มี่อิงหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่เธอถามออกไปนั้นคนทางนี้ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“แม้แต่คำว่ากี่โมงก็ยังไม่เข้าใจอย่างนั้นเหรอ...เอาไงดีวะเนี่ยคำที่หมายถึงเวลาต้องพูดว่าอะไร..พูดว่าอะไร..พูดว่าอะไรหนอ” คนสวยครุ่นคิดอยู่ภายในใจพร้อมหลับตาท่ามกลางความสงสัยของอีกฝ่าย
“เจ้าเป็นอะไรรึอิงอิงเหตุใดจึงมีท่าทีเช่นนั้นหรือว่าเกิดอาการเจ็บไข้ขึ้นมา” คุณหนูตระกูลเฉียนถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพลางเอียงคอมองเพื่อนใหม่ที่ชอบทำตัวแปลกๆ
“เฮ้ย!นึกออกแล้ว” จู่ๆ มีอิงก็แผดเสียงออกมาด้วยความดีใจครั้นคิดออกแล้วว่าจะใช้คำแทนเวลาว่าอย่างไร ท่ามกลางความตกใจของอีกฝ่าย
“โอ้ย! ข้าตกใจหมดเลย..จู่ๆ เจ้าก็แผดเสียงขึ้นมาเช่นนี้” คุณหนูตระกูลเฉียนพูดพลางยกมือขึ้นทาบหน้าอก
ในขณะที่จ้าวมี่อิงได้แต่ทำหน้าเหวอ เมื่อเห็นอาการขวัญอ่อนของอีกฝ่าย
“คนยุคนี้เขาขี้ตกใจง่ายขนาดนี้เลยเหรอ” หญิงสาวบ่นพึมพำออกมาเบาๆ พลางส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปพร้อมเอ่ยขึ้น
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ! ว่าแต่ตอนนี้ที่นี่ยามอะไรแล้ว” มี่อิงถามไถ่เรื่องเวลาด้วยความอยากรู้
คุณหนูตระกูลเฉียนหันกลับไปมองทางด้านหลังของนาง มีบางอย่างตั้งอยู่หัวมุมห้องลักษณะมีน้ำหยดลงบนภาชนะที่ทำจากหินเรียกว่านาฬิกาน้ำจะแบ่งออกเป็น 100 ขีด แต่ละรอยขีดเขียนตัวอักษรบอกจำนวนไว้ มีหน่วยนับเป็น เค่อ ใช้หลักการหยดอย่างสม่ำเสมอของน้ำ แล้วอาศัยสังเกตการลดลงของน้ำว่าถึงแต่ละขีดไหนก็จะเป็นการบอกเวลา
“ตอนนี้ยามห้ายสองเค่อแล้ว” จินเอ๋อตอบกลับไปพร้อมหันกลับมามองเพื่อนใหม่ของนาง
มี่อิงได้แต่นั่งงงเมื่อได้ยินคำตอบเกี่ยวกับเวลาเช่นนั้น
“แหะ...แหะ...แปลว่าอะไรวะยามห้ายสองเค่อ” จ้าวมี่อิงพูดพร้อมยกนิ้วของเธอขึ้นกุมขมับเอาไว้ทันทีท่ามกลางความแปลกใจของจินเอ๋อครั้นเห็นเพื่อนใหม่ของนางแสดงออกมาเช่นนั้น
“เจ้าเป็นอะไรไปอิงอิงข้าพูดสิ่งใดผิดแปลกไปอย่างนั้นเหรอ” คุณหนูตระกูลเฉียนถามกลับไปด้วยความอยากรู้
มี่อิงยกมือเรียวสวยขึ้นมาทันใดเป็นสัญญาณห้ามมิให้อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นออกมา
“เธอไม่ผิดหรอกจินเอ๋อ แต่เป็นฉันที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับยุคนี้ อย่าไปใส่ใจเลย” มี่อิงพูดพร้อมตัดบททันใดก่อนจะนึกถึงผู้ชายที่สั่งให้คนตามล่าตัวเธอ
“เออจริงสิ! ผู้ชายคนที่มีเรื่องกับฉันนะเขามีอำนาจมากเลยเหรอถึงขนาดสั่งปิดประตูเมืองและออกคำสั่งให้ค้นหาได้ทั่วทั้งเมืองแบบนั้นนะ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าไปทำอะไรผิด ถุงเงินอะไรนั่นฉันก็เก็บได้ไม่ได้ไปขโมยของเขาเลยนะ”
คุณหนูตระกูลเฉียนยิ้มออกมาบางๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ข้าเชื่อเจ้าว่าไม่ได้ทำผิด สบายใจเถอะเพราะว่าข้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นตั้งแต่ต้นเข้าใจว่าท่านแม่ทัพน่าจะถูกหัวขโมยล้วงถุงเงินแล้ววิ่งหนีออกมาทางประตูเมือง และบังเอิญช่วงนั้นจุดดอกไม้ไฟทำให้ท่านแม่ทัพไม่ทันได้ระวัง ข้ามาเห็นเหตุการณ์ตอนที่มีคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากประตูเมืองและเห็นเจ้าเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคน เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าคนผู้นั้นหายไปไหนเมื่อเดินชนกับเจ้าจนกระเด็นลอยออกไปไกลเลยเชียวนะ” คุณหนูตระกูลเฉียนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด
ในขณะที่มี่อิงนั่งเอามือเท้าคางฟังเพื่อนใหม่ของเธอด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
“หรือว่าฉันพลัดหลงเข้ามาตอนเกิดมิติเวลาซ้อนทับ แบบนี้ก็ยิ่งแย่นะสิแล้วฉันจะรู้ได้อย่างไงว่าจะได้กลับตอนไหน” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“แรกเห็นข้าเข้าใจว่าเจ้ากับท่านแม่ทัพรู้จักกันเสียอีก แต่พอยืนมองสักพักและเห็นเจ้าทำร้ายจนท่านแม่ทัพมีสภาพแบบนั้นนับถือจริงๆ เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่หาญกล้ากระทำเช่นนั้นเลยนะ” คุณหนูตระกูลเฉียนเอ่ยชื่นชม
“เชอะ! แค่นี้มันอย่างน้อยไปสมควรแล้วที่จะโดนแบบนั้น ท่าทางไม่น่าจะเป็นถึงแม่ทัพได้เลยมีดีก็แค่สูงใหญ่ ตัวโต กว่าผู้หญิงอย่างพวกเราก็แค่นั้นเอง...พูดแล้วขึ้น! โมโหขึ้นปรี๊ดๆ เลย” มี่อิงพูดลอดไรฟันด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองไม่จางหาย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันของคุณหนูตระกูลเฉียนครั้นได้ยินเช่นนั้น นางยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยบางเบาขึ้นปิดปากเอาไว้เพื่อกลั้นเสียงของตน
“ดูท่าเจ้าเป็นสตรีคนแรกที่คิดเห็นเช่นนี้ ข้าจะบอกให้ล่วงรู้ว่าท่านแม่ทัพจางเย่วฉินผู้นี้ เป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่าสตรีชั้นสูงทั้งในราชสำนักและบรรดาบุตรีขุนนางน้อยใหญ่ ท่านแม่ทัพจางเต็มไปด้วยความองอาจ ผึ่งผายและงามสง่าอีกทั้งรูปงามหล่อเหลาจนเป็นที่ริษยาต่อบุรุษด้วยกันเองยิ่งนัก หากแม้นมิได้มีวรยุทธ์สูงส่งเป็นเพียงนักปราชญ์หรือบัณฑิตผู้ทรงความรู้จะต้องถูกกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านแม่ทัพจางก้าวขึ้นเป็นขุนนางขั้น 4 ด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้นและกำลังก้าวหน้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด” คุณหนูตระกูลเฉียน กล่าวอย่างชื่นชม
ครั้นมี่อิงได้ยินคุณหนูตระกูลเฉียนกล่าวออกมาเช่นนั้น คนงามนั่งทำตาประหลับประเหลือกพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูง
“เชิญผู้หญิงที่นี่มองแบบนั้นไปเถอะ แต่สำหรับฉันไอ้หน้าอ่อนนั้นคือศัตรูจะเป็นแม่ทัพหรือเป็นขุนนางใหญ่โตมาจากไหน หรือจะมีอายุเท่าไรก็ไม่สำคัญกับคนอย่างจ้าวมี่อิง...มิน่าละที่แท้อายุก็เพิ่งจะ 19 นี่เองถึงได้ทำตัวเด็กๆ ชอบใช้กำลังแบบนั้นแทนที่ควรจะเคารพผู้อาวุโสกว่า” มี่อิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะได้ยินเสียงของจินเอ๋อดังแทรกขึ้น
“นี่เจ้าอย่าบอกนะว่าอาวุโสกว่าข้าและยังอาวุโสกว่าท่านแม่ทัพจาง อีกอย่างท่านแม่ทัพปีนี้อายุ 22 ไม่ใช่ 19 ตามที่เจ้าเข้าใจ ที่ข้ากล่าวถึงนั่นคือเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนแรกยังคิดว่าเจ้าและข้านั้นมีอายุเสมอกันเสียอีก จนยังคิดว่าตัวข้านั้นจะอาวุโสกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำไปนี่เจ้ามีอายุกี่ขวบปีแล้ว” คุณหนูตระกูลเฉียน ถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจพลางจ้องมี่อิงอย่างพินิจพิเคราะห์
มี่อิงนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปตั้งมากมายด้วยความลืมตัวไปเสียสนิท ถึงอย่างไรเสียขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็กลัวแก่อยู่วันยังค่ำ โดยเฉพาะมี่อิงคนงามก็ไม่พ้นเรื่องนี้เช่นกัน
“อ่อเปล่า! ฉันแค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเองแหละเธออย่าไปใสใจเรื่องอายุอานามอะไรเลย” หญิงสาวปฏิเสธกลับไปพร้อมเอ่ยสำทับขึ้น
“ตอนนี้ฉันสนใจแต่เพียงว่าจะกลับไปที่ประตูเมืองนั้นได้อย่างไง เธอมีวิธีที่จะพาฉันไปนั่นได้หรือเปล่าจินเอ๋อ เพียงแค่ได้กลับไปที่ประตูเมืองฉันก็จะสามารถกลับบ้านได้แล้ว” มี่อิงพูดแกมขอร้อง
คุณหนูตระกูลเฉียนยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเพื่อนใหม่กล่าวเช่นนั้น
“เจ้าจะได้กลับบ้านอย่างแน่นอนไม่ต้องห่วงเพียงแต่ว่ายังไม่ใช่เวลานี้เท่านั้น” จินเอ๋อตอบกลับไป
“ทำไม!” จ้าวมี่อิงถามสวนกลับไปทันทีด้วยความอยากรู้ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมา
“ตอนนี้แม่ทัพจางกำลังค้นหาตัวเจ้าทั่วทั้งเมืองฉางอานแต่ถึงอย่างไรเสีย เมื่องานชีซีสิ้นสุดจำต้องเปิดประตูเมืองเพื่อให้ผู้คนจากต่างเมืองต่างแคว้นทยอยเดินทางกลับ และแน่นอนว่าท่านแม่ทัพจะต้องอยู่ตรงประตูเมืองตลอดเวลา ดังนั้นคืนนี้เจ้าพักผ่อนในจวนไปก่อน ยามอิ๋นข้าจะพาเจ้าออกจากจวนขึ้นรถม้าไปด้วยกัน เพราะพรุ่งนี้ตระกูลเฉียนจะต้องเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษที่เขาเซียนเหมิ่น ขบวนรถม้าของตระกูลเฉียนซึ่งเป็นชนชั้นขุนนางได้รับการยกเว้นการตรวจค้นของทางการรับรองได้ว่าไม่เป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน”
ดวงตาสีชาคู่สวยลุกวาววับขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เป็นแบบนี้นี่เอง เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าขบวนรถม้าของพวกขุนนางในสมัยโบราณได้รับการยกเว้นไม่ต้องตรวจค้น ดี! ดีมากเลย...ในที่สุดจะได้กลับบ้านเสียที” หญิงสาวพึมพำด้วยความดีใจหากแต่อีกฝ่ายที่ได้ยินมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลันจนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“เป็นอะไรเหรอจินเอ๋อทำไมทำหน้าแบบนั้นละ” มี่อิงถามเพื่อนใหม่ต่างมิติของเธอกลับไป
“ดูท่าเจ้าดีใจยิ่งนักที่จะได้กลับบ้าน ในขณะที่ข้าไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกใจหายที่เจ้าจากไป มีโอกาสอีกหรือไม่ที่จะได้พบกัน ข้าถูกชะตากับเจ้ายิ่งนักใคร่อยากคบหาเป็นมิตรสหายผู้รู้ใจ อีกทั้งเมื่อยามออกเรือนจะได้มีเพื่อนสนิทคอยปรึกษาว่าจะทำอย่างไรในการครองคู่ ดูท่าเจ้าอาวุโสกว่าข้าคงจะแนะนำกันได้”
“เฮ้ย! พูดเป็นเล่นนะ” มี่อิงเอ่ยออกมาทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น
“คะ..คือว่าฉันยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีประสบการณ์ที่จะบอกอะไรกับเธอได้เลยแม้แต่อย่างเดียวจินเอ๋อ อีกอย่างอายุของฉันก็...ก็ประมาณ..ประมาณ” หญิงสาวเกิดอาการพูดติดอ่างขึ้นมาทันใด ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายๆ ได้เช่นไรว่า จินเอ๋อมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองพันปี
“อย่างไรเหรออิงอิง!” คุณหนูตระกูลเฉียนมิวายถามกลับไปด้วยความอยากรู้พร้อมเสียงของมี่อิงตอบสวนกลับมา
“เรื่องมันยาวนะเอาเป็นว่าอย่าไปใส่ใจเลยนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อว่าคนดีๆ แบบเธอจะต้องได้คู่ครองที่ดีและเหมาะสมอย่างแน่นอน เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานเธอก็จะได้ออกเรือนเป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และเธอเป็นเพื่อนที่ดีมากของจ้าวมี่อิง” หญิงสาวบอกอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกออกมาจากใจ
ในขณะที่เฉียนจินเอ๋อยิ้มกว้างออกมาโดยพลันครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ขอบใจเจ้ามากเลยนะที่คบหาข้าเป็นสหาย” คุณหนูตระกูลเฉียนกล่าว ออกมาด้วยความดีใจ
“จริงแท้แน่นอนจะไปหลอกทำไม เพราะฉันก็มีเธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในของที่นี่” หญิงสาวตอบกลับไป
จ้าวมี่อิงถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคิดได้ว่าการได้คบหาเพื่อนใหม่ในยุคโบราณที่มีแต่ความจริงใจเช่นนี้ช่างเหนือความคาดหมายของเธอเสียจริงๆ
แตกต่างไปจากเพื่อนในยุคปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงโดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานในสายอาชีพเดียวกันมีแต่ความเห็นแก่ตัวและไร้สิ้นซึ่งน้ำใจ เสียดายตรงที่ไม่มีโอกาสคบหากันได้อีกต่อไปเพราะมาจากคนละยุคและที่สำคัญมี่อิงต้องกลับบ้านในยุคปัจจุบันของเธอ ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้