EP. 04

898 คำ
EP.04 สิชลทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ผ้าใบ ภายในห้องที่เหมือนจะดูรก ทว่าก็ยังมีหลายสิ่งที่ถูกจัดให้เรียบร้อย เขาจ้องมองหน้าของภูริตไม่วาง นับตั้งแต่การก้าวเข้ามาภายในห้องแห่งนี้ และเขาก็เชื่อสายตาของตนว่า เมื่อครู่เพื่อนหนุ่มของเขากำลังเหม่อมองก้อนดินก้อนนั้นอยู่จริงๆ แม้จะเอ่ยถามเป็นสิบรอบ ทว่าภูริตกลับไม่ให้ความกระจ่างแต่อย่างใด “ฉันก็บอกว่าฉันไม่ได้เหม่ออะไร” “ฉันไม่เชื่อ นับตั้งแต่ฉันก้าวเข้ามาในห้องของแกเป็นสิบนาที แกก็ยังนั่งเหม่อมองก้อนดินก้อนนี้อยู่และตอนที่ฉันจะเรียกนาย กว่านายจะรู้สึกตัวมันก็นานแล้ว บอกฉันมาเถอะว่าไอ้ดินก้อนนี้มันมีความสำคัญอะไรให้นายนั่งมองมันอยู่เป็นนานแบบนี้” การจะเค้นเอาความกับเพื่อนหนุ่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นสิชลจึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก แถมยังจะต้องชักเอาทฤษฎี ความเชื่อทั้งหลายมาแบบมีหลักการเพื่อที่จะให้ได้ความจริงมาจากเจ้าเพื่อนจอมปิดคนนี้ได้ “ก็บอกแล้วยังไงล่ะว่าไม่มีอะไรจริงๆ” เจ้าตัวยังไม่ยอมพูดแถมยังบอกปัดไปอย่างหน้าตาเฉย “เอ้า...ถ้าอย่างนั้นฉันเปลี่ยนคำถามใหม่ละกัน” อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม สำหรับเขาแล้ว ถ้าไม่รู้ความจริง บอกได้เลยว่าคืนนี้เขาก็นอนไม่หลับเหมือนกัน “คำถามอะไรอีกล่ะ” “ก็จะถามว่า...นายเอาก้อนดินที่คล้ายๆ กับข้าวตอกพระร่วงนี่มาจากไหน มันมีความสำคัญอย่างไรกับนาย ทำไมนายจะต้องเก็บมันเอามาศึกษาด้วย โบราณเขาห้ามเอาสิ่งของที่อยู่ในพื้นที่ประวัติศาสตร์มาไม่ใช่หรือ บรื๋อ นี่ผีจะตามมาทวงหรือเปล่านี่” คำถามเป็นชุด จนคนฟังแทบนับแต้มไม่ทัน “บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเลิกคบ” “อ้าว...ได้นี่ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เลิกเป็นเลิก ไม่คบก็ไม่คบ” ภูริตรู้ว่าเพื่อนพูดเล่น แถมเจ้าเพื่อนคนนี้ ชอบที่จะให้เขาแหย่อยู่เรื่อยอีก “โห...ไอ้หมอนี่ เอาจริงหรือ” รู้ทั้งที่รู้ว่าแม้จะพูดประโยคนี้สักพันครั้ง แต่ความเป็นเพื่อน มันก็ไม่ได้จางหายไปจากบุคคลทั้งสองเลยสักนิด ด้วยเพราะรู้นิสัย ติดตามกันมาตั้งแต่เด็กๆ จึงพอจะทำให้รู้ว่าเพื่อนแต่ละคนเป็นอย่างไร สิชล แม้จะเป็นคนที่พูดเล่น แต่เวลาทำงานเขาก็เอาจริงเหมือนกัน เช่นเดียวกับที่ทั้งสอง แม้จะพูดเล่นและในบางครั้งที่ภูริตจะเอาจริง สิชลนั่นแหละจะเป็นฝ่ายยอมความเองในที่สุด “เออ...เอาจริงสิวะ” “ไม่เอาเว้ย...นี่ภูกับไอ้แค่ดินหินก้อนเดียว แกจะไม่คิดบอกฉันเลยหรือ” “บอก...แต่มันยังไม่ถึงเวลา” คำตอบเรียบง่าย ความลับแม้บางครั้งจะไม่ใช่ แต่ใช่ว่าเรื่องสำคัญเหล่านี้จะเอามาพูดเล่นๆ กันได้ “แล้วนายพอจะบอกฉันได้ไหม ว่านายจะเอามันมาทำไม” “ฉันก็จะเอามันมาศึกษานะสิ” “ดินก้อนเดียวนี่นะ” สิชลดูจะแปลกใจเป็นยิ่งนักกับสิ่งที่ภูริตเอ่ยบอก รู้ว่าเพื่อนชอบศึกษาในเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีกับหินรูปร่างประหลาดเพียงก้อนเดียวตรงหน้ามันจะบอกอะไรกับภูริตได้ “อืม...หินก้อนนี้แหละที่มันจะบอกอะไรบางอย่างกับฉัน” “แล้วนายแน่ใจได้ยังไงล่ะ” “ความรู้สึกยังไงล่ะเพื่อน นับตั้งแต่ที่ฉันได้มันมาก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะบอกฉันและฉันก็เชื่อว่าสักวัน ฉันก็จะต้องรู้” “นี่หรือ สิ่งที่นายกำลังจะบอกฉัน” อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม มองกรอบหน้าของเพื่อนหนุ่มนิ่ง ก่อนเสียงหัวเราะจะตามมา “อือ...ฉันเชื่อแล้วล่ะว่านายมีเลือดของนักโบราณคดีตัวจริง เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ออกไปข้างนอกเปิดหูเปิดตากันเถอะ จะสองทุ่มแล้ว ฉันหิว” ไม่พูดเปล่า เจ้าเพื่อนจอมท่องราตรีก็เดินมาดึงแขนภูริตและพาออกไปจากห้องนั้นในทันที ลับเงาของทั้งสองหนุ่มที่เดินผ่านประตูออกไป พลันดินก้อนนั้นที่ยังวางนิ่งอยู่ดุจเดิมก็เกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น มันเริ่มขยับ... จากช้า ก็ยิ่งแรงขึ้น แรงขึ้น... เกิดเสียงกุกกักเมื่อครั้งที่มันกระทบโต๊ะ พลันนั้นก็ก่อเกิดประกายแสงสีเงินขึ้นจากจุดเล็กๆ กึ่งกลางของวัตถุโบราณชิ้นนั้น แล้วแสงนั้นก็เจิดจ้าจนสว่างไปทั่วทั้งห้อง หลังแสงนั้นจืดจางลง ปรากฏเป็นร่างหนึ่งในชุดสีขาวสะอาดหมดจด แม้กระทั่งที่ศีรษะที่โล้นเลี่ยน ร่างนั้นมองไปยังบานประตูซึ่งเมื่อครู่ทั้งภูริตและสิชลเพิ่งเดินจากไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เป็นเพียงแค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น เจ้าของร่างปริศนาก็พลันสลายกลายเป็นอากาศธาตุไป...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม