หลังจากที่สองสามีภรรยากลับมาถึงบ้านพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างปกติไม่ได้พูดถึงเรื่องช่วยเหลือคนกับใคร
เวลาผ่านไปทุกวัน ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงสิบวัน หลินชวนก็จะไปเป็นทหารที่ชายแดนแล้ว ซีเหยาเร่งเย็บเสื้อให้กับสามี นางใส่เงินเข้าไปในเสื้อด้วย
แม้ว่าหลินชวนจะออกไปรบ ในชีวิตแต่ละวันเขาก็ต้องใช้เงินอยู่ดี จะให้กินแต่อาหารที่แจกจากทางการ นางคิดว่ามันคงไม่เพียงพอเขาต้องมีเงินส่วนตัวเพื่อซื้อของอย่างอื่นกินบ้าง
นางถือโอกาสเปลี่ยนยาที่เขาพกติดตัวเป็นยาชั้นดี ช่วยรักษาแผลภายนอกได้เร็วยิ่งขึ้น เงินที่ใส่ในเสื้อและซื้อยาล้วนมาจากสินเดิมของนาง
นางยังทำรองเท้าอีกหลายคู่ที่มีพื้นหนา เหมาะสำหรับใส่เดินในพื้นที่ขรุขระ นางลองให้เขาใส่ดูก่อนว่าพอดีกับเท้าหรือไม่จะได้ปรับแก้ ช่วงนี้เป็นหน้าร้อน นางกลัวว่ารองเท้าที่เขาใส่ถ้าคับเกินไปจะทำให้เท้าของเขาบาดเจ็บ
หลินชวนมองดูนางที่ทำทุกอย่างให้กับเขา หัวใจของเขาก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดจากความตายกลับมาหรือไม่ และต้องทิ้งภรรยาที่ดีเช่นนี้เอาไว้ข้างหลัง เขารู้สึกผิดมากจริงๆ
ซีเหยาเงยหน้ามองเห็นหลินชวนนั่งอยู่ที่ข้างหน้าตาด้วยสีหน้าโศกเศร้า จะว่าไปเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะดูตัวโต แต่จิตใจของเขาก็ยังคงมีความเป็นเด็ก ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองทำให้เขาต้องไปเป็นทหารออกรบ
หญิงสาวถอนหายใจ นี่คือความอยากได้อยากมีของผู้มีอำนาจ ทำให้ราษฎรตัวเล็กๆ ต้องมารับเคราะห์เช่นนี้ นางวางของในมือลงแล้วเดินไปจับมือเขา พาเขาไปที่ห้องด้านข้าง ซึ่งเป็นที่จัดวางสินสอดทองหมั้นของนางเอาไว้ แล้วชี้ไปที่เตียงแกะสลักขนาดใหญ่
“สามี ท่านท่านเคยเรียนหนังสือและมีความรู้ ท่านรู้ไหมว่านี่คืออะไร”
หลินชวนเหลือบมองนางด้วยความสงสัย มองไปที่เตียงใหญ่ ในตอนแรกเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็ตกตะลึง
“ไม้เนื้อละเอียดสีเหลืองทอง มีลวดลายวิจิตรงดงาม ดูประณีตและแปลกตา มักใช้ในชนชั้นสูงเพื่อทำเตียงนอน ภรรยานี่คือ... หนานมู่สีทองใช่หรือไม่"
ซีเหยาพยักหน้าเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม "สามี...ท่านมีความรู้อย่างแท้จริง"
หลินชวนรู้สึกตกใจภรรยาถึงกับมีสินเดิมราคาแพงเช่นนี้ เมื่อเห็นสามีตกใจนางก็รีบจับมือของเขาเอาไว้ ที่นางบอกเขาเช่นนี้เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจให้กับเขาว่านางสามารถเอาตัวรอดได้ในตอนที่เขาไม่อยู่
“ข้าไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ แต่เพื่อให้สามีรู้สึกสบายใจ ข้าคิดว่าสามีพอจะทราบมาบ้างว่าครอบครัวของท่านแม่ค่อนข้างที่จะร่ำรวย อันที่จริงแล้ว...แม้ว่าท่านตาจะเป็นนายอำเภอแต่ก็มีเงินเดือนไม่มากเท่าไหร่นัก คนที่ร่ำรวยจริงๆ แล้วคือท่านยายของข้า นางเปิดร้านค้าทำการค้าได้เงินมามาก" พูดมาถึงตรงนี้นางก็ส่ายหน้าด้วยความเสียดาย "เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียวสินเดิมที่ท่านแม่ได้จึงมีค่ามาก น่าเสียดายที่ท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อที่เป็นคนโลภและขี้ขลาดตาขาว สินเดิมจึงเหลือไม่ถึงครึ่ง...แต่ช่างเถอะ...ที่ข้าบอกกับท่านเช่นนี้ เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าข้าสามารถดูแลตัวเองและท่านแม่สามีรวมถึงน้องสาวของท่านได้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป "
หลังจากที่ซีเหยาพูดจบ นางเหลือบมองเขาด้วยความประหม่าเล็กน้อย หลินชวนในตอนนี้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ถ้าเขารู้ว่าภรรยาร่ำรวยเช่นนี้ก่อนแต่งงาน เขาจะไม่แต่งงานกับนางเลย เพราะเขายากจนต่ำต้อยไม่คู่ควรกับนาง
ซีเหยารู้ว่าเขาต้องการเวลาในการทำความเข้าใจ แต่นางก็ยังไม่สามารถระงับความเศร้าในใจของนางได้ เมื่อได้เห็นท่าทางราวกับเสียใจทีหลังที่ได้แต่งงานกับนาง ดังนั้นซีเหยาจึงหันหลังและเดินออกไป
เมื่อหลินชวนกลับมารู้สึกตัว ก็พบว่าในห้องเหลือเพียงเขาคนเดียว ไม่รู้ว่าภรรยาออกจากห้องไปเมื่อไหร่ เขารีบเดินออกไปตามหานางด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็ไม่กล้าร้องเรียกนางเสียงดังเพราะกลัวว่าจะรบกวนมารดาของเขา หากว่าทำให้มารดาไม่พอใจในตัวนางขึ้นมา ภรรยาของเขาอาจมารดาโดนตำหนิและมีชีวิตที่ลำบากในอนาคต
หลังจากมองหาไปทั่วบ้าน เขาก็พบนางในห้องครัวไม่รู้ว่าอะไรกำลังนึ่งอยู่ในหม้อ นางหมอบอยู่ด้านข้างเตาไฟด้วยความงุนงง ท่าทางดูวุ่นวายใจ
หลินชวนดุด่าตัวเองในใจ หญิงสาวดีๆ เช่นนี้แต่งงานกับเขาที่เป็นเพียงแค่นายพราน และนางก็ยอมบอกเรื่องครอบครัวของนาง เพราะว่านางเชื่อใจในตัวเขา เขากลับทำท่าทางราวกับรู้สึกเสียใจทีหลังเมื่อแต่งงานกับนาง เขามันช่างชั่วช้าเหลือเกิน!
เมื่อเห็นว่าไฟในเตาใกล้จะดับ หลินชวนก็รีบเอาท่อนฟืนยัดใส่เตา การกระทำอย่างกะทันหันของเขาทำให้คนร่างเล็กที่กำลังมึนงงตกใจ และเมื่อเขาเห็นว่าเป็นเขา นางก็มีท่าทีผ่อนคลายลง
"สามี" นางเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลินชวนรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเข้าไปนั่งข้างนางและโอบนางเอาไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวเหยียดแขนออกสวมกอดเขาตอบ และยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“เจ้าทำอาหารอะไร”
“หือ? … ข้านึ่งแป้งให้ท่านใช้เป็นอาหารแห้ง ตอนที่เดินทางไปชายแดนมันเก็บไว้ได้นานเกือบเดือน ยังมีเนื้อแห้งในหม้ออีก...ข้าเตรียมเอาไว้หมดแล้ว ท่านต้องหิวแน่ๆตอนที่อยู่ชายแดน อาหารของพลทหารไม่น่าจะพอหรอก ยังมี...อืม "
หลินชวนมองไปที่ภรรยาของเขาที่กำลังพูดเจื้อยแจ้ว เขารู้สึกว่านางน่ารักมากจึงก้มศีรษะลงไปประกบจูบ...
แม่หลินยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวและถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันตัวเดินกลับมาที่ห้อง นางนึกว่าลูกชายและลูกสะใภ้จะทะเลาะกัน
อีกไม่ถึงสิบวัน ลูกชายของนางก็จะต้องไปเป็นทหารที่ชายแดนแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวดีจากลูกสะใภ้เลย แต่เมื่อนางเห็นท่าทีของหนุ่มสาวในห้องครัวแล้วนางก็คาดหวังว่ามันอาจจะเป็นเร็วๆ นี้ ในใจก็ขอให้เทพเจ้าอวยพร...