หลายวันผ่านไป
หลังจากทริปครอบครัวจบลงฉันก็หางานทำ เป็นพนักงานต้อนรับร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าค่ะ มาด้วยกันกับเอ้แต่ว่าเขารับแค่คนเดียวเอ้มันเลยไปสมัครร้านที่อยู่ข้าง ๆ แทน
“ร้านมึงเป็นไง”
“ก็ดีนะ ผู้จัดการร้านก็ดีแต่จะมีบางคนที่ทำตัวแก่กะโหลกกะลาอยู่”
“แบ่งพักแบ่งพวกเหรอ”
“เปล่า ชอบทำตัวขวางโลกอะ อายุงานมากกว่าเลยต้องข่มให้คนอื่นกลัว”
“ฮ่า ๆ เหมือนร้านกูเลย ช่างแม่งเหอะไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
กอดคอแล้วเดินเล่นกันตามประสาก่อนจะแวะเข้าร้านปิ้งย่าง
“ความจริงกูไม่ต้องมีแฟนก็ได้นะเนี่ยเพราะมีมึงคนเดียวก็แทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตอยู่แล้ว” ฉันว่าพลางมองอาหารในจานตัวเองซึ่งมีแต่ของโปรดทั้งนั้นก็มันนั่นแหละที่ตักให้
“เรื่องง่าย ๆ ถ้าคนคนนั้นไม่รู้มึงก็อย่าลำบากเอามันมาเป็นแฟนเลยกับอีแค่ชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรเพราะกูก็ใส่ใจให้ได้เหมือนกัน”
“รักนะคะสามีในอนาคต”
“ขนลุก! ไปไกล ๆ”
“ฮ่า ๆ”
เรื่องที่ขอออกมาอยู่ข้างนอกพ่ออนุญาตค่ะ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรและเข้าใจเจตนาของฉัน เหลือแต่พี่ชายฉันนี่แหละที่ยังไม่กล้าขอ ตั้งแต่เล็กจนโตเราสองคนแทบจะเป็นเงาตามตัวกันด้วยซ้ำไม่ว่าฉันจะผิดหรือถูกเขาก็อยู่ข้างฉันเสมอปกป้องตลอดแม้ว่าฉันจะทำผิดก็ตาม ไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นมองเขายังไงแต่สำหรับฉันเขาเป็นพี่ชายที่ดีมาก
“จริงสิ วันนี้กูเจอพี่คนนั้นด้วย เขามากินข้าวที่ร้าน”
“คนไหน”
“ชื่ออะไรนะ ... คนนั้นที่เล่นกีต้าร์ด้วยกัน พี่ออกแบบ ใช่! กูจำได้ละ”
“แล้ว ?”
“ไม่มีอะไรแค่พูดให้ฟังเฉย ๆ โลกกลมเนอะบังเอิญเจอเขาที่นี่อีก”
“ก็เขาอยู่แถวนี้” ได้ยินแบบนั้นมันจึงวางตะเกียบลงแล้วหันมาสนใจฉันด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่มีอะไรเขาเป็นลูกค้าประจำของพ่อกู”
“มีสิ! เล่ามาอย่าให้กูต้องสืบ”
“เล่าอะไรก็มันไม่มีอะไร”
“ต่อหน้าทำเป็นไม่รู้จักอย่าให้กูรู้นะว่าลับหลังแอบไปเดทกัน”
“ปัญญาอ่อน”
“เดี๋ยวก็รู้! เจอคนดูแลเข้าหน่อยมึงอาจจะแพ้ก็ได้”
“แพ้อะไร ?”
“ไม่บอกไปหาคำตอบเอาเอง” ฉันไม่ได้ตอบอะไรและไม่ได้สนใจคำพูดของมันสักเท่าไหร่ “เดี๋ยวนะ! เป็นลูกค้าประจำแล้วทำไมไม่เห็นลุงเก้าทักเลย”
“ไม่รู้ดิ มึงอยากรู้ก็ไปถามพ่อกูเองแล้วกัน”
แยกกันกับเอ้ฉันก็กลับบ้านตามปกติ แต่ไม่ปกติตรงที่พี่ปั้นนั่งรออยู่ก่อนแล้วนี่แหละ
“...”
“ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนี้”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยก่อนจะเดินนำฉันไปยังห้องตัวเอง
“คุยกันดี ๆ นะใช้เหตุผลไม่ใช่ข้ออ้าง” พ่อพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพี่ปั้น “ทุกอย่างเป็นไปตามการตัดสินใจของหนูอยู่แล้วแต่พี่เราก็สำคัญเพราะฉะนั้นอย่าผิดใจกันแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“ค่ะ”
สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเปิดประตูเข้าไป บอกตามตรงว่าประหม่ามากกว่าตอนถูกเรียกเข้าห้องปกครองซะอีก
“มานั่งนี่จะยืนอีกนานไหม”
“อย่าดุสิหนูกลัวนะเนี่ย”
“ยังไม่ได้ดุเลย”
นานหลายนาทีที่ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา ...
“ในบ้านไม่มีความสุขเหรอ”
“มีความสุขค่ะ”
“อบอุ่นไหม”
“อบอุ่นค่ะ”
“แล้วทำไมถึงอยากออกไปอยู่ข้างนอกล่ะ”
“อยากลองใช้ชีวิตคนเดียวค่ะ”
“ขอเหตุผลจริง ๆ”
“อยากอยู่คนเดียวค่ะ อยากอยู่ในที่ที่ไม่เคยอยู่ไปในที่ที่ไม่เคยไป บางทีตรงนั้นอาจจะมีความสุขรอหนูอยู่ก็ได้” ฉันบอกออกไปตามความต้องการของตัวเองแล้วก็หวังให้คนตรงหน้าเข้าใจ “การเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ มันอาจจะทำให้หนูยิ้มได้มากกว่านี้ก็ได้”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับอ้อมกอดที่คุ้นเคย
“ใช้ชีวิตคนเดียวมันเหนื่อยนะเพียงฝันแต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเราพี่ก็ห้ามอะไรไม่ได้ ทำในสิ่งที่อยากทำ ค้นหาตัวเองให้เจอแล้วอย่าลืมเอาเสียงหัวเราะกลับมาด้วยนะ พ่อกับแม่อายุมากขึ้นทุกวันคงไม่ได้อยากเห็นเราจมอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ นานนักหรอก”
“เข้าใจแล้วค่ะ วันไหนเหนื่อยหนูจะโทรมาบ่นให้พี่ฟังนะ”
“เปลี่ยนจากเสียงบ่นเป็นเสียงหัวเราะเหมือนเดิมจะขอบคุณมากครับ”
“ค่ะ”
หลังจากคุยกันเข้าใจสามวันหลังจากนั้นฉันก็ย้ายออกมาค่ะ เป็นหอพักธรรมดานี่แหละไม่เล็กเกินไปและไม่ใหญ่เกินไป
“ดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“อย่าขาดการติดต่อด้วย”
“มีอะไรก็โทรมา”
“เข้าใจแล้วค่ะ แต่ว่าห้ามบอกใครนะคะว่าหนูอยู่ที่ไหน” ความจริงฉันไม่อยากให้ใครรู้เลยสักคนด้วยซ้ำแต่เห็นแก่ความห่วงใยและความรักนี้แล้วมันทำไม่ได้ค่ะเพราะนี่คือคนในครอบครัวไม่ใช่คนอื่น
“ออกไปเที่ยวไหนก็บอกหน่อยนะไม่ใช่หายเงียบไปเลย” พี่ปั้นยังคงย้ำประโยคเดิมจนฉันแปลกใจ
“พี่พูดอย่างกับหนูจะหายไปไหนอย่างนั้นแหละ”
“หนูไม่หายไปไหนหรอกแต่หนูจะเสพติดการอยู่คนเดียวมากกว่า เสียงเพลงเป็นแบบนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งพี่ไม่อยากเห็นภาพซ้อนหรอกนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะหนูสร้างกำแพงเสร็จเมื่อไหร่จะรีบย้ายกลับเลย” ฉันยังคงฉีกยิ้มสู้ทั้งที่ในใจมันโหวงเหวงไปหมด เคยอยู่คนเดียวซะที่ไหนล่ะ
“สร้างไปก็เท่านั้นแหละสักวันหนึ่งก็ต้องมีคนปีนขึ้นไปอยู่ดี”
“ปีนมาเลยค่ะถ้าข้ามกำแพงมาได้หนูจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ”
“หึ!”
คล้อยหลังทุกคนฉันก็จัดข้าวของให้มันเข้าที่เข้าทาง อยากจะร้องไห้แค่แขวนเสื้อผ้าใส่ตู้ก็เหนื่อยแล้วค่ะปกติแม่ทำให้ไง
ที่ที่ฉันอยู่เป็นหอพักในตัวเมืองใกล้ที่ทำงานและก็ใกล้วิทยาลัย กว่าจะทำอะไรเสร็จก็เกือบเย็นนั่นแหละ ออกไปหาอะไรกินทำนั่นทำนี่ยังไม่ทันข้ามวันก็สัมผัสได้ถึงคำว่าเหนื่อย!
ตื่นเช้าก็ต้องรีบแต่งตัวและโหนรถเมล์ไปทำงานเพราะไม่ได้เอารถยนตร์มาใช้ไม่เข้าเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย ที่พ่อกับแม่ไม่ห้ามเพราะเขารู้สินะว่าฉันจะเจออะไรบ้างถึงได้ปล่อยตามใจ แต่ก็อย่างว่าแหละฉันมันรั้นต้องเจอกับตัวเองถึงจะรู้สึก
หนึ่งเดือนผ่านไป
ฉันเสพติดการอยู่คนเดียวอย่างที่พี่ปั้นบอกนั่นแหละ เช้าทำงานเย็นกลับห้อง เช้าไปเรียนเย็นกลับห้องไม่สุงสิงกับใครใช้ชีวิตคนเดียวประหนึ่งว่าโลกใบนี้มีแค่ฉัน ไม่สิ! บางวันก็ยังออกเที่ยวกลางคืนอยู่แต่ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อนอย่างเช่นวันนี้
“ไม่รับวะกูเห็นโทรหลายครั้งแล้ว” เอ้เอ่ยเมื่อเห็นมือถือฉันมีสายเรียกเข้า
“แก๊งคอลเซ็นเตอร์มั้ง” ตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋า
แค่เพียงไม่นานเฟรมกับปริ้นก็มาค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าสนิทกันตอนไหนรู้ตัวอีกทีมันก็อยู่กับฉันทุกที่เหมือนเอ้นั่นแหละ
“กูไปห้องน้ำแป๊บนะ”
“เออ”
กว่าจะถึงห้องน้ำฉี่แทบราดค่ะเพราะคนเยอะ ทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังจะเดินกลับแต่ก็ถูกใครบางคนรั้งไว้ซะก่อน
“เจอกันบ่อยขนาดนี้ต้องเป็นพรหมลิขิตแล้วแหละ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพลางอมยิ้มให้เล็กน้อย
“พรหมไม่ได้ลิขิตค่ะแต่บ้านพี่อยู่แถวนี้”
“มากับใครเหรอ”
“เพื่อน”
“พี่ก็มากับเพื่อนเหมือนกัน”
“ไม่ได้ถาม”
“อยากบอกครับ” เขาว่ายิ้ม ๆ แล้วพูดต่อ “โทรไปไม่รับเลยนะ”
“คะ ?” ถึงกับทวนคำพูดอีกครั้งแล้วกดโทรออกไปเบอร์ที่โทรมาบ่อย ๆ แต่ฉันไม่ได้รับเพราะคิดว่าเป็นเบียร์
แน่นอนว่ามือถือของคนตรงหน้ามีสายเรียกเข้าและปลายสายก็คือเบอร์ฉันเอง
“พี่มีเบอร์หนูได้ยังไง”
“ลักจำมา”
“นิสัย!”
“ถ้าขอจะให้เหรอ”
“ให้หรือไม่ให้ก็ควรขอนี่คะ”
“งั้นขอครับ” ฉันเงียบแล้วมองคนตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า “ว่ายังไง ?”
“จำได้ว่าหนูพูดกับพี่ชัดเจนแล้วนะคะ”
“ใช่ไง หนูบอกว่าไม่ให้พี่ยุ่งแต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้จีบนี่”
“พี่นี่แปลกคนดีแฮะ”
“ต้องลองทำความรู้จักกันก่อนนะถึงจะรู้ว่าแปลกไหม”
“หนูนิสัยไม่ดีนะแล้วอย่าหาว่าไม่เตือน”
“ไม่เป็นไรพี่เอาอยู่”
“...”
“เจอกันครั้งต่อไปไม่เอาหน้าห้องน้ำแบบนี้แล้วนะถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รับสายบ้าง”
ใช่ค่ะฉันไม่เคยรับสายเลยเพราะก่อนหน้านี้เบียร์เปลี่ยนเบอร์โทรมาตลอดฉันจึงรับเฉพาะแค่คนรู้จัก
แยกกันกับเขาฉันก็กลับมาหาเพื่อนตามเดิม ส่วนพี่ออกแบบเขาเดินไปอีกด้านหนึ่ง
“หายไปเป็นชาติกูนึกว่าหลับคาห้องน้ำไปแล้ว” เฟรมโวยวายยกใหญ่เมื่อฉันมาถึง “หรือแอบไปเจอผู้ชายในฝันมา”
“อือ!”
“สาธุ... กูขอให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพี้ยง!!” ไม่พูดเปล่าเอ้มันยังยกมือท่วมหัวอีกด้วย
“มึงอยากให้กูสละโสดขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“เออ หล่อรวยนิสัยดีด้วยจะดีมากมึงจะได้เลิกทำตัวอยู่นอกโลกสักที”
“สัส!”
... : ฮ่า ๆ