วันเวลาล่วงเลยมายังฉันเรียนจบและกำลังตัดสินใจว่าจะเรียนต่อหรือพอแค่นี้ เรื่องหัวใจดีขึ้นเยอะแล้วค่ะเจอหน้ากันก็เฉย ๆ ไม่ได้เกลียดแต่ขอไม่ยุ่งดีกว่า กับพี่ออกแบบเขามา ๆ หาย ๆ เราคุยกันค่อนข้างบ่อยแต่ไม่ได้เป็นอะไรกันนะ รู้แหละว่าเขาจีบแต่ฉันยังไม่พร้อมไงยังไม่อยากลากใครเข้ามา
“หนึ่งปีแล้วนะยังไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านอีกเหรอ”
“คิดค่ะแม่แต่ขออยู่อีกสักนิดผู้ชายห้องข้าง ๆ หล่อมาก”
“นี่!”
“ฮ่า ๆ”
ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ไม่ต้องกลัวว่าที่บ้านจะเหงานะคะเพราะเสียงเพลงก็ไปมาระหว่างบ้านฉันกับบ้านตัวเองบ่อย
“เรื่องเรียนคิดไว้หรือยัง”
“คิดค่ะ เทียบโอนเรียนวันอาทิตย์ เรียนด้วยทำงานด้วย”
“ไม่เรียนภาคปกติล่ะ”
“ไม่ค่ะ มันไม่เท่”
“แต่มันเหนื่อย”
“สบายมากหนูเก่งอยู่แล้ว” ตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไรมากนัก ฉันชินแล้วค่ะใช้เงินเก่งก็ต้องหาเงินเก่งด้วย
“รถน่ะจะไม่ใช้แล้วใช่ไหม” พ่อพูดขึ้นขณะกำลังล้างรถอยู่ ใช่ค่ะล้างรถของฉันนั่นแหละ “ถ้าไม่ใช้จะได้ชั่งกิโลขาย”
“พ่อขานั่นลูกรักหนูเลยนะคะ”
“ขนาดรักนะเนี่ย”
“แน่ะ! ประชดอีก” ฉันว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะอธิบายออกไปตามตรง “รถประจำทางก็ไม่แย่นะคะ ไม่ต้องห่วงหนูเดินทางเก่งแล้วและจะรับลูกสาวไปใช้วันนี้”
“ใช่สิพ่อมันล้างให้แล้วนี่”
... : ฮ่า ๆ
อยู่คุยและกินข้าวด้วยกันเสร็จฉันก็กลับห้องค่ะ หนึ่งปีเต็มที่ไม่ได้ขับรถรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันแฮะ
ครืด... ครืด...
“สวัสดีค่ะ”
[ทำอะไรอยู่]
“ขับรถกลับห้องค่ะ”
[ไปไหนมาครับ]
“ไปบ้านแม่มา”
[หนูไม่ได้อยู่บ้านหรอกเหรอ]
“ใช่ค่ะ รู้แค่นี้ก็พอห้ามถามต่อนะ”
[ดักทางซะงั้น] หลายเดือนมานี้เราคุยกันตลอดค่ะพี่เขาชวนคุยเก่งมาก [ว่างไหมเจอกันหน่อยสิ]
“หน้าห้องน้ำเหรอคะ”
[หื้ม!]
“ฮ่า ๆ”
[เสียงหัวเราะมีความสุขจังเลยครับ] ได้ยินแบบนั้นถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะหัวเราะอย่างมีความสุขอย่างนั้นเหรอ ... [สรุปว่างไหม]
“ตอนนี้ว่างค่ะ”
[ถ้างั้นตอนนี้ก็ได้ให้พี่ไปรับไหมหรือเราจะเจอกันที่ไหน]
“ตอนนี้พี่อยู่ไหนคะ”
[พี่อยู่บ้านครับงานเสร็จแล้วว่างสองสามวัน]
“งั้น...สวนสาธารณะในตัวเมืองก็ได้ค่ะ”
[ครับ ขับรถดี ๆ นะ]
“ค่ะ”
ที่ที่เรานัดเจอกันก็อยู่ใกล้หอพักฉันนั่นแหละและก็อยู่ใกล้บ้านเขาด้วยแต่เขาไม่รู้หรอกค่ะว่าฉันอยู่ที่ไหนเพราะฉันไม่ได้บอก
มาถึงก็เห็นพี่ออกแบบรออยู่ก่อนแล้ว เขาละสายตาจากมือถือแล้วมองมาทางฉัน ตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ยนาน ๆ ทีจะนัดเจอผู้ชาย
“...”
นานหลายนาทีที่เรามองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดอะไร บอกตามตรงว่าทำตัวไม่ถูกค่ะ
“เขินอะไรยืนบิดเป็นเด็กน้อยเลย” เขาว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินมาหาฉัน “พรุ่งนี้ทำงานไหม”
“ไม่ทำค่ะ พรุ่งนี้วันหยุด”
“ไปเที่ยวกัน”
“ที่ไหนคะ”
“ตามใจเราสิ”
“สวนสัตว์ค่ะ!” ตอบไวแบบไม่ใช้ความคิดแต่คนตรงหน้ากลับยกยิ้มให้ซะงั้นแทนที่จะคัดค้าน “ยิ้มอะไรล่ะคะ”
“พี่ก็ลืมคิดไปว่าเด็กน้อยชอบอะไรแบบนั้น”
“ประชด หลอกด่า หรือว่าอะไร ?”
“ไม่ใช่ทั้งหมด” เขายังคงพูดพร้อมรอยยิ้มแถมยังเอาแต่จ้องมองฉันอีกด้วย
“แล้ว...” คำพูดของฉันขาดหายไปเมื่อมีรถคันหนึ่งจอดแล้วลดกระจกแซว
“อะแฮ่ม! เห็นนะคะ” ผู้หญิงกับผู้ชายวัยกลางคนค่ะแถมเขายังยิ้มให้ฉันด้วย
“ทำเป็นไม่เห็นไปก่อนนะครับ”
“ไม่เห็นอะไรน่ารักเชียว”
“แม่! พ่อขับไปสิอย่าจอดนาน”
... : ฮ่า ๆ
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นก่อนที่รถจะขับเคลื่อนออกไปตามคำสั่งของเขา
“เขายิ้มให้หนูด้วย”
“พ่อกับแม่พี่เองแหละ” ให้ตายเถอะ! เป็นฝ่ายปฏิเสธเขาแต่สาระแนมาให้พ่อแม่เขาเจออีก “เงียบแบบนี้หลอกด่าพี่อยู่หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ด่าในใจพี่ก็ไม่รู้ตัวสิ”
“หึ...” เขาแค่นหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ “ตกลงพรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะ ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่อยากไปด้วยกันได้ไหม”
“ดักทางขนาดนี้หนูจะปฏิเสธอะไรได้” ถ้าบอกว่าพูดส่ง ๆ ไปอย่างนั้นแหละคงเสียน้ำใจน่าดูแต่ก็นะรับปากกับตัวเองไปแล้วนี่ว่าจะเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ก็แค่เที่ยวไปเช้าเย็นกลับคงไม่แย่หรอกมั้ง
“ถ้างั้นวันนี้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“หนูกินมาแล้ว”
“กินแล้วกินอีกก็ได้ไม่อ้วนหรอก” จบประโยคก็รั้งแขนฉันให้เดินตามเข้าไปในตลาด
อย่างที่เคยบอกว่าตัวเมืองมีของกินตลอดค่ะ ทั้งของหวานของคาวเยอะแยะไปหมด
“หนูอยากินอันนั้น”
“พี่อยากกินอันนี้”
ชี้มือกันไปคนละทางแต่มันก็ร้านเดียวกันนั่นแหละ ที่ฉันอยากกินคือราดหน้าทะเลค่ะส่วนของเขาเป็นเมนูข้าว
เข้าไปในร้านลูกค้าเยอะนะแต่รู้สึกว่าบรรยากาศมันคลุมเครือแปลก ๆ กระทั่งพี่ออกแบบจดเมนูให้พนักงานนั่นแหละถึงเพิ่งเข้าใจ
“ขอโทษนะคะลูกค้าเมนูข้าวขออนุญาตเชิญไปนั่งโต๊ะทางด้านโน้นนะคะ พอดีว่า...” เสียงพนักงานขาดหายไปพร้อมกับเสียงดังของแม่ค้ากับพ่อค้าที่กระแทกแดกดันกันจนพนักงานต้อนรับหน้าแห้งกันไปเป็นแถว “ค่ะ ตามนี้เลยค่ะ”
“ครับ” พี่ออกแบบขานรับอย่างเข้าใจและยอมย้ายที่นั่งแต่โดยดี
จากนั้นไม่นานพ่อค้าก็เอาป้ายมาติดว่าห้ามลูกค้าสั่งราดหน้าร้านโน้นมานั่งกินร้านนี้ (ยกเว้นร้านอื่น) จากตอนแรกที่เห็นเป็นร้านเดียวกันตอนนี้กลายเป็นสองร้านแล้วเพราะเขาเอาเชือกฟางมาผูกกั้น ลูกค้าคนอื่นไม่ได้พูดอะไรแค่รีบกินแล้วรีบจ่ายเงิน นี่สินะเลือกร้านผิดชีวิตเปลี่ยน
มองหน้ากันแล้วหัวเราะกันอยู่สองคน พยายามกลั้นแล้วแต่มันไม่ไหวค่ะ
แค่เพียงไม่นานราดหน้าของฉันก็มา แอบชำเลืองโต๊ะตรงข้ามในจานของเขาก็น่ากินเหมือนกัน ทุกอย่างน่ากินมากแต่น่าเสียดายที่คนขายไม่ถูกกัน
ฉันไม่ลืมที่จะถ่ายรูปไว้และจัดการโพสต์ลงโซเชียลด้วยแคปชั่นที่รู้กันแค่สองคน “นี่สินะที่เขาบอกว่าไม่กินเส้น >.
คอมเมนต์
“คืออะไรวะ”
“แอบไปเดตกับหนุ่มที่ไหนน่ะ”
“แคปชั่นมีพิรุธ”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรพวกมันและรีบกินจะได้ออกจากร้านนี้สักที บรรยากาศชวนอึดอัดจะหัวเราะเสียงดังก็เกรงใจอีก
ราวครึ่งชั่วโมงพี่ออกแบบก็ลุกไปจ่ายเงินและเดินตรงมาหาฉัน
“กลั้นขำไว้ก่อนนะเดี๋ยวโดนหักคอ”
“พี่!”
“ฮ่า ๆ” นั่นแหละค่ะ จะโดนพ่อค้าหักคอก็คราวนี้แหละ “เป็นฝ่ายจีบก่อนก็ถูกปฏิเสธเดทแรกก็ถูกจับย้ายโต๊ะอีกให้ตายเถอะทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้นะ” น้ำเสียงติดตลกเอ่ยก่อนจะยิ้มกว้างให้ฉัน “เริ่มต้นไม่ดีแต่จบดีแน่นอน”
“อะไรของพี่”
“เปล๊า!”