ในขณะเดียวกัน
ณ.เมืองลั่วหยาง
กองทัพของต้าถังกำลังเคลื่อนพลข้าสู่ฐานทัพใหญ่ซึ่งอยู่ในเมืองลั่วหยางและเมืองฉางอาน ทหารในกองทัพกว่าครึ่งมาจากเมืองลั่วหยางและส่วนที่เหลือมาจากเมืองฉางอาน บรรดาม้าศึกและรถม้าสำหรับใช้ทำศึกมากมายจนไปถึงทหารอีกกว่าห้าหมื่นชีวิต ทยอยเข้าไปพำนักอยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นสังกัดเดิมของตน ตามคำสั่งของผู้บัญชาการทัพ
ภายหลังจากได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลจากองค์ฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อย ผู้บัญชาการทหารจางเย่วฉิน มีคำสั่งให้บรรดาทหารผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันพักผ่อนเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งจะปล่อยให้กลับบ้านเพื่อเยี่ยมเยือนครอบครัวครั้งละสามเดือน หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปจนครบทุกคน
ทั้งนี้เพื่อให้ทหารที่ยังเป็นชายโสดซึ่งยังไม่ได้ออกเรือนจะได้มีเวลาเริ่มหาสตรีที่ตนหมายปองเพื่อแต่งงานมีทายาทสืบสกุล บ้างก็กลับไปแต่งงานกับสตรีที่ครอบครัวจัดหาไว้ให้ และบ้างก็ต้องเสาะแสวงหาเอาเองกับคนที่คู่ควรที่สุด ส่วนรายใดออกเรือนแล้วก็กลับบ้านไปหาครอบครัวที่รั้งรออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเมื่อไร สามี หรือบุตรชายของพวกเขาจะกลับคืนมา
ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บแม่ทัพหนุ่มชื่อก้องยืนมองครอบครัวของเหล่าทหารกล้าใต้ยังคับบัญชาของเขาอยู่บนกำแพงเมือง มองลงไปเบื้องล่างเห็นชาวบ้านมากมายซึ่งล่วงรู้ข่าวกองทัพต้าถังกลับคืนสู่บ้านเกิด
หลังจากไปนานกว่าห้าปี เพื่อทำศึกสงครามระหว่างแคว้นกับชนเผ่านอกด่านทางเหนือ ต่างพากันมายืนรอรับคนที่ตนรักกลับบ้าน บางคนที่ไม่มีครอบครัวมารับก็รีบเดินทางกลับไปยังเมืองที่เป็นบ้านเกิดเมื่อถึงผลัดที่ตนมีชื่อได้หยุดพัก
“ท่านแม่ทัพ!!!” เสียงเรียกดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
“มีอะไร!” เสียงทุ้มถามกลับไป
กัวเหยียนไฉรีบเดินตรงดิ่งเข้าไปหานายของตน พร้อมยื่นเทียบเชิญส่งให้
“เทียบเชิญจากเมืองฉางอานของไต้อ๋องเรียนเชิญท่านแม่ทัพที่จวนขอรับ ท่านอ๋องจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับท่านที่สามารถทำศึกครั้งนี้นำชัยชนะกลับมาให้ต้าถัง ในงานนี้พระองค์เชิญบรรดาขุนนางน้อยใหญ่และคหบดีผู้มั่งคั่งทั่วทั้งเมืองฉางอานมาร่วมงานเลี้ยงนี้กันอย่างคับคั่งเลยนะขอรับ” กัวเหยียนไฉรายงานผู้เป็นนายอย่างละเอียด
“อย่างนั้นเหรอ!” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆ พร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ
“จัดงานเลี้ยงฉลองให้แก่ข้าหรือจัดพิธีหาคู่กันแน่ ข้าคร้านที่จะไปร่วมงานเช่นนี้เจ้าปฏิเสธไปสะ!” จางเย่วฉินตอบกลับไปด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานเลี้ยงของชนชั้นสูง
“จะดีหรือขอรับท่านแม่ทัพปฏิเสธไม่ไปร่วมงานเลี้ยงที่ไต้อ๋องทรงจัดขึ้น พระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อตัวท่านแม้แต่น้อยเลยนะ” กัวเหยียนไฉกล่าวออกไปด้วยความเป็นห่วง
ในขณะที่แม่ทัพรูปงามครั้นได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีนิลคู่สวยหรี่ตามองคนสนิทข้างกายที่ติดตามรับใช้มาโดยตลอด
“เจ้าเองก็ล่วงรู้ดีว่าข้าไม่ชอบงานครึกครื้นเช่นนี้ อีกทั้งจุดประสงค์หลักของการจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อชักนำข้าให้พบกับพระธิดาของไต้อ๋อง นางคิดกับข้าอย่างไรเจ้าเองก็ล่วงรู้ดีจะให้ข้าพร่ำบอกอยู่อีกเหรอ!” แม่ทัพหนุ่มกล่าวเสียงห้วน
ในขณะที่กัวเหยียนไฉกลับไม่คิดเช่นนั้น รอยยิ้มที่แฝงความเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันใดด้วยคิดออกแล้วว่าจะพยายามให้เจ้านายมองหาสตรีที่คู่ควรเพื่อแต่งงานออกเรือนเสียที
“แต่ข้าน้อยคิดว่าไปร่วมงานพอเป็นพิธีดีกว่าไม่ไปเลยจะดีกว่านะขอรับ ดื่มสักจอกสองจอกถือได้ว่ามาร่วมงานตามคำเชิญแล้ว ธิดาของท่านอ๋องจะต้องไม่คาดคิดว่าท่านมาร่วมงานเพียงชั่วอึดใจ โดยธรรมชาติของสตรีจะหมดเวลาในการแต่งตัวเพื่อออกมาให้ดูดีที่สุดชนิดที่ว่าชายที่ตนหมายปองได้เห็นแล้วเป็นต้องตกตะลึง เมื่อเห็นแล้วต้องหมายปองนางเป็นแน่แท้ กว่าจะออกมาร่วมงานเลี้ยงท่านแม่ทัพก็กลับจวนแล้วละขอรับ” เหยียนไฉเสนอความคิดเห็นของตนออกไป
“ดูท่าเจ้าช่างเข้าใจอิสตรีเหล่านี้เสียจริงนะ จึงคิดว่าพวกนางจะเป็นดั่งคำเจ้ากันเสียทุกคน” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางเหลือบสายตามองคนสนิทที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เช่นนั้นก็ได้ตอบกลับไปว่า ข้ายินดีไปร่วมงานที่จวนของไต้อ๋อง” แม่ทัพรูปงามตอบกลับไป
“ขอรับท่านแม่ทัพ! ข้าน้อยจะรีบจัดการตอบรับเทียบเชิญนี้กลับไปที่จวนไต้อ๋องเดี๋ยวนี้เลย” กัวเหยียนไฉเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะเหลือบสายตาสังเกตผู้เป็นนายยืนมองอะไรบางอย่างที่ไม่ไกลจากประตูเมืองเสียเท่าใดนัก
“ท่านแม่ทัพกำลังมองอะไรอยู่อย่างนั้นหรือขอรับ ข้าน้อยเห็นท่านยืนมองอยู่ตั้งนานแล้ว
ดวงตาสีนิลคมกล้ากำลังจับจ้องเทือกเขาสูงเบื้องหน้าที่อยู่นอกประตูเมืองลั่วหยางอยู่ในขณะนั้น แม่ทัพหนุ่มกำลังเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นไปได้ เมื่อสายตาของจางเย่วฉินเห็นเทือกเขาครึ่งลูกเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนแต่อ**บางส่วนเดี๋ยวเขียวขจีและกลับไปขาวโพลนสลับไปสลับมาอยู่เช่นนั้น ด้วยเพราะมิติกาลเวลากำลังซ้อนทับอยู่แถบบริเวณนั้นปรากฏให้เห็นอยู่ชั่วขณะและแม่ทัพหนุ่มบังเอิญมาเห็นเข้าให้พอดี ขณะกำลังยืนอยู่บนกำแพงเมือง
“เทือกเขาลูกนั้นเหตุใดข้าจึงเห็นครึ่งหนึ่งขาวโพลนเต็มไปด้วยหิมะแต่ส่วนที่เหลือเดี๋ยวเขียวขจีเดี๋ยวก็ขาวโพลนสลับไปมาอยู่เช่นนั้นช่างแปลกประหลาดเสียจริงเชียว” จางเย่วฉินพูดพร้อมยกมือชี้ไปทางเทือกเขาตรงหน้า
กัวเหยียนไฉหันกลับไปมองตามคำบอกของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็วและเห็นเช่นเดียวกัน หากแต่เพียงครู่ส่วนที่เป็นเขียวขจีกลับเลือนหายไปทันทีกลายเป็นสีขาวโพลนด้วยหิมะไปชั่วพริบตา
“จู่ๆ ก็หายไปแล้วขอรับท่านแม่ทัพ!” กัวเหยียนไฉเอ่ยออกมาทันใด
“นั่นนะสิ!หายไปแล้วส่วนที่เป็นป่าเขียวขจีก็หายไปด้วยเช่นกัน น่าแปลกประหลาดยิ่งนัก” แม่ทัพหนุ่มกล่าวพลางครุ่นคิดตามก่อนจะเอ่ยถามคนสนิทกลับไป
“บริเวณแถบนั้นถ้าหากข้าจำไม่ผิดคือเทือกเขาไถ่ซาน เป็นที่พำนักของพรรคมารมิใช่รึ!” แม่ทัพหนุ่มรำพึงออกมาเบาๆ พร้อมเสียงของคนสนิทดังแทรกขึ้น
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าประมุขพรรคมารพำนักอยู่บนเทือกเขาไถ่ซาน แต่ไม่รู้ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไงแต่ถ้าไม่ทำให้ราษฎร์เดือดร้อนก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้ทางการต้องทำการกวาดล้าง”
ครั้นแม่ทัพหนุ่มได้ยินคนสนิทกล่าวเช่นนั้นกลับคิดเห็นต่าง
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น บางครั้งความเงียบที่กำลังเห็นจะเกิดเป็นพายุใหญ่ในเวลาต่อมาเพราะฉะนั้นอย่ารอให้เกิดแล้วแก้ไข เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะสายเกินไป” แม่ทัพหนุ่มพูดพลางยกมือขึ้นรับเกล็ดหิมะที่เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อหิมะหยุดตกแล้วจัดเตรียมเตรียมทัพส่วนที่เหลือมุ่งหน้ากลับฉางอาน เจ้านำทัพกลับเมืองหลวงไปก่อนและเตรียมม้าเหงื่อโลหิตไว้ให้ข้าด้วย ดูท่าจะต้องเข้าไปเทือกเขาไถ่ซานเสียหน่อยแล้ว” กล่าวพร้อมสะบัดผ้าคลุมที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะจนร่วงหล่นเดินออกไปจากบริเวณนั้น
ในขณะที่กัวเหยียนไฉถึงกับตาเหลือกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“แต่ว่าท่านแม่ทัพจะให้ข้าน้อยคุมทัพนับเรือนหมื่นนำกลับเมืองหลวงตามลำพังแต่ผู้เดียวอย่างนั้นเหรอขอรับ หากทางราชสำนักสอบถามจะให้ตอบอย่างไง อีกทั้งไม่มีข้าน้อยคอยติดตามไปด้วยมีหรือจะวางใจ หากท่านกลับมาไม่ทันงานเลี้ยงของไต้อ๋องจะทำอย่างไรขอรับ” กัวเหยียนไฉถามไล่หลัง
“ไม่ทันก็ไม่ไป! แค่นั้นเอง!!!” แม่ทัพหนุ่มตอบกลับมาด้วยความรำคาญพร้อมตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าจะไปร่วมงานเลี้ยงที่ฝ่าบาทจัดให้เพียงแค่นั้น นอกเหนือจากนั้นข้าไม่ไป!!!” จางเย่วฉินตะโกนก้องกลับมา
ครั้นได้ยินคำตอบที่ชัดเจนแบบนั้นกัวเหยียนไฉถึงกับยกมือเกาศีรษะตัวเอง
“อัยยะท่านแม่ทัพตอบง่ายๆ แบบนี้นะเหรอ เกิดไต้อ๋องไม่พอใจ หาเหตุกลั่นแกล้งท่านแม่ทัพขึ้นมาจะทำอย่างไงดี โธ่! ท่านแม่ทัพหนอท่านแม่ทัพ เหตุใดจึงดื้อรั้นเช่นนี้แค่ไปปรากฏตัวให้บรรดาสาวๆ ได้ชื่นชมความหล่อเหลาของท่านบ้างมันเป็นเรื่องยากนักหรือไง” กัวเหยียนไฉยืนบ่นพึมพำพลางส่ายหน้าไปมาด้วยความระอาพร้อมเอ่ยขึ้น
“เป็นข้าหน่อยไม่ได้จะคว้าหญิงงามเหล่านั้นมาแต่งเป็นภรรยา นอกนั้นก็เอามาเป็นอนุให้หมดทุกคนเลยมีเมียเยอะดีจะตาย จะได้มีทายาทสืบต่อวงศ์ตระกูลชนิดหัวปีท้ายปี ท้องติดต่อกันไม่ให้ได้พักไปเลย” กัวเหยียนไฉบ่นพึมพำพร้อมรีบวิ่งตามหลังแม่ทัพของเขาไปติดๆ