วันเวลายังคงเดินไปตามหน้าที่ของมัน สิ่งที่ฉันทำได้คือยอมรับความจริงและพาตัวเองก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นไปให้ได้
“วันหยุดนี้พ่อจะพาไปเที่ยวทะเล” ได้ยินแบบนั้นถึงกับดีดตัวลุกนั่งให้ไว
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“อยากพักผ่อนและพาแม่ไปเที่ยวเฉย ๆ เพื่อนพ่อด้วยหลายคนสนุกดี หนูชวนเพื่อนมาด้วยก็ได้นะ”
“เพื่อนเหรอคะ ก็มีแค่เสียงเพลงกับเอ้ไง”
พ่อไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแค่ลูบศีรษะฉันแล้วเดินจากไป
ฉันไม่ร้องไห้แล้วนะคะ หลังจากวันนั้นที่ให้คำสัญญากับตัวเองฉันก็ไม่ร้องอีกเลย อาจมีบ้างที่ซึมและคิดถึงแต่ช่างเถอะแค่ช่วงเวลาหนึ่งก็หายแล้ว
ปกติจะไปไหนจะทำอะไรก็มีเขาเป็นส่วนร่วมเสมอแต่ไม่นานมานี้ฉันทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้วนะคะ ไปคาเฟ่คนเดียวก็ไม่แย่ กินข้าวในร้านประจำคนเดียวก็ไม่แย่เหมือนกัน จะว่าไปก็เริ่มเสพติดการใช้ชีวิตคนเดียวแล้วซึ่งมันก็รู้สึกดีไปอีกแบบ ตัดสินใจเอง ชอบหรือไม่ชอบอยากกินหรือไม่อยากกิน ตัดสินใจได้เองหมดโดยไม่ต้องคอยถามใครว่าชอบเหมือนกันหรือเปล่า อันนั้นสวยไหม แต่งตัวแบบนี้เป็นยังไง
มองย้อนกลับไปก็เสียเวลาชีวิตเหมือนกันนะแต่ว่าฉันไม่เสียดายหรอกอย่างน้อยช่วงเวลาหนึ่งมันก็มีความรู้สึกดี ๆ เกิดขึ้นจริง
“พ่อขา”
“ว่ายังไง”
“ขอเงินค่ะ!” พลางฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเหล็กจัดฟันสีสวย
“โตจนป่านนี้ยังแบมือขอเหมือนเด็ก ไม่กลัวถูกล้อเหรอ” ปากพูดแบบนั้นแต่ก็หยิบเงินให้ค่ะ ให้เยอะด้วย
“ไม่กลัวค่ะ หนูขอพ่อตัวเองไม่ได้ขอพ่อคนอื่นนี่”
“ปากคอเลาะร้าย”
“ไม่ได้หรอก แม่สอนให้ปล่อยวางแต่พ่อสอนให้ปล่อยหมัดนะ”
“แค่พี่ปั้นคนเดียวพ่อก็ปวดหัวพอแล้วนะ”
“หนูรับปากแล้วไงว่าจะไม่มีเรื่องกับใครอีก ถ้ามันไม่กวนตีนก่อน” ประโยคหลังฉันพูดออกไปเสียงแผ่วเบาแต่คนตรงหน้าก็ได้ยินอยู่ดี
“เฮ้อ!”
“รักพ่อนะคะ” จบประโยคก็หอมแก้มอย่างเช่นทุกครั้งแล้วกลับเข้าห้องอาบน้ำแต่งตัวสวย ๆ ไปใช้เงินแก้เครียดสักหน่อย
สถานที่ที่ฉันมาก็คือตลาดขายส่งเสื้อผ้าค่ะ แน่นอนว่ามันถูกกว่าบางเพจหรือหน้าร้านทั่วไปอยู่แล้ว เห็นแบบนี้ฉันขี้งกมากนะจะบอกให้
เข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนไปหยุดอยู่ที่ร้านขายชุดว่ายน้ำค่ะ แล้วความคิดหนึ่งมันก็แวบเข้ามาในหัวจากนั้นก็กดถ่ายรูปแล้วส่งให้เพื่อนสาวเลือกทันที
“สักชุดไหม ?”
[สองชุดได้ไหมเลือกไม่ถูก สีดำก็สวยสีชมพูก็สวย]
“งั้นสองชุดเลยฉันซื้อให้”
[ไม่ ๆ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง]
“ไม่ต้องเกรงใจฉันจะเลือกให้แซบ ๆ เลย”
ปิดแช็ตแล้วเก็บมือถือจากนั้นก็เลือกมาสองสามชุดค่ะ เสียงเพลงกับฉันก็ตัวเท่ากันนั่นแหละแต่รายนั้นหน้าอกหน้าใจแม่เขาให้มาเยอะกว่า ถึงอย่างนั้นก็ไม่อิจฉาหรอกค่ะแม่ฉันก็ให้มาเยอะแค่น้อยกว่าเธอนิดเดียวเอง
ได้ของที่ต้องการครบแล้วก็กลับค่ะ แต่ก่อนเข้าบ้านก็แวะคาเฟ่ร้านประจำสักหน่อยมาบ่อยจนเขาจำหน้าได้แล้ว
ไปนั่นไปนี่แวะไปเรื่อยกว่าจะถึงบ้านก็เย็นแล้วค่ะ
“ไปไหนมาคะคนสวย” แม่เอ่ยเมื่อเห็นฉันหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับมา
“ไปชอปเสื้อผ้ามาค่ะได้มาเยอะเลย อ๋อ! หนูซื้อมาฝากแม่ด้วยนะคะ”
“ไหนดูหน่อยสวยไหม”
วุ่นวายกันอยู่สองคนเงยหน้ามาอีกทีพ่อก็หยุดยืนตรงหน้าแล้วค่ะ
“เสื้อผ้าเต็มตู้แต่ไม่รู้จะใส่อะไร” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพลางส่ายหน้าให้ฉันกับแม่ “ตีสักทีมั้งทั้งคู่เลย”
“แม่ขาพ่อบ่นค่ะ”
“ปล่อยเขาบ่นไปเถอะลูกเขาแก่แล้ว”
“คิกคิก”
พ่อไม่ได้ตอบอะไรแค่ส่ายหน้าให้กับคำพูดของแม่เท่านั้นเอง แต่จะว่าไปเขาไม่เคยบ่นเลยนะคะเรื่องการแต่งตัวของแม่ จะรัดรูปจะสั้นหรือเปิดไหล่ยังไงก็ได้เอาที่แม่มั่นใจเลย เป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว
“เดี๋ยวเอาของไปส่งด้วย”
“อะไรของพี่มันจะมืดแล้วนะยังให้ลูกออกไปอีก” แม่เหวเสียงใส่แทบจะทันทีเมื่อได้ยินพ่อออกคำสั่งกับฉันแบบนั้น
“รับค่าแรงไปแล้วก็ต้องทำงานด้วยครับเดี๋ยวจะฟาดให้ทั้งแม่ทั้งลูกเลย”
“แล้วทำไมพี่ไม่ไปเอง”
“ขี้เกียจ”
“นิสัย!”
“ดี” หยอกล้อกันประหนึ่งคู่รักวัยรุ่นเลยแฮะ จากนั้นไม่นานพ่อก็ไปหยิบกล่องอะไรสักอย่างมาให้ฉัน “โอนจ่ายแล้วที่เดิมนะ”
“ที่เดิมนี่มันที่ไหนคะพ่อพูดอย่างกับลูกค้าประจำตัวเองมีคนเดียวไปได้”
“ก็บ้านสีฟ้าน้ำทะเลนั่นไง”
“อ๋อ...แล้วก็ไม่บอกแต่ทีแรก”
“ไปได้แล้วอย่ามัวโอ้เอ้อยู่ นั่นเบอร์โทรเผื่อไปไม่เจอใคร”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจและเอาชุดที่ซื้อมาไปเก็บก่อน
ช่วงเย็นบริเวณตัวเมืองรถจะติดค่ะกว่าจะมาถึงฟ้าก็มืดแล้วที่สำคัญไฟในบ้านปิดมืดสนิทราวกับไม่มีคนอยู่อีกด้วย เห็นแบบนั้นฉันจึงกดกริ่งหน้าบ้านดูเผื่อว่าบางทีจะมีคนออกมาแต่ก็นั่นแหละค่ะ ไม่มีใครสักคน
[ว่าไงไปไม่ถูกเหรอ]
“พ่อคะไม่มีใครอยู่สักคน”
[โทรไปเบอร์ที่อยู่หน้ากล่องสิครับลูก]
“เฮ้อ... สงสัยต้องคิดเพิ่มแล้วค่าเสียพลังงาน”
[บ่นเก่งเหมือนแม่ไม่มีผิด] น้ำเสียงติดตลกเอ่ยแล้วกดวางสายไป
หลังจากวางสายพ่อฉันก็กดโทรหาเบอร์ที่อยู่หน้ากล่องค่ะ สายแรกไม่รับ สายที่สองไม่รับ จนสายที่สาม...
[สวัสดีครับ] น้ำเสียงงัวเงียมากคล้ายคนเพิ่งตื่น
“สวัสดีค่ะ พ่อให้เอาของมาส่งค่ะที่โอนจ่ายแล้วตอนนี้หนูอยู่หน้าบ้านแต่เหมือนจะไม่มีใครอยู่ให้เอาวางไว้ตรงไหนคะ” ฉันร่ายประโยคยาว ๆ ออกมาและไม่สนว่าคนฟังจะฟังทันหรือเปล่า
[ขอโทษครับพี่จะรีบออกไป]
แค่เพียงไม่นานไฟในบ้านก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละดวงตามมาด้วยร่างสูงที่กำลังเดินมาทางฉัน สภาพคือเพิ่งตื่นหัวยุ่งมาเชียว
“รอนานไหม”
“นานค่ะ”
“ขอโทษครับ” เขาว่ายิ้ม ๆ แล้วรับของไปแถมยังมองฉันด้วยสายตาอะไรก็ไม่รู้
“หมดธุระแล้วขอตัวนะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ”
“เดี๋ยวสิ!”
“...”
“ถ้าสั่งอีกครั้งต่อไปเราจะมาส่งไหม”
“หมายถึงหนูเป็นคนมาส่งน่ะเหรอ”
“ใช่”
“ไม่รู้สิ แล้วแต่ว่าใครว่างและก็ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจของพ่อด้วย” ความจริงพ่อไม่ได้ขี้เกียจหรอกค่ะเขากำลังสอนฉันทางอ้อมต่างหาก บ้านอื่นมีลูกสาวอาจจะโอบเสมือนไข่ในหินแต่บ้านนี้ไม่ใช่ ทุกคนต้องทำได้ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย “ว่าแต่พี่ถามทำไมคะ”
“น่ารักดีอยากเจออีก”
“...”