ชายหนุ่มบอกพร้อมกับก้าวเท้าเข้าหา จ้องหน้าเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง จนป่านฝันต้องถอยร่นออกทีละก้าวเช่นกัน
หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอรีบจนไม่สามารถจำอะไรได้หมด อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่าก็ได้ แต่ไม่มีวันที่เธอจะยอมรับเด็ดขาด ‘มันจะมากไปแล้วนะ ให้ฉันขอโทษงั้นรึ! ไม่มีทางเสียล่ะ’
หญิงสาวพยายามกดความโกรธให้ลดลง สูดลมหายใจเข้าแล้วพ่นออกมา ก่อนจะบอกคนตรงหน้า น้ำเสียงเรียบนิ่งกลบเกลื่อนเรื่องที่เขาบอกเมื่อครู่
“ถอยรถของนายออกมาเดี๋ยวนี้ ตรงนี้มันเป็นที่ของฉัน”
ชายหนุ่มยิ้มกวน แบมือพร้อมยักไหล่พลางสอดสายตามองไปรอบๆ “มีป้ายตรงไหนบอกไม่ทราบว่าเป็นที่ของผู้หญิงวัยทอง สมองเป็นอัลไซเมอร์อย่างคุณ ถ้าไม่มี ผมจะจอดตรงนี้ ไม่มีทางถอยออกเด็ดขาด”
ยิ่งรีบป่านฝันก็ยิ่งโมโหมากขึ้น อาการกวนโทสะของเขาเพิ่มเชื้อไฟ เธอเท้าสะเอวโต้กลับไม่ห่วงสวย
“นายหมายความว่ายังไง”
“เมื่อกี้คุณขับรถปาดหน้าผม จนเกือบเบรกกันไม่ทัน คุณก็ต้องขอโทษ เพราะผมจำทะเบียนรถคันนั้นได้แม่น แล้วมันก็คือคันนี้แน่นอน” ชายหนุ่มชี้มือไปที่รถของหญิงสาว
“แต่ฉันไม่! อย่ามาพูดพล่อยๆ และก็อย่าหวังว่าจะได้รับคำขอโทษจากฉัน เพราะผู้ชายอย่างนายต่อมสุภาพบุรุษและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีคงฝ่อไปแล้ว ถึงจะเป็นฉันจริงก็เถอะ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษให้เสียปาก”
“ผมก็ไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างคุณจะมีมารยาทพอหรอก ผมก็ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทและรักษาความเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงไร้มารยาทอย่างคุณใช่มั้ย ผมไปละ หวังว่าเราคงไม่เจอกันอีก ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหน” ชายหนุ่มหรี่ตายิ้มยั่ว เดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
ป่านฝันโกรธจนหน้าแดง ริมฝีปากสั่นระริก ทั้งที่เธอพยายามใช้ฟันขบเม้มเอาไว้ พลันเสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้นเสียก่อน พราวลดานั่นเองที่โทร. มาเร่งอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะไม่รับสายเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด ประจวบกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมมาบอกว่ารถของเธอจอดขวางทาง ป่านฝันได้แต่ฮึดฮัดเพราะทำอะไรไม่ได้ จำต้องถอยรถไปจอดที่อื่นและเดินบ่นอย่างหัวเสีย
“เพราะนายคนเดียว! ฉันถึงได้ต้องมาเดินไกลอย่างนี้ ทั้งรีบ ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน เหงื่อท่วมเลย ไม่รู้เมืองไทยจะร้อนทำไมนักหนา อย่าให้ฉันเจอนายอีกนะ แม่จะด่าให้บ้านแตกสาแหรกขาดทีเดียว”
เธอพาลไปถึงดินฟ้าอากาศของเมืองไทย เดินกระแทกส้นเท้ามาถึงห้องน้ำ ไม่ลืมแวะเข้าไปซับหน้า หลังจากนั้น ป่านฝันคนเดิมก็เดินคอรั้งหน้าเชิดออกมา ท่วงท่าสง่างาม ก้าวย่างอย่างมาดมั่น
พราวลดากับเพื่อนอีกกลุ่มยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่อีกโซนของงาน หญิงสาวละสายตาจากคู่สนทนาหันมองเพื่อนสาวที่เดินปั้นปึงเข้ามา เพราะเพื่อนทุกคนกำลังมีความสุขแต่นั่นไม่ได้ทำให้คนร้างคู่อย่างป่านฝันมีอารมณ์ร่วมสักนิดเดียว
“เป็นอะไรอีกละ หน้าหงิกมาเชียว โทร. ไปทำไมไม่รับสายยะ”
พราวลดาทักเพื่อนที่หน้าบอกบุญไม่รับ แต่ป่านฝันไม่สนใจที่จะตอบคำถามเพื่อน เธอกลับตั้งคำถามใหม่เสียเอง เพราะตั้งแต่เดินเข้างานมาเธอยังไม่เห็นเจ้าของงานเลย
“นี่ยัยรินนี่ยังไม่มาอีกหรือ” รินนี่คือเพื่อนสาวเพศที่สาม ที่ผู้ชายต้องมองเหลียวหลัง เพราะเธอสวยกว่าผู้หญิงอีกหลายคน
“ยังเลย”
ป่านฝันเพียงพยักหน้ารับรู้แกนๆ กับสิ่งที่พราวลดาบอก โดยไม่ได้พูดอะไร เพราะความหงุดหงิดเมื่อครู่ยังไม่จางหาย ความหงุดหงิดระลอกใหม่ก็ก่อตัวขึ้นมาซ้อนทับ เมื่อเพื่อนเดินเข้ามาหาพร้อมกล่าวทักทายในประโยคเดิมๆ ที่เธอแสนเกลียด
“ป่าน ฉายเดี่ยวอีกงานแล้วหรือ”
คนถูกทักเพียงยิ้มให้เพื่อน แต่ยังไม่ทันข้ามนาที เพื่อนอีกคนก็รัวกระสุนระลอกใหม่มาที่เธอไม่ยั้ง
“ชักไม่อยากเชื่อคำพูดของเธอแล้วนะป่าน บอกว่ามีแฟน แต่ไปงานในรอบปี ฉายเดี่ยวทุกครั้งเลย” เพื่อนอีกคนก็เสริมขึ้น
“เนอะๆ”
“ยังไงกันป่าน ได้ข่าวว่าเธอจะแต่งงานตั้งแต่สามปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“อินทุอรก็ถามตรงเกินไป ฉันอยากรู้ยังไม่กล้าถามเลย” กิ่งกมลแกล้งเย้าอินทุอร แต่ก็ไม่วายหันมาถามป่านฝัน
“เมื่อไหร่จะมีข่าวดีจ๊ะ”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละน่า ผู้หญิงวัยนี้กำลังแซบ เป็นโสดและทำงาน มีความสุขจะตาย” พราวลดาเป็นคนตอบแทน
“อย่างเธอ ยังไม่แต่งงานก็ไม่เป็นไร เพราะได้ทำงานกับสุดที่รักทุกวัน แต่ป่านนี่สิ” อินทุอรทิ้งประโยคอ้อล้อถาม
หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาก็เป็นเรื่องของป่านฝันทั้งสิ้น เจ้าของเรื่องเพียงยิ้มรับและพยักหน้าแกนๆ คนที่ออกรับแก้ตัวแทนคือพราวลดา จนในที่สุดป่านฝันก็ทนต่อไปไม่ไหว
ป่านฝันชักสีหน้า เธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งเรื่องอารมณ์บูดเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา อากาศอุดอู้จากข้างนอก แล้วยังต้องมาเจอคำถามเดิมๆ เป็นชนวนพาอารมณ์บูดเพิ่มขึ้น
“ฉันออกไปเข้าห้องน้ำนะพราว เดี๋ยวฉันมานะ” ป่านฝันตัดบทบอกพราวลดาและผละออกไปทันที ไม่แยแสที่จะสนทนากับเพื่อนคนอื่นสักนิด
ก็จริงอย่างที่พวกเขาพูด เธอเองก็มีแฟน เขาเป็นถึงกัปตันของสายการบินชื่อดังแห่งหนึ่งของโลก แต่ด้วยเวลาทำงานของเธอกับเขาที่แตกต่าง ทำให้เขาและเธอเริ่มถอยห่างออกไปทุกที แม้เธอจะบอกทุกคนว่าเขาคือแฟน แต่ในใจของเธอกลับแอบคิดและเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอ
‘ตอนนี้เขายังคงสถานะแฟนของเธออยู่หรือเปล่า’
ป่านฝันเดินทอดน่องมาเรื่อยเปื่อย ก่อนจะทรุดนั่งบนโซฟาบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมอย่างอ่อนล้า ด้วยงานที่ต้องพบปะลูกค้าเป็นประจำทำให้เธอต้องแต่งตัวให้ดูดีอยู่เสมอ ชุดสีดำที่เธอสวมวันนี้ขับให้ผิวนวลเปล่งปลั่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือผิวพรรณก็ไม่เหมือนหญิงสาววัยสามสิบสักนิด
แต่เธอไม่เข้าใจว่าผู้หญิงวัยเธอ ไม่แต่งงานหรือไม่มีแฟน เป็นเรื่องน่าอายมากขนาดนั้นเลยหรือไง ทำไมผู้หญิงที่สามารถยืนหยัดและเลี้ยงดูตัวเองได้จะต้องวิ่งตามค่านิยม กลัวการขึ้นคาน
ป่านฝันนั่งทอดอารมณ์และปล่อยความรู้สึกไปเรื่อยๆ อยากกลับบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ทำไม่ได้
“แกมานั่งอยู่ทำไมตรงนี้ป่าน ทำไมไม่เข้าไปในงาน”
เสียงของเพื่อนอีกคนที่เอ่ยทัก ปลุกความรู้สึกของหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์
รินนี่ควงหนุ่มคนใหม่เดินมาหาเพื่อนสาว ชายหนุ่มข้างกายรินนี่เพียงแค่ค้อมศีรษะเล็กน้อย เหมือนกับป่านฝันที่เธอเพียงยิ้มบางๆ ตอบรับเช่นกัน โดยที่คนกลางไม่ต้องแนะนำสองหนุ่มสาวให้รู้จักกัน เพราะต่างก็รู้ดีว่าคงจำไม่ไหว…
“ฉันเข้าไปแล้ว แต่มีสายของลูกค้าก็เลยออกมารับโทรศัพท์ข้างนอกน่ะ” หญิงสาวโป้ปดกลับไป
“แกจะเข้าไปพร้อมฉันมั้ย”
“แกพาเพื่อนเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไปทีหลัง ขอตอบเมล์ลูกค้าอีกหน่อย” เธอตอบกลับในระดับเสียงที่ราบเรียบ หันไปสนใจโทรศัพท์ในมือเหมือนตัวเองกำลังยุ่ง อีกคนจำต้องเดินออกไป แต่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“เออป่าน! สัปดาห์ก่อนฉันเจอกัปตันนวิน เขายังถามถึงหล่อนอยู่เลย นี่หล่อนไม่ได้ติดต่อเขาแล้วเหรอ เห็นเขาบอกว่ากลับเมืองไทยมาเป็นสัปดาห์แล้วนะ”