หน้าหล่อๆ นั้นยิ้ม แต่ดวงตาไม่ยิ้มด้วย
“ปันต้องประชุมด้วยไหม” เขาถามให้ได้ยินกันสองคน
สปันพยักหน้า หัวใจเต้นแรงแทบกระดอนออกมานอกอก ที่จริงเธอเป็นคนมีความมั่นใจ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้เธอมีอาการเหมือนสมองบวมน้ำไปเหมือนกัน
“งั้นกลับไปนั่งที่” เขาบอกแล้วมองจนคนตัวเล็กเดินไปนั่งแล้วถึงกลับไปนั่งที่บ้าง “ผมมาเพื่อจะบอกนโยบายของผมให้ทุกคนทราบ และขอให้ทุกคนทำตามนี้ เพื่อที่จะนำพาบริษัทให้รอดพ้นจากภาวะขาดสภาพคล่อง เพื่อทุกคนจะได้มีงานทำกันต่อไป”
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ทุกคนในห้องนั้นมึนงงไปตามๆ กัน ทั้งเรื่องงานและเรื่องอุบัติเหตุในห้องประชุม บริษัทขาดสภาพคล่องอย่างนั้นเหรอ พนักงานในห้องนั้นเพิ่งจะทราบความจริง ขณะที่คุณสมพงษ์พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าปล่อยตามน้ำ เพราะเขาขายบริษัทไปแล้วไม่มีฐานะใดเหลืออยู่ที่นี่อีก นอกจากผู้ถือหุ้นเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ส่วนพัดชานั้นนั่งนิ่งแข็งค้าง เสียใจผิดหวังระคนกันไปหมด
................................................................................................
“ปัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น” กุลสตรีรีบจูงมือสปันออกมาคุยทันทีหลังเลิกประชุม “ทำไมบริษัทเราถึงขายให้กับกลุ่มอีลิทแล้วล่ะ แล้วยังเรื่องประธานคนใหม่นั่นอีก เขาใช่คนเดียวกับคุณณัฐเศรษฐ์เจ้าของโรงพยาบาลอีลิทไหม หล่อมากอะปัน หล่อสุดๆ หล่อจนอุ่นใจบางไปหมดแล้ว”
สปันขำกับท่าทางอ่อนระทวยของเพื่อน “ถามรัวแบบนี้ปันจะตอบคำถามไหนก่อนดี แต่ว่าเดี๋ยวก่อนนะ เขาคือเจ้าของโรงพยาบาลอีลิทเหรอ”
“ใช่สิ ปันไม่รู้เหรอ ตระกูลวิสุทธิรังสรรค์เขาทำธุรกิจหลายอย่าง พี่ชายดูแลธุรกิจธนาคาร น้องชายดูแลธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่เพิ่งมีข่าวแต่งงานไปไง ส่วนคุณณัฐเศรษฐ์สุดหล่อเขาดูกลุ่มโรงพยาบาล และเป็นหนุ่มหล่อคนเดียวที่ยังเป็นโสดจ้ะ”
สปันเผลอฟังข้อมูลที่เพื่อนสนิทเล่ามาเพลิน เธอไม่เคยรู้เลยว่ากุลสตรีจะมีความสามารถราวกับซีเอ็นเอ็นเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ณัฐเศรษฐ์ยังเป็นหนุ่มโสด
โสดเหรอ ไม่ใช่หรอก เขาไม่โสดแล้วละ สปันยิ้มขำอยู่คนเดียว เขาเป็นแฟนกับเพื่อนของเธอนี่เอง
“อยู่วงการยาแต่ไม่รู้จักคนในวงการ ปันนี่แปลกจริง”
“ผิดหรือไง ปันสนใจแต่หมอ ไม่ได้สนใจเจ้าของโรงพยาบาลนี่”
“จ้ะ” กุลสตรีประชด “อุ่นไม่น่าคุยกับเครื่องจักรกระหายเงินอย่างปันเลย สนใจแต่หมอเพราะว่าเขาคือคนที่จะซื้อยาใช่ไหม ส่วนเจ้าของโรงพยาบาลอยู่ไกลจากห่วงโซ่อาหารเกินไปปันเลยไม่สนใจ แต่อย่าลืมนะจ๊ะ เขาเป็นคนอนุมัติให้ซื้อยา”
สปันกลอกตา “แต่ถ้าอุ่นถามชื่อหมอในโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ปันรู้จักแทบจะทุกคน”
“เรื่องนี้อุ่นไม่สู้จ้ะ ว่าแต่คุยเรื่องท่านประธานสุดหล่อกันต่อเถอะ อุ่นชอบเขา”
“ว่าไงนะ”
“อุ่นบอกว่าอุ่นชอบเขา สเปกอุ่นเลยอะ ถ้าได้ควงเป็นแฟนจะเป็นไงนะ” กุลสตรีพูดแล้วยิ้มหวานทำตาลอย แต่เห็นหน้าเพื่อนที่มองมาอย่างขำๆ ก็ตีแขนเผียะ “ไม่ต้องมาแอบขำในใจ จะขำก็ขำเลย อุ่นรู้หรอกน่าว่าตัวเองฝันกลางวันไม่มีทางเป็นจริง คนระดับคุณณัฐเศรษฐ์เขาไม่มองอุ่นหรอก แต่ถ้าเป็นปันก็ไม่แน่นะ ปันสวย หุ่นดี ขาว หมวย แถมอกใหญ่มาก”
สปันตาโต หยิกแขนเพื่อน
“โอ๊ย ปันหยิกอุ่นทำไม”
“อุ่นพูดอะไรล่ะเมื่อกี้”
“เรื่องอกใหญ่น่ะเหรอ ก็มันจริงนี่นา คนอะไรตัวเล็กนิดเดียวแต่อกเบ้อเร่อ แบ่งให้อุ่นบ้างสิ”
สปันทำหน้าปั้นยาก จะหยิกเพื่อนอีกทีแต่เพื่อนก็ขยับตัวหนีทัน “กลับมานี่เลย ยายอุ่นตัวแสบ”
ขณะที่กุลสตรีวิ่งผ่านไปทางหน้าลิฟต์ สปันกำลังเดินตามไปก็ปะทะเข้ากับร่างสูงหนั่นแน่นของใครบางคนเข้าพอดี สปันตกใจหวีดร้องคำหนึ่ง
“อุ้ย ขอโทษค่ะ” เพราะรู้ว่าผิดที่มัวแต่วิ่งตามเพื่อนจนไม่ทันระวัง เลยชนกับคนที่ออกจากลิฟต์ แต่ว่าคนนั้นดันเป็นคนที่ทำให้หัวใจของสปันเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่ออ้อมแขนที่กอดเธอไว้เพื่อไม่ให้ล้มตึงไปคือประธานคนใหม่
สายตาสองคู่สบประสานกันชั่วขณะหนึ่ง ราวกับจะมองกันให้ทะลุปรุโปร่ง เหมือนบริเวณนั้นมีแค่เขากับเธอสองคน ทว่ามนตร์สะกดนั้นทลายลงเมื่อเสียงเล็กของกุลสตรีเรียกขึ้น
“ปันเป็นอะไรไหม”
สปันได้สติรีบผละออกมาจากอ้อมแขนแกร่ง เมื่อครู่เธอเป็นบ้าอะไรถึงได้ปล่อยให้เขากอดอยู่ได้ตั้งนานสองนาน
“ปันไม่เป็นอะไร” สปันเม้มปากแน่นตอบเพื่อน พอหันไปมองคนที่ยืนมองเธอเงียบๆ ก็ใจเต้นแรงไม่หยุด อยากจะบ้าตายกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ถาโถมเข้ามา
เขาเดินออกมาจากลิฟต์ เขาลงมาที่ชั้นสิบนี้ทำไม สปันสงสัย เขาเพิ่งมาวันแรกจะมาหาใครกัน “คุณณัฐ เอ่อ ท่านประธาน”
“เรียกผมเหมือนเดิมก็ได้”
“จะดีหรือคะ ที่นี่ที่ทำงานไม่ใช่ข้างนอก ให้ปันเรียกท่านประธานเถอะค่ะ”
“งั้นเรียกท่านประธานเฉพาะในที่บริษัท แต่ออกข้างนอกเรียกชื่อเหมือนเดิมตกลงไหม”
สปันทำหน้าไม่เข้าใจ เพราะสถานะของเขาตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่กล้าตีสนิท เขาไม่ใช่แค่เพื่อนหมอก้อง แต่เป็นเจ้านาย แต่ในเมื่อเขาคือคนจ่ายเงินเดือนคนใหม่ มีหรือจิ้งจกอย่างเธอจะปรับตัวไม่ทัน
“ได้ค่ะ”
“ปันทำงานที่ชั้นนี้ใช่ไหม”
เธอจะถามเขาพอดีว่าลงมาที่นี่ทำไม เพิ่งมาวันแรก แต่เดินเพ่นพ่านไม่หยุดนะคะท่านประธาน
“ใช่ค่ะ ชั้นสิบเป็นชั้นของฝ่ายการตลาด ท่านประธานจะมาพบใครคะ”
“ผมจะมาพบปัน”
“ปัน” สปันขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนเข้าใจว่าเขามาพบเธอ “มาพบปันทำไมคะ”
เขายิ้มหล่อๆ มาให้ก่อนพูดแบบที่ทำให้คนฟังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เสร็จจากการคุยกับเขาวันนี้เธอต้องไปพบหมอโรคหัวใจแล้ว
“ผมจะมาชวนไปกินข้าว นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ผมไม่รู้ว่าแถวนี้มีอะไรอร่อยบ้าง ช่วยพาผมไปหน่อย แต่เอารถผมไปก็ได้”
เดี๋ยวก่อนค่ะ สปันแย้งเขาในใจ เอารถเขาไปนี่หมายความอย่างไร เธอตกลงจะไปแล้วเหรอ ตีขลุมเก่งนะคะ
“ปันเอาข้าวกลางวันมากินเองค่ะ”
“ปันไม่เคยเอาข้าวมากินนี่” กุลสตรีรีบแทรก เลยได้สายตาดุๆ จากเพื่อนไปแทน เธอจะออกไปกินข้าวกับเขาได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นถึงท่านประธาน
ณัฐเศรษฐ์เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ยิ้มโปรยเสน่ห์ “แย่จังนะครับ”
“ค่ะ” สปันตอบสั้นๆ หน้าร้อนผ่าว เพราะเขามองไม่หยุด เมื่อไรจะหยุดทำหน้าหล่อใส่เสียที
“งั้นไว้โอกาสหน้าก็ได้ ปันห้ามปฏิเสธผมอีก”
สปันไม่ตอบรับ ยิ้มแล้วหันไปจูงมือเพื่อนให้รีบเดินออกไปจากตรงนั้น ทำให้ณัฐเศรษฐ์กระตุกยิ้มด้วยความสนใจมากขึ้นไปอีก คนอะไรสวยและยังน่าค้นหาอีก
“หล่อมาก อุ่นอยากได้แบบนี้” กุลสตรีเพ้อออกมาหลังจากถูกเพื่อนลากออกมาไกลจากพื้นที่ตรงนั้นแล้ว
“หยุดคิดเลยจ้ะ” สปันดึงสติเพื่อน กุลสตรีคงไม่รู้ว่าคนหล่อนั้นมีเจ้าของแล้ว “เขาอาจมีแฟนแล้ว”
กุลสตรีทำหน้ามุ่ย “หล่อขนาดนี้ต้องมีเจ้าของอยู่แล้วละ อุ่นไม่แปลกใจหรอก ว่าแต่ทำไมเขาถึงมาซื้อบริษัทเรา คุณสมพงษ์ทำไมถึงขายให้เขานะ”
“ปันเองก็อยากรู้ แต่ว่าตอนนี้สบายใจได้อย่างหนึ่งว่าหน้าที่การงานและเงินเดือนพร้อมค่าคอมมิชชั่นทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ท่านประธานยืนยันแล้วว่าให้เงินพวกเราทุกคนเท่าเดิม แค่นี้แหละที่ปันอยากรู้”
“หืม ยายขี้งก ห่วงแต่เรื่องเงิน”
“ก็มันจริงนี่นา ทำงานก็ต้องอยากได้เงิน ส่วนคนหล่อก็ได้แต่มอง กินไม่ได้สักหน่อย”
“แต่เอาไปนอนกอดแก้หนาวได้นะจ๊ะ”
“ฝันกลางวันอีกแล้ว” สปันจิ้มหน้าผากเพื่อน
กุลสตรีมุ่ยหน้าแล้วถามขึ้นพร้อมหรี่ตาจับผิด “เดี๋ยวนะปัน อุ่นจะถามอยู่เชียว ปันกับท่านประธานคนใหม่รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ทำไมถึงมาชวนไปกินข้าวกลางวัน อย่าปิดหรือคิดจะโกหกว่าไม่รู้จักกันมาก่อนนะ อุ่นไม่เชื่อเด็ดขาด”
สปันนิ่งงันไม่ตอบในทันที จะตอบว่าไงดีนะ ระหว่างคิดว่าจะหาคำตอบแบบไหน กุลสตรีก็คะยั้นคะยออีก “ว่าไงปัน รู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” กุลสตรีคะยั้นคะยอ
“อืม ก็รู้จักมาก่อนตอนไปเยี่ยมคุณพ่อที่โรงพยาบาล แต่ตอนนั้นปันไม่รู้ว่าท่านประธานจะมาซื้อบริษัทเรานะ ที่รู้จักเพราะท่านประธานเป็นเพื่อนกับหมอก้อง ก็เลยรู้จัก”
“บังเอิญมาก”
“ใช่ บังเอิญมาก”