังวลใจมากกว่าเขาหลายเท่า ทว่าในนาทีนี้…คงต้องฝากชีวิตของปราโมทย์เอาไว้ในมือหมอ เธอกับเขาก็คงทำได้แค่เพียงภาวนาให้การผ่าตัดลุล่วงไปด้วยความราบรื่น ไม่ให้ใครต้องสูญเสีย                 เมื่อรู้สึกว่าถูกมอง น้ำผึ้งจึงหันไปประสานสายตากับร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง ไม่ห่างจากเธอนัก                 “มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถาม                 “เปล่า” เขาตอบสั้นๆ จากนั้นจึงลดสายตาจากเธอ                 แวบหนึ่งที่ดวงตาประสานกัน ในระยะใกล้แสนใกล้ แม้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะพินิจใบหน้านั้น ทว่าก็มองไปแล้ว จึงเห็นชัดว่าคาร์ลอสเป็นหนุ่มใหญ่ อยู่ในวัยกลางคน คาดเดาว่าอายุของเขาคงอยู่ราวๆ 35 –  40 ปี ไม่เกินจากนี้ นอกจากอาการกังวลที่ปรากฏในดวงตา ใบหน้านั้นก็ดูนิ่ง ขรึม ทว่าหล่อเหลาราวกับรูปหล่อสำริด ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูแข็งกร้าว ประกอบกับอิริยาบถอันสุขุมเยือกเย็นที่เป็นอยู่ในขณะนั้น…ทำให้ยิ่งอ่านยาก                  เมื่อเธอละสายตาจากใบหน้าของเขา เช่นเดียวกับเขาที่ถอนสายตาจากดวงหน้าของเธอ จากนั้นทั้งคู่ก็หันไปที่ห้องผ่าตัด                 ชั่วโมงรอคอยอันแสนยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลง                 เมื่อเสียงคลายลูกบิดประตูดังขึ้นเบาๆ ทำเอาคนทั้งสองสะดุ้งเกือบจะพร้อมกัน                 ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกมาในที่สุด นายแพทย์ในชุดเสื้อคลุมสีเขียว ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัด ทว่าไม่ทันจะปริปากพูดอะไร ภรรยาคนป่วยก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน ด้วยอาการร้อนใจ “เค้าเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” “…..” คุณหมอนิ่ง ราวกับจงใจทิ้งช่วงเวลาสั้นๆให้คนฟังได้ทำใจกับคำตอบที่ทำร้ายจิตใจ                 “เสียใจด้วยนะครับ…”                 นายแพทย์วัยกลางคน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผ่าตัด เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบๆ อย่างคนที่คุ้นชินกับการ ‘เกิด’ และ ‘ตาย’ ซึ่งได้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน จากนั้นก็ยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวเต็มหน้าผาก ภายหลังจากคร่ำเคร่งอยู่กับการผ่าตัดที่กินเวลายาวนานกว่าสามชั่วโมง แต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิตของปราโมทย์เอาไว้ได้                       “อะไรนะคะคุณหมอ…!!!”         เต็มไปด้วยความตกตะลึง ต่อจากนั้นก็ส่ายหน้า รื้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าอยู่ก่อนหน้า ค่อยๆรินไหลรดพวงแก้ม  หญิงสาวพยายามปฏิเสธความจริงอันโหดร้าย ใบหน้าสวยเปลี่ยนเป็นซีดเซียวราวกับหน้ากระดาษที่ปราศจากตัวอักษร                 “ไม่จริงใช่ไหมคะคุณหมอ”                 มุมปากหยักบาง เบะน้อยๆ มีอาการสะอื้นเครืออยู่ในน้ำเสียงทอดอาลัย ทุกอย่างรอบๆกายดูเงียบเชียบ…เงียบจนได้ยินเสียงถอนใจของพี่ชายสามีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อคำอธิษฐานขอชีวิตน้องชาย…ไม่สัมฤทธิ์ผล                 “ฮือๆๆ…”                 จากนั้นน้ำผึ้งก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร ดวงตาคมประกายของเธอพราวไปด้วยหยาดน้ำตาใสๆ ไหลพรากออกมาจากหางตา           “โธ่…ปราโมทย์น้องพี่”   คาร์ลอสรำพึงขึ้นลอยๆ เงยใบหน้าขึ้นมองเพดาน กลืนก้อนความเศร้าที่จุกอยู่ในลำคอ ดวงตาคมเปลี่ยนเป็นขื่น ด้วยความที่เขาเป็นผู้ชาย จึงพยายามสะกดกลั้นความเสียใจอย่างถึงที่สุด รำพึงชื่อน้องชายเบา ไม่คิดว่าการได้เจอหน้ากันเมื่อ หลายปีก่อน จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย                 “ไม่จริงใช่ไหมคะ…คุณหมอ”                 ภรรยาของผู้เสียชีวิตได้แต่ส่ายหน้า ไม่ยอมรับความจริง ถามย้ำราวกับไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริง                 “ผมเสียใจด้วยครับ” คุณหมอตอบอีกครั้งด้วยอาการสงบ หากก็ซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ในแววตา ที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้เอาไว้ได้                 “หลายครั้งที่เขาเคยเป็นแบบนี้ มักจะมีอาการจุกแน่นที่หน้าอกด้านซ้ายบ่อยๆ…แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะรุนแรงถึงชีวิต” หญิงสาวกล่าวขึ้นลอยๆอีกครั้ง ไม่เชิงว่าขอความเห็นจากหมอ เพราะเธอก็รับรู้มาตลอดว่าสามีป่วยด้วยโรคหัวใจ และมักจะมีอาการจุกแน่นในลักษณะนี้บ่อยๆ ซึ่งก็อยู่ระหว่างการรักษา ทว่าปราโมยท์ก็หละรวมเหลือเกิน ในการเอาใจใส่ดูแลตัวเอง ทำราวกับไม่รักชีวิต ทั้งเหล้าและบุหรี่ที่หมอกำชับให้เลิกโดยเด็ดขาด เขาก็ไม่เชื่อฟัง                  “ทุกรายที่มาถึงมือหมอในสภาพเดียวกับสามีของคุณ...แทบไม่เคยมีสักรายที่รอด” แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดกล่าวชวนให้คิด                 “สภาพไหนครับ…ตอนที่น้องชายของผมมาถึงมือหมอ?”                 คาร์ลอสแทรกขึ้นทันที ด้วยความสงสัย                 คำถามของคาร์ลอส ทำให้คุณหมอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการสันนิษฐานถึงบางอย่างโดยที่ไม่มีหลักฐานนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในกรณีที่คนไข้สิ้นลมหายใจ การรักษาก็เป็นอันจบสิ้น หมดภาระหน้าที่ของหมอ ส่วนการวินิจฉัยถึงมูลเหตุแห่งความตาย ควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของนิติเวช เพราะความจริงที่ว่า ‘มีคนทำให้เสียชีวิต’ หรือ ‘เสียชีวิตเอง’ นั่นก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ เพราะหมอมีหน้าที่รักษา มีหน้าที่เอาชนะความตาย ไม่ว่าคนไข้จะเฉียดความตายมาในลักษณะใด อุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจากโรคอายุรกรรม หน้าที่ของหมอ ‘คือยื้อชีวิตคนไข้จากเงื้อมมือมัจจุราช’                 เมื่อฉุกคิดได้ดังนั้น…คุณหมอจึงนิ่ง ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ                 “ผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณหมอกล่าว                 “เดี๋ยวครับคุณหมอ” คาร์ลอสพยายามยื้อคุณหมอเอาไว้ด้วยน้ำเสียงและสายตาของความสงสัย                   คุณหมอมองกลับมาด้วยสีหน้าใจอ่อน ครั้นแล้วจึงกล่าวขึ้นเบาๆ                 “หมออาจช่วยชีวิตน้องชายคุณเอาไว้ได้ทัน…ถ้าเขามาถึงโรงพยาบาลเร็วกว่านี้”         “ยังไงครับหมอ” ผู้ชายขี้สงสัยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “Pulmonary edma” คุณหมอกล่าวเป็นภาษาแพทย์ ทว่าเมื่อเห็นชายหนุ่มย่นหน้าผากด้วยความสงสัย เขาจำต้องอธิบายด้วยภาษาที่คนฟังจะเข้าใจง่ายว่า ถึงความหมายของคำว่า ‘Pulmonary edma’                 “เกิดภาวะหัวใจวายที่ห้องซ้ายเฉียบพลัน คนไข้มาถึงมือหมอช้า ทำให้เกิดอาการคั่งของน้ำและเกลือที่ปอดจำนวนมาก”                 ‘ช้า…’                 คาร์ลอสทวนคำของหมออยู่ในใจ พร้อมๆกับชำเลืองไปทางหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของน้องชาย ด้วยสายตาคาดคั้นถึงความจริงบางอย่าง                                 คำพูดที่ว่า ‘คนเจ็บมาถึงมือหมอช้า’ ยังสะท้อนก้องอยู่ในหูของคาร์ลอส                 ‘ได้โปรดอย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ในฐานะภรรยาของน้องชาย คาร์ลอสควรจะให้เกียรติเธอบ้าง’                 เธอนึกตำหนิเขาอยู่ในใจ สายตาของ ‘คาร์ลอส มิคาเอล’ กำลังจะทำให้เธอตกเป็นจำเลยของความสงสัย ซึ่งเธอมองว่ามันไม่ยุติธรรมกับเธอนัก ที่เขามองเธอด้วยสายตาเช่นนั้น ทั้งที่คาร์ลอสเองก็เพิ่งมาเมืองไทย และเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของเธอเลยด้วยซ้ำ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม