กุลสตรีขมวดคิ้วอย่างคนช่างสงสัย “ปันรู้อะไรไหม สายตาของท่านประธานตอนมองปันเหมือนอยากจะปอกเปลือกปันออกมาเลยนะ มองแบบตาหวานฉ่ำมากอะ ท่านประธานลอบมองปันตั้งแต่ในห้องประชุมแล้ว อุ่นแอบเห็น ไม่รู้คิดอะไรกับปันหรือเปล่า”
“สายตาอุ่นต้องแย่ไปแล้วละ เขาไม่ได้คิดอะไรกับปันหรอก” สปันหัวเราะ เพราะว่าเขาเป็นแฟนกับหมอก้องต่างหาก
“ไม่จริง อุ่นไม่เคยมองพลาด ก็เหมือนที่อุ่นมองว่าพี่หนึ่งกับยายคุณพัดชาแอบกินกันก็ยังเป็นเรื่องจริงเลยเห็นไหม” พอพูดจบกุลสตรีก็รีบเอามืออุดปาก “ขอโทษนะปัน อุ่นไม่น่าพูดถึงเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ปันไม่ได้คิดอะไรแล้ว อีกอย่างเรื่องจริงนี่นา แต่ว่าต่อไปอุ่นอย่าพูดถึงเรื่องของพวกเขาอีกก็พอ ปันไม่อยากรับรู้แล้ว”
กุลสตรีรีบเกาะแขนเอาใจ “รับรองว่าจะไม่พูดอีก อุ่นก็ไม่อยากพูดถึงเท่าไร แขยงปาก”
สปันหัวเราะเบาๆ แล้วนั่งประจำโต๊ะทำงานของตัวเอง กระทั่งเย็นเลิกงานเซลส์คนสวยก็เก็บของสะพายกระเป๋าออกมา แต่ว่ากุลสตรีนั้นกลับไปก่อนแล้วเพราะมีนัดกับลูกค้า ส่วนคนอื่นๆ ยังประชุมงานกับจอมพลเพราะทำยอดขายได้ไม่ดี สปันก้มมองเวลาเธอต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว
ร่างบอบบางเดินไปที่ชั้นจอดรถ ทว่าเมื่อสตาร์ตก็พบว่าเครื่องยนต์ไม่ติด สปันถอนใจยาว
“เสียอีกแล้วหรือเนี่ย” สปันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทร.หาช่างคู่ใจที่เรียกใช้บริการประจำ “มาที่เดิมนะคะ” เธอบอกกับช่าง
เมื่อโทร.บอกช่างเรียบร้อยแล้วสปันก็เก็บของออกมากลับไปนั่งรอที่ออฟฟิศ พอดีกับคุณอัจฉราซึ่งมีตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการเดินลงบันไดมาพอดี
“ปันนั่งรออะไรจ๊ะ”
“คุณอัจฉรา สวัสดีค่ะ” สปันลุกขึ้นยกมือไหว้ “ปันรอช่างมาลากรถไปค่ะ”
“รถเสียอีกแล้วหรือจ๊ะ”
สปันพยักหน้าแหยๆ รถเธอเสียบ่อยจนเพื่อนร่วมงานจำได้
“อีกนานไหม พี่ก็รีบเสียด้วยสิ จะต้องไปรับลูกที่บ้านคุณตาคุณยาย ไม่งั้นจะรอเป็นเพื่อน”
“คุณอัจฉราไม่ต้องรอเป็นเพื่อนปันหรอกค่ะ รีบไปรับลูกเถอะค่ะ ปันรอคนเดียวได้”
สปันตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่คิดไม่ถึงว่ามีใครอีกคนเดินตามอัจฉรามาด้วย อัจฉรายิ้มให้คนที่เดินตามหลังมาเพราะเพิ่งประชุมกันจบ เพิ่งมาทำงานวันแรกก็เรียกเธอประชุมถึงเย็นแล้ว “ปัน พี่ลืมบอกว่าท่านประธานชมปันด้วยนะว่าทำยอดขายเก่ง”
สปันยิ้มหวาน
“ขายเก่งแบบนี้ถอยรถใหม่เลยสิครับ”
“ก็คิดเหมือนกันค่ะ แต่ว่ารอเก็บเงินอีกสักพักดีกว่า”
“ท่านประธานคะ รถของน้องปันเสีย เรามีนโยบายช่วยเซลส์ให้ใช้รถของบริษัทได้ ฉันจะทำเรื่องให้น้องปันยืมรถดีไหมคะ”
ณัฐเศรษฐ์มองคนสวยที่ยืนมองเขาด้วยแววตาดีใจ “ไม่ดีกว่าครับ เรื่องนี้ผมขอทบทวนหน่อยดีกว่า ตอนเลิกประชุมคุณอัจฉราบอกว่าต้องรีบกลับไปรับลูกที่บ้านคุณแม่ไม่ใช่หรือครับ ทำไมยังไม่รีบกลับอีก เดี๋ยวรถติดนะครับ”
“จริงด้วย มัวแต่คุยเพลิน ฉันขอตัวก่อนนะคะ” อัจฉรารีบโบกไม้โบกมือลาแล้วรีบเดินออกไป ทิ้งให้สปันยืนนิ่งอยู่กับที่
ณัฐเศรษฐ์เห็นสปันยืนนิ่งค้าง ในมือมีกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ที่บ่ามีกระเป๋าสะพายข้าง และยังมีแฟ้มเอกสารถือไว้อีก เขาเลยเดินไปใกล้ๆ ขณะที่สปันมองด้วยความตกใจ
“ท่านประธานทำอะไรคะ”
“ไม่มีใครแล้ว เรียกชื่อดีกว่าครับ”
“เอ่อ ค่ะ คุณณัฐจะทำอะไรคะ”
เขายิ้มแทนคำตอบแล้วเอื้อมมือที่สวมนาฬิการาคาแพงมาที่เธอ เขาดึงกระเป๋าโน้ตบุ๊กไปถือไว้ “ผมช่วยถือ เดี๋ยวบ่าจะหลุดก่อนนะครับ”
“มะ ไม่ต้องหรอกค่ะ” สปันดึงคืน แต่กลายเป็นว่าไปจับมือเขาไว้แทน
เหมือนไฟช็อร์ตเบาๆ ทำให้สปันสะดุ้ง ดวงตาประสานกับเขาอย่างจัง ก่อนจะผละมือออกมา นิ่วหน้าราวกับถูกของร้อนลวกมือ
“ปันเกรงใจค่ะ ไม่ต้องช่วยถือก็ได้”
“ผมเป็นผู้ชายจะเห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ถือของหนักได้ยังไง ผมช่วยดีกว่า”
“ปันเกรงใจคุณณัฐค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมยินดีช่วย ช่างจะมาถึงเมื่อไร”
สปันเลยได้สติตอนที่เขาถาม เธอโทร.เช็กช่างอีกครั้งก็ได้รับคำตอบว่าใกล้จะมาถึงแล้ว “เขาอยู่หน้าตึกแล้วค่ะ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนนะคะ”
“ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนคำขอบคุณได้ไหมครับ”
“ขออะไรคะ”
“ขอเบอร์ไว้คุยเรื่องงานได้ไหม”
สปันจ้องหน้าเขา ถ้าขอเบอร์เพื่อคุยเรื่องงานก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แม้จะดูแปลก แต่ว่าในที่สุดสปันก็พยักหน้าแล้วบอกเบอร์เขา ณัฐเศรษฐ์หยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมาแล้วกดบันทึกเบอร์ “ขอไอดีไลน์ด้วยครับ”
“คะ”
“ไอดีไลน์ด้วยครับ เผื่อดึงเข้ากลุ่มไลน์ผู้บริหาร”
สปันขมวดคิ้ว มีกลุ่มไลน์ผู้บริหารด้วยหรือ เธอไม่ยักรู้ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องงานก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เธอให้คำตอบตัวเองเหมือนเดิม
“ได้ค่ะ” สปันบอกไอดีไลน์เขา เท่ากับว่าตอนนี้เธอมีเบอร์ท่านประธานและยังเป็นเพื่อนกับเขาด้วย เขาช่างเป็นเจ้านายที่ละเอียดรอบคอบจริงๆ สปันคิดแล้วยิ้มให้เขา นั่นทำให้คนหล่อมองด้วยความชอบใจ อมยิ้ม แล้วบันทึกชื่อของสปันว่า VIP
บอกไลน์ไอดีกับเขาไม่นานช่างก็มาถึง ตรวจสอบอาการแล้ว ช่างคนเดิมก็เรียกรถลากมา สปันยืนมองรถที่ถูกลากออกไปแล้วต้องเบนหน้าหนีด้วยความสงสารรถและสงสารตัวเอง
“ไปโรงพยาบาลใช่ไหม เดี๋ยวผมไปส่ง” ณัฐเศรษฐ์ถาม
สปันเลิกคิ้วมองเขา “ปันไปเองได้ค่ะ”
“ผมจะไปหาหมอก้องด้วย ไปด้วยกันก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
“จะดีหรือคะ ปัน เอ่อ”
ณัฐเศรษฐ์เลยช่วยตัดสินใจด้วยการเดินนำหน้าไป ขณะที่สปันเห็นเขาเดินไปพร้อมกับกระเป๋าโน้ตบุ๊กก็รีบวิ่งตามเขาไปทันที
“คุณณัฐ กระเป๋าโน้ตบุ๊กของปัน” เธอเดินแกมวิ่งตามเขาไปถึงรถเฟอร์รารี่คันหรู แล้วชี้มือไปที่ของของเธอซึ่งอยู่ในมือเขา “ขอกระเป๋าคืนด้วยค่ะ”
“อยากได้หรือครับ”
“ใช่ค่ะ ปันจะเอาไปตอบเมลลูกค้าค่ะ ขอปันคืนนะคะ”
ณัฐเศรษฐ์นึกสนุกขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าน่ารักมีแววออดอ้อน แล้วนึกถึงยามที่ร่างอรชรเต็มไม้เต็มมือของสปันนอนอยู่ใต้ร่าง
บ้าฉิบ
เขาสบถออกมาแล้วสะบัดความคิดห่ามหื่นออกไป
“ถ้าอยากได้ก็ขึ้นรถไปกับผม” เขาบอกแล้วบุ้ยใบ้ไปที่รถ ขณะที่สปันมองหน้าคนหล่อด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องมายุ่งกับของของเธอด้วย แต่คนที่ยึดกระเป๋าไว้ในมือก็ไม่สนใจเมื่อเขาขึ้นรถไปประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว
สปันเหวอ รีบก้าวตามไปนั่งที่ข้างคนขับ “คุณณัฐทำแบบนี้ไม่ถูกเลยนะคะ หยิบของปันไปเฉยเลย” สปันต่อว่าเขาทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ
“ปันขึ้นมาบนรถผมเองนะครับ ทำไมถึงบอกว่าผมทำไม่ถูก แล้วโน้ตบุ๊กนี่อยากได้คืนก็ได้ครับ แต่ว่าผมจะจอดอีกทีก็คือที่โรงพยาบาล”
เขาบอกแล้วยิ้มยียวนมาให้ ทำให้สปันได้แต่มองอย่างเข่นเขี้ยว นี่คือตัวตนจริงของเขาใช่ไหม กวนประสาทสุดๆ ไปเลย แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเขาทำแบบนี้ทำไม แกล้งเธอให้โมโหน่าสนุกเหรอ เขาอยากไปส่งก็ดี เธอนั่งรถเขาไปก็สบาย ในเมื่อมีสารถีหล่อๆ มาขับรถให้
สปันไม่ได้คุยกับเขา ณัฐเศรษฐ์เองก็ไม่ได้ชวนคุยอะไรมาก กระทั่งถึงโรงพยาบาล
“ผมจะไปเยี่ยมคุณพ่อของปันด้วย”
“อ้าว ไหนว่าจะมาหาหมอก้องไม่ใช่หรือคะ” สปันถามหลังจากลงรถมาแล้ว
“วันนี้หมอก้องหยุด ผมไม่ได้บอกปันเหรอ”
สปันจ้องตาเขา “บอกค่ะ แต่บอกว่ามีนัดกับหมอก้องที่โรงพยาบาล ไม่ได้บอกว่าหมอก้องหยุด” ถ้าเป็นเพื่อนกันเธอจะแหวใส่มากกว่านี้อีก โทษฐานที่พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย
“ผมพูดผิดมั้ง เอาเถอะ นี่ไม่ใช่ประเด็นหรอก ปันไม่รีบไปเยี่ยมคุณพ่อหรือครับ”
สปันกลอกตาไปมา เขาพูดจาพลิกลิ้นเร็วจนเธอตามไม่ทัน “คุณณัฐอยากไปเยี่ยมคุณพ่อของปันจริงๆ หรือคะ คือปันคิดว่า ปันไม่รู้จะแนะนำคุณว่ายังไงดี”
“ปันบอกว่าผมเป็นเจ้านายที่บริษัทแวะมาส่งไงครับ ท่านจะได้ไม่สงสัยว่าผมเป็นใครแล้วก็ดูน่าเชื่อถือด้วย”