EP. 06

1265 คำ
EP.06 รุ่งเช้า เหล่าไก่ขานขันประสานเสียงแข่งกัน เช่นเดียวกับนกน้อยนานาชนิดก็ต่างโบยบินออกจากรวงรัง ในช่วงนี้เริ่มจะเข้าสู่เหมันตฤดู อากาศโดยรอบจึงเริ่มมีกลุ่มไอหมอกลอยคว้างอยู่ในมวลอากาศที่เริ่มหนาวเย็น วันนี้เป็นวันพระ ดังนั้นนางเพ็ญมารดาของจันทร์เจ้าจึงได้จัดสำรับเพื่อจะใส่บาตรพระ หญิงสาวลงจากห้องก็เจอกับมารดาที่กำลังตั้งสำรับอยู่ จึงรีบเข้าไปช่วย ก่อนจะพร้อมใจ ตามมารดาไปตักบาตรพระที่ด้านหน้าของบ้าน สายหมองบางเบา ลอยคว้าง ประดับประดาอยู่เหนือไม้ใหญ่ มวลอากาศเย็นยังคงลอยเวียนวน พระอาทิตย์ยังคงลับเหลี่ยมดอย หากเมื่อพ้นออกมาได้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะพ้นไปจากการปกคลุมของเจ้าหมอกหนาหรือไม่ ตราบจนช่วงสายของวันนั่นแหละ แสงสุริยาที่เริงแรง จึงจะขับไล่ไอความเย็นลงไปได้บ้าง ไม่นานหลังจากที่ช่วยมารดานำสำรับกับข้าวมาตั้งที่หน้าบ้าน ภายในครองจักษุการมองเห็นของจันทร์เจ้า ก็เห็นชายผ้าเหลืองของพระภิกษุสองรูปเดินออกมาจากมุมซอย กระแสความเย็นและอบอุ่น พาลพากันลอยเข้ากระทบหัวใจบางๆ ของเธอ แม้จะเหน็บหนาว หากก็รู้สึกอบอุ่นไม่แพ้กัน พระพุทธศาสนา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอและคนในครอบครัว ดังนั้น พระสงฆ์ จึงเป็นตัวเชื่อมให้รู้สึกอุ่นใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวอันมั่นคง หญิงสาวบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใด ตนจะต้องรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นชายผ้าเหลือง ความปลื้มปีติที่มากล้น ผ่านพ้นออกมาทางดวงหน้าสวยซึ่งอิ่มเอม ในครั้งที่ใส่บาตรและนั่งลงฟังพระสงฆ์สวดอำนวยอวยพร หลังพระทั้งสองรูปเดินทางจากไป ทั้งสองแม่ลูกจึงกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ผู้เป็นแม่เดินหายไปทางห้องครัว หญิงสาวจึงเดินตามไป “มีอะไรให้จันทร์ช่วยไหมคะ แม่” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม นางเพ็ญหันกลับมา ก่อนจะจัดการมอบหมายงานให้กับบุตรสาว “ถ้าอย่างนั้น ลูกตักแกงนี่ไปให้ย่าบัวคำหน่อยนะ ส่วนแม่จะจัดสำรับกับข้าว พอกลับมาเราจะได้ทานข้าวกัน” “คุณพ่อยังไม่ลงมาอีกหรือคะ” “เดี๋ยวแม่ว่าจะขึ้นไปเรียกเหมือนกัน จันทร์ตักแกงไปให้ย่าบัวคำเถอะ” หลังได้รับคำสั่งอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว จันทร์เจ้าจึงตักแกงใส่ปิ่นโต เพื่อจะนำไปให้กับย่าบัวคำ คนข้างบ้านที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายมารดาของเธอ ส่วนธรรมเนียมการตักอาหารไปให้กันนั้น เป็นการแสดงน้ำใจของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งในสมัยนี้จะเห็นได้ยากนักเพราะต่างบ้านต่างอยู่ ไม่สนใจกัน ทว่าสำหรับในชนบทแล้ว ก็ยังมีอยู่บ้าง นอกจากจะแสดงน้ำจิตน้ำใจที่มีต่อกันแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นประเพณีที่มีมาแต่ครั้งโบราณ นั่นก็คือการพึ่งพาอาศัยกัน สำหรับบ้านของจันทร์เจ้าแล้ว การส่งอาหารให้กับเพื่อนข้างบ้าน ไม่ใช่เพื่อจะหวังผลที่จะตอบแทนมา ที่ให้คือน้ำใจ ส่วนอีกฝ่ายจะมีน้ำใจตอบกลับมาหรือเปล่านั้น ก็ไม่ได้หวังอะไร หลังจากที่ตักแกงใส่ปิ่นโตเรียบร้อยแล้ว จันทร์เจ้าก็เดินออกจากบ้าน ลัดเลาะไปตามรั้วรอบ ก่อนจะไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักหรืออาจจะเรียกว่ามีรั้วบ้านติดกันเลยก็ว่าได้ เธอเดินเข้าไปยังบ้านไม้ทรงไทยล้านนาประยุกต์หลังนั้นอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเห็นหญิงชรานามย่าบัวคำ กำลังรดน้ำต้นไม้และดอกไม้อยู่ที่สวนข้างเรือนตนเอง “สวัสดียามเช้าค่ะย่าบัวคำ” หญิงสาวยกมือประนมไหว้ หลังหญิงชราวางสายยางและหันกลับมาด้วยรอยยิ้มยินดี “ไหว้สาเถอะหนูจันทร์ วันนี้เอาอะไรมาให้ย่าอีกล่ะ” หญิงชราท่าทางใจดี เอ่ยถามอย่างกันเอง ก่อนจะเดินมารับปิ่นโตจากหญิงสาว “แกงฮังเลค่ะ คุณแม่ทำใส่บาตร ในเช้าวันนี้ เห็นว่าเยอะก็เลยเอามาให้ย่าบัวคำด้วยค่ะ” “ขอบใจมากนะ” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณย่า...” รอยยิ้มแจ่มใสจุดขึ้น ย่าบัวคำไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินนำหญิงสาวเข้าไปนั่งยังซุ้มดอกไม้ ซึ่งบัดนี้มีดอกพวงชมพู สีสวยแถมยังน่ารักออกดอกสะพรั่งและเลื้อยไปตามรูปทรงของซุ้มอย่างสวยงาม “ยังไงย่าก็ต้องขอบใจหนูและแม่เพ็ญมากนะ” หญิงชรานั่งลงตรงเก้าอี้ ก่อนจะเชื้อเชิญให้จันทร์เจ้านั่งตาม ในเวลานั้น จึงทำให้หญิงสาวได้มองสำรวจไปโดยรอบ ด้วยความสนใจ ก่อนจมูกจะรับรู้ถึงกลิ่นหอมของไม้ดอกที่ลอยโชยมาตามสายลม กลิ่นนั้นเป็นลักษณะเดียวกับกลิ่นที่เธอสัมผัสรับรู้เมื่อเย็นวาน ดอกพุดซ้อน... “หอมจังเลยนะคะ ยามเช้าอย่างนี้ ได้กลิ่นหอมเย็นๆ ของดอกไม้ ทำให้สดชื่นมากเลยค่ะ” จันทร์เจ้าคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น เหมือนจะมองหาที่มาของกลิ่นหอม ซึ่งลอยมาตามสายลมเข้ามาในที่แห่งนั้น “อ้อ...ดอกเก็ตตวาน่ะ โน้นไง” หญิงชราว่าพร้อมกับชี้นิ้วไปยังไม้พุ่มชนิดหนึ่งซึ่งบัดนี้กำลังชูช่อดอกสีขาวจนเต็มต้น “เก็ตตวา ดอกอะไรหรือคะ” จันทร์เจ้ามองตาม แต่ด้วยไม้พุ่มชนิดนั้นอยู่ไกลจนเกินไป กล่าวคืออยู่เยื่องไปทางข้างบ้านอีกทีหนึ่ง แม้จะเห็นว่าเป็นดอกสีขาวและเธอก็แน่ใจว่านั่นคือไม้ดอกชนิดเดียวกับที่เธอคิดอยู่ในหัวก็ตาม ทว่าชื่อที่แปร่งแปลกกลับทำให้หญิงสาวไม่อาจเก็บคำถามเอาไว้ได้ “ภาษาเหนือบ้านเราเรียกดอกเก็ตตวาหรือดอกเก็ตถวา ส่วนภาคกลางเรียกดอกพุดซ้อน” “ดอกพุดซ้อน คือเก็ตถวา หรือคะ” จันทร์เจ้าทวนชื่อนั้นอย่างคุ้นเคย ใช่ เก็ตถวา... ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ พลันความรู้สึกหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามา เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พร้อมกับยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน ‘กลิ่นหอมเจ้านาง...เก็ตถวาเสียดแซม’ “อยากจะไปดูหรือเปล่าล่ะ ย่าจะพาไป” เสียงของย่าบัวคำแทรกขึ้น ก่อนจะเดินนำตรงไปยังไม้พุ่มต้นนั้น จันทร์เจ้าหยุดความคิดบางอย่าง แล้วรีบเดินตามหญิงชราไปในทันที “ดอกหอมจังเลยนะคะ” เธอเอื้อมมือไประที่ดอกไม้สีขาวดอกหนึ่ง โดยไม่ยอมที่จะเด็ดมันขึ้นมาเพราะรู้ ไม้ต้นหนึ่งมันมีชีวิต การเด็ดดอกไม้ก็เปรียบเสมือนทำร้ายมัน “เก็ตตวา ไม้ดอกหอม คนเฒ่าคนแก่เปิ้นมักจะเด็ดมาเสียดแซมผมและเอาไปไหว้พระไหว้เจ้าเวลาไปวัด แม่ย่าก็มักจะเด็ดมันไปปูจาพระเจ้าเหมือนกัน” ช่างเป็นดอกไม้ที่น่าชื่นชมเสียจริง ในความรู้สึกของหญิงสาว ยามที่เห็นไม้ดอกชนิดนี้ก็พลันปีติในหัวใจ เหมือนดั่งว่าจะได้เจอกับของรักอีกครั้ง ‘กลิ่นหอมเจ้านาง...เก็ตถวาเสียดแซม’ เก็ตถวา...เจ้านาง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม