‘ถ้าเลือกไปแล้ว มันกลายเป็นของเอ็งแล้ว เอ็งห้ามเอามาคืน...เด็ดขาด’
คำพูดประโยคนั้นวกวนอยู่ในหัว ขุนพลอดสงสัยไม่ได้เลยว่าทำไมเจ้าของร้านถึงได้วางเงื่อนไขนี้ไว้ ปกติคนที่ซื้อหนังสือไปก็ไม่มีใครซื้อแล้วเอาไปคืนนี่นา หรือคุณลุงคนนั้นจะเจอลูกค้าพิลึกๆ มา ถึงได้มีเงื่อนไขแบบนี้?
ชายหนุ่มคิดวุ่นตั้งแต่กลับถึงบ้าน กระทั่งได้นั่งลงเริ่มร่างแผนงานสอนนักเรียนสำหรับคลาสออนไลน์นั่นล่ะ เขาถึงลืมไปสนิทว่าได้หนังสือมาใหม่ จวบจนถึงเวลานอน ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือที่เอาวางไว้บนเตียง
“วันทอง...” เขาเอ่ย ทิ้งตัวลงนอนพลางคว้าหนังสือมาถือไว้ในมือ “ไหนดูซิว่าเป็นยังไง คุณลุงถึงได้หวงนัก”
พึมพำอยู่คนเดียว ก่อนมือจะพลิกเปิดปกหนังสือออก จากนั้นเรียวคิ้วก็เลิกสูงเมื่อสายตาประจักษ์กับรูปวาดสีน้ำมันของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดไทย สไบที่เธอสวมนั้นเป็นสีทองระยับ ผมยาวสยายสีดำสนิทมีดอกจำปีทัดอยู่ที่ใบหูข้างหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สะกดสายตาได้เท่ากับดวงหน้าแฉล้มที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยหมดจดไปหมด
สวย...สวยมาก ถ้าเป็นคนจริงๆ คงเป็นดาราได้สบายๆ เลย
ถึงจะไม่ได้สวยตามสมัยนิยม ออกแนวคมขำแบบคนไทยสมัยก่อนก็เถอะ แต่ขุนพลชอบเอามากๆ จนต้องลุกขึ้นไปสแกนรูปเป็นไฟล์ดิจิตอลแล้วบันทึกลงโทรศัพท์มือถือเอาไว้
คนสวยๆ ก็ต้องเอาไว้เชยชมตลอดเวลา
ถ้าได้เป็นแฟนนะ รักตายเลย
คิดแล้ว ขุนพลก็ตีหน้าผากตัวเองเข้าให้ทีหนึ่ง
คิดบ้าอะไรของเขาอยู่นะ นั่นมันรูปวาดในจินตนาการของจิตรกร จะเป็นคนจริงๆ ไปได้อย่างไร
เขาอายอยู่เหมือนกันนะ เป็นหนุ่มโสดมาตั้งนาน ไม่เคยหวั่นไหวกับผู้หญิงคนไหน มาหวั่นไหวให้กับรูปวาด มันดูแปลกๆ อยู่มากจริงๆ
ขุนพลกลบเกลื่อนความเขินอายตัวเองด้วยการเปิดหนังสือหน้าถัดไป พลันเรียวคิ้วที่เคยเลิกสูงกลับขมวดมุ่นเมื่อพบว่าหน้าถัดไปเป็นเพียงกระดาษเปล่าๆ ไร้ซึ่งตัวอักษรใดๆ
หน้าถัดไป...และหน้าถัดไปด้วย
“อะไรกันเนี่ย มิน่า ทำไมลุงนั่นถึงบอกว่าห้ามเอามาคืน”
ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่าเขาถูกย้อมแมวขาย
ไม่ได้เสียดายแบงก์พันหรอกนะ แต่เสียดายที่หนังสือสวยขนาดนี้ ดันไม่มีอะไรเลยนอกจากรูปผู้หญิงที่น่าจะเป็นนางวันทองเท่านั้นน่ะ
ปกติแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้เป็นคนหงุดหงิดอะไรง่ายๆ ทว่าครั้งนี้เขาหัวเสียอยู่เหมือนกัน เขาโยนหนังสือลงข้างเตียง ทิ้งตัวลงนอนแล้วบ่นกระปอดกระแปดไม่เลิก
“พรุ่งนี้ต้องไปต่อว่าสักหน่อยแล้ว ทำงี้ได้ไง ไม่สุจริตนี่หว่า”
ตบท้ายด้วยการหมายมั่นสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้
คอยดูเถอะ...คอยดูเลย
เขาไม่ยอมถูกย้อมแมวขายอย่างนี้แน่นอน!
ไม่แน่ใจนักว่าหลับไปนานเท่าไร แต่คงนานพอที่จะทำให้แสงตะวันยามอรุณรุ่งสาดทอแสงมากระทบเปลือกตาจนขุนพลรู้สึกตัวตื่นได้ เขายกมือขึ้นขยี้เปลือกตาเล็กน้อย ก่อนจะวาดวงแขนไปข้างตัวหมายจะบิดขี้เกียจตามอย่างเคย หากแต่วันนี้มีบางอย่างผิดแปลกไป
ข้างกายเขา...ไม่ได้ว่างเปล่า
ในจังหวะที่เขาวาดวงแขน ท่อนแขนเขากระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่นุ่มหยุ่นเหมือนร่างกายมนุษย์
ร่างกายมนุษย์!?
ถึงกับลืมตาโพลงทันที ขุนพลหันไปมอง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาไปโดนเป็นร่างกายมนุษย์จริงๆ
เป็นมนุษย์ผู้หญิงเสียด้วย!
“เฮ้ย!”
ชายหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นนั่ง กระถดถอยห่างจากร่างของผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้ายิ่งกว่าโดนผีหลอก หัวสมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าผู้หญิงคนนี้มาปรากฎตัวอยู่ข้างๆ เขาได้อย่างไร
เมื่อคืนเขาเมาหรือ!?
ก็ไม่ ไม่ได้เมา
ละเมอไปที่ไหนโดยไม่รู้ตัวแล้วเผลอไปหิ้วสาวที่ไหนกลับบ้านมาหรือเปล่า!?
ก็...ไม่! เขาไม่เคยนอนละเมอเดินไปไหน แล้วมั่นใจด้วยว่าต่อให้ละเมอหรือเมา เขาก็ไม่หน้ามืดไปหิ้วสาวที่ไหนกลับบ้านอย่างแน่นอน มันไม่ใช่สไตล์เขาเลย!
ถ้างั้นแม่คนนี้มานอนข้างๆ เขาได้ไง!?
ขุนพลคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง ในเมื่อเขาไม่ได้เมาแล้วหิ้วสาวเข้าบ้าน ก็ต้องเป็นเธอนั่นล่ะที่เข้ามาเอง
หรือจะเป็นมิจฉาชีพ!?
ขุนพลกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที ต่อให้เป็นผู้หญิง ถ้าเป็นมิจฉาชีพ เขาก็ต้องตั้งหลักก่อนล่ะ เกิดเธอมีอาวุธอะไรขึ้นมา เขาจะรับมือไม่ทันเอา
“คุณ...นี่คุณ ลุก!” เขาออกคำสั่ง
ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ พอเห็นหน้าเขา พลันสีหน้างัวเงียก็ค่อยๆ ดูตกใจ
“เจ้า! เจ้าเป็นใคร!?”
คำถามนี้ควรเป็นขุนพลมากกว่าที่ต้องถาม
“คุณเข้ามาในบ้านผมได้ไง” แต่เขาเลือกที่จะถามคำถามนี้
“เจ้า! เจ้าทำอะไรข้า!?” ทว่าเธอคนนั้นไม่ตอบ เด้งตัวลุกขึ้นมา ใช้สองแขนกอดก่ายร่างกายตัวเองประหนึ่งว่าเพิ่งโดนเขาทำมิดีมิร้ายมา “เจ้าทำอะไรข้า!? บอกมานะ!” ออกคำสั่งอีก
ขุนพลยกมือขึ้นลูบใบหน้า นี่เขาโดนผู้หญิงที่ไหนไม่รู้บุกบ้านมานอนข้างๆ แล้วยังจะถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรปล้นสวาทกลายๆ อีกหรือเนี่ย?
“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณเลย ผมนอนของผมเฉยๆ พอตื่นมาก็เห็นคุณมานอนข้างๆ ผมเลยต้องถามนี่ไงว่าคุณเข้ามาได้ยังไง” พยายามใจเย็นสุดๆ แล้ว ถ้าแม่คนนี้ไม่ใช่มิจฉาชีพก็เป็นคนสติไม่ดีแล้วล่ะ
“ข้า...” เธอทำท่าเหมือนนึกไม่ออก ดูสับสนมึนงงไม่น้อยเหมือนกัน
“คุณทำไม”
“ข้า...หารู้ไม่” แล้วเธอก็ทำให้ขุนพลแทบจะยกมือลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ อีกระลอก
“ไม่รู้ได้ยังไง นี่มันบ้านผม คุณมานอนอยู่ตรงนี้แสดงว่าคุณต้องเข้ามาเองไม่ทางไหนก็ทางนึง บอกผมมาตามตรงดีกว่า เผื่อผมจะใจดี ไม่จับคุณส่งตำรวจ”
ยอมรับว่าเขาขู่ ไม่อยากทำผู้หญิงหรอก แต่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากแต่เธอกลับมีสีหน้างุนงงมากขึ้นกว่าเดิม
“ตำรวจ...เจ้าหมายถึงสิ่งใด”
“ก็ตำรวจ...ตำรวจไงคุณ” เขาชักหงุดหงิดแล้ว เรียวคิ้วขมวดยู่เข้าหากัน
“ข้าหาได้เข้าใจไม่”
“ก็ตำ...” พูดได้แค่นั้นพลันหยุด
เอ...ผู้หญิงคนนี้พูดจาสำนวนแปลกๆ แฮะ ฟังดูโบราณๆ อย่างไรไม่รู้
เพิ่งมาสังเกตเอาตอนนี้แหละ พร้อมกับสังเกตรูปร่างหน้าตาของเธอด้วยว่าดูคลับคล้ายคลับคลาอย่างประหลาด เหมือนกับ...กับ...
“ใช่! รูปในหนังสือนั่น!” จู่ๆ ก็ส่งเสียงดังขึ้นมา ชี้ไม้ชี้มือไปที่ใบหน้าหญิงสาว
เธอตกใจไม่น้อย ดวงหน้าพริ้มเพราระบายความหวาดกลัวขึ้นมาเจือ ขณะที่อีกฝ่ายพินิจพิเคราะห์อย่างถึงที่สุด
หน้ารูปไข่เนียนเกลี้ยง ผิวสีขมิ้นนวล คิ้ว จมูก ปากรับกันอย่างเหมาะสม ผมยาวสยายดำขลับ ทัดดอกจำปีกไว้ข้างหู แถมยังใส่ชุดไทยโบราณ แบบนี้...ไม่ผิดแน่!
“วันทอง!” โพล่งออกมาอีก
คราวนี้หญิงสาวสะดุ้ง “เจ้ารู้จักข้าเช่นนั้นรึ?”
ขุนพลพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า
ในวรรณคดี...ไม่สิ เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตำนานพื้นบ้าน ไม่ใช่วรรณคดี แต่อะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเขารู้จักเธอจากเรื่องนั้น แต่ในชีวิตจริงไม่รู้จักสักนิด
“แต่ข้าหาได้รู้จักมักจี่เจ้า”
ก็สมควรอยู่หรอก จะไปรู้จักได้อย่างไร เธอหลุดออกมาจากหนังสือนี่!
ขุนพลไม่อยากคิดอย่างนั้นเลย คิดแล้วรู้สึกตัวเองเหมือนเป็นบ้า แต่มันไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นเลยที่ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนรูปวาดนั้นเป๊ะๆ จะมานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้
“ฝัน...ฝันอยู่แน่ๆ”
นี่น่าจะเป็นความเป็นไปได้มากที่สุด ขุนพลตบหน้าตัวเองเบาๆ หลายครั้ง ก่อนจะต้องชะงักเมื่อถูกว่า
“เจ้าน่าจะวิปลาสกระมัง ตบหน้าตัวเองเช่นนั้น สติไม่สมประดีรึ?”
ขุนพลเหลือบมอง สีหน้าของเธอไม่ได้บ่งบอกว่าค่อนขอดหรือเหน็บแนว ไม่ได้ต่อว่าอย่างที่เขาคิดในชั่ววินาทีแรกด้วย เป็นการพูดอย่างซื่อตรง มิหนำซ้ำเธอยังจะส่งแววตาเห็นใจมาอีก
“แล้วนี่เจ้าพักอยู่ผู้เดียวรึ? ไม่มีเมียดูแลหรือกระไร?”
เนี่ย...เห็นใจเขาจริงๆ ด้วย
“ไม่มีเมียมีอะไรทั้งนั้นแหละครับ ผมอยู่คนเดียว” แล้วเขาจะตอบทำไม ไม่เข้าใจนัก
“มิน่า เจ้าถึงได้ดูพิลึกนัก หากมีเมียดูแล เจ้าคงจะครองสติได้มากกว่านี้”
เธอทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาอีก
“ไม่ต้องมีใครดูแล ผมก็ดูแลตัวเองได้ ว่าแต่คุณเถอะ เมื่อไรจะตอบสักทีว่าคุณมาจากไหน” ขุนพลเข้าเรื่องอีกครั้ง ไม่อยากเชื่อเท่าไรว่าคนตรงหน้าจะหลุดออกมาจากหนังสือ เชื่อก็บ้าแล้ว! มันนิยายเกินไป!
“ข้ามาจากเมืองสุพรรณบุรี แล้วนี่ใช่เมืองสุพรรณบุรีหรือไม่?”
สุพรรณบุรีบ้าบออะไรกันล่ะ นี่มันปทุมธานี!
แต่ถ้าบอกว่าคือที่ไหน มีหวังคงได้อธิบายกันยาวอีกว่าปทุมธานีอยู่ส่วนไหนของอยุธยา ก็วันทองเป็นตำนานที่อิงช่วงเวลาในสมัยอยุธยานี่นา ถึงจะไม่รู้ว่าช่วงไหนแน่ แต่ขุนพลมั่นใจว่าสมัยนั้นไม่มีปทุมธานี เขาไม่พูดแล้วกัน ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหามาให้ปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก
“หรือ...ที่แห่งนี้จะหาใช่เมืองสุพรรณฯ?” หญิงสาวรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ดวงตาจับจ้องยังใบหน้าคร้ามอย่างขอคำตอบ
“คุณชื่ออะไร” ขุนพลไม่ตอบหรอก ขืนตอบก็จะวกเข้าเรื่องปทุมธานีอีกที ถามเพื่อความมั่นใจในสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้วกัน
“ถามชื่อข้า แล้วเจ้าชื่อกระไร ไยหาได้เผยตัวก่อน”
เย่อหยิ่ง จองหอง สมัยนี้เรียกว่าสวย เลิศ เชิด อุปนิสัยนี้เป็นคุณสมบัติหนึ่งของวันทองแน่นอน ไม่มีผิดเพี้ยน
“ขุนพลครับ จะเรียกว่าขุนหรือพลก็แล้วแต่ แต่ที่บ้านผมเรียกว่าพล” ชายหนุ่มยอมแพ้ในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เขาจะต้องมีอีโก้ไปฟาดฝีปากกับเธอ
ทว่าการบอกไปอย่างนั้นกลับทำให้ดวงตากลมของหญิงสาวเบิกโตขึ้น
“ขุนพล!?”
“ครับ ขุนพล”
ตกใจอะไร ชื่อขุนพลไม่ได้มีอะไรน่าตกใจสักหน่อย
พี่น้องเขาก็มีชื่อนำหน้าว่าขุนเหมือนกัน เช่นขุน...
“ท่านเป็นขุนพลรึ!?”
คิดไม่ทันจบ เสียงหวานพลันแว่วขึ้นมาอีก ขุนพลพยักหน้า สีหน้าของหญิงสาวยิ่งเปลี่ยนไป ถ้าเมื่อกี้เขาฟังไม่ผิด เหมือนสรรพนามที่ใช้เรียกเขาจะเปลี่ยนไปด้วย
“เช่นนั้นท่านต้องอายุมากกว่าข้าแน่ น้องขออภัยที่ล่วงเกินด้วยเจ้าค่ะคุณพี่”
เปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย ขุนพลเลิกคิ้วสูงทันที
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
เอาจริงๆ เธอก็ดูอ่อนวัยกว่าเขาอยู่นะ ประเมินจากสายตา น่าจะไม่เกินยี่สิบห้าปี ว่าแต่...วันทองในเรื่องขุนช้างขุนแผนอายุเท่าไรกันนะ
เดาไม่ถูกหรอก วันทองมีเรื่องราวให้เล่าหลายช่วงอายุ ในเนื้อหาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ระบุด้วยว่าตอนแต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้น เธออายุเท่าไรบ้าง
คนตรงหน้าเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด ได้ยินเขาว่าอย่างนั้น พลันส่ายหน้าดิก
“ไม่เป็นไรมิได้เจ้าค่ะ น้องขออภัยคุณพี่อย่างยิ่งที่ล่วงเกิน ท่านขุน”
เอาล่ะ ขุนพลเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมหญิงสาวถึงได้ดูเกรงอกเกรงใจเขาขึ้นมากะทันหัน
เข้าใจผิดว่าเขาเป็น ‘ขุน’ เหมือนขุนช้างกับขุนแผนแน่ๆ ขุนที่หมายถึงยศทางทหารทางราชการในสมัยอยุธยาน่ะ ไม่ใช่ชื่อ หรือขุนพลที่แปลว่าขุนพลตามตัว
“ผมไม่ได้เป็น...” คิดจะอธิบายก็เหนื่อยแล้ว ไม่อธิบายแล้วกัน “เรียกพี่พลเถอะ แล้วตกลงคุณชื่ออะไร วันทองหรือเปล่า?” เข้าเรื่องนี้ดีกว่า
หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ ทันที “ใช่เจ้าค่ะ น้องชื่อวันทอง”
ขุนพลใจหายวาบ
หลุดออกมาจากหนังสือจริงๆ ด้วยแม่งเอ๊ย!
ส่วนเธอ...อืม...วันทอง ก็มีท่าทางสำรวมอย่างเห็นได้ชัด
“น้องชื่อวันทอง แต่อย่าเรียกน้องว่าวันทองเลย เรียกพิมพิลาไลยเถิด” ว่ามาอีก ใบหน้าระบายรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
ขุนพลอดเคลิ้มไปชั่วขณะไม่ได้ สวยมาก...สวยจริงๆ รอยยิ้มโลกละลายเป็นอย่างไร เขาประจักษ์ในตอนนี้
จากนั้นพลันส่ายหน้าเร็วๆ
จะมาเพ้ออะไรตอนนี้ไม่ได้เว้ย! ต้องเอานางวันทองกลับเข้าหนังสือไปก่อน!
เขาลุกพรวดจากเตียงไปคว้าข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋าสะพายข้างที่ใช้ติดตัวประจำยามออกไปข้างนอก พลางตบหน้า หยิกแก้มตัวเองไปด้วย เป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้ฝันอยู่ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นลงกระเป๋า แล้วหันไปหานางวันทองที่นั่ง
พับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเตียง
“คุณไปกับผมหน่อย”
“ไปไหนหรือเจ้าคะ”
“ไปข้างนอก”
“ข้างนอกไหนหรือเจ้าคะ”
“อย่าถามมากเลยน่า เอาเป็นว่าไปกับผม คุณวันทอง!” ขุนพลเก็บอารมณ์ไม่อยู่เลย เขาสับสนอลหม่านไปหมดจนเผลอเสียงดังใส่
พลันใบหน้าระบายยิ้มของนางวันทองก็หายไป แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งปั้นปึ่งทันที
“อย่ามาขึ้นเสียงกับน้องนะเจ้าคะ แล้วน้องบอกแล้วอย่างไรว่าให้เรียกว่าพิมพิลาไลย อย่าได้เรียกว่าวันทอง”
อยากรู้เหมือนกันนะว่าทำไม แต่ตอนนี้ขุนพลยกมือทั้งสองขึ้นในอากาศเป็นเชิงยอมแพ้
“ครับๆ คุณพิมพิลาไลย ช่วยลุกจากเตียงแล้วออกไปข้างนอกกับผมหน่อยครับ ได้โปรด...”
ขอร้องจริงจังเลย ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าประสาทกินไปมากกว่านี้ พลางสังเกตว่าทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ นางวันทองพลันคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนเชิดหน้าอีกนิด
“ในเมื่อคุณพี่ขอร้อง น้องก็จะสมยอมแล้วกันเจ้าค่ะ ไปเถิด จะพาน้องไปไหนก็สุดแล้วแต่ใจคุณพี่”
สมยอม...
เธอใช้คำพูดได้ไม่ถูกต้องเลย สมยอมมันต้องใช้กับสถานการณ์ในหมอนในมุ้งมากกว่า ไม่ใช่กับสถานการณ์นี้
“ครับ ขอบคุณครับ ลุกได้แล้วครับ ไปได้แล้ว”
ขุนพลขอร้องอีกรอบ นางวันทองระบายยิ้มอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะหย่อนตัวลงจากเตียง เยื้องย่างอ้อยอิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา จากนั้น...
“ไปกันเถิดเจ้าค่ะ...คุณพี่”
ไปกันได้สักทีสินะ...เฮ้อ