ยามจื่อวันต่อมา
หลังจากใช้เวลาจดจำแผนที่เดินป่ามาเรียบร้อยแล้วผู้เข้าทดสอบจึงพร้อมเพรียงกันตรงปากทางเข้าป่าหลิ่งอี๋
“จำไว้ว่าถ้าสิ้นสุดการทดสอบแล้ว เสื้อผ้าของพวกเจ้ามีสีครบห้าสีถือว่าสอบตก” อาโปตะโกนก้องด้วยสีหน้าจริงจังเพราะเป็นผู้คุมด่านสุดท้าย
หน่วยราชองครักษ์คนอื่น ๆ ล่วงหน้าเข้าไปรอตามจุดซุ่มโจมตีเรียบร้อย หนึ่งเพราะต้องการทดสอบหาผู้ที่มีความสามารถมากพอจะมาอยู่หน่วยเดียวกันกับเขาและสองเพื่อที่จะเล่นสนุกคลายความเครียดนั่นเอง
การทดสอบในครั้งนี้แม้จะไม่ได้จริงจังมากแต่ก็ไม่หย่อนยานจนเสียชื่อ ในอดีตหลายคนที่ผ่านด่านมักจะถูกลอบโจมตีอย่างน้อยสามสี่ครั้ง น้อยคนนักที่จะผ่านมาได้โดยไม่เป็นอะไรเลยอย่างตงฟางฮุ่ยหลิง
โจวหยางอิงเห็นสีหน้าของกู้หลินแล้วนึกสงสัย “เจ้าไม่กลัวเลยหรือ”
อีกฝ่ายกลับตอบเพียงว่า “สบายมาก” นั่นเป็นเพราะจำได้คร่าว ๆ ว่าการทดสอบของหน่วยราชองครักษ์ในวิหคไร้ใจเป็นแบบใด อีกทั้งจางฮุ่ยหลิงยังเคยเล่าเรื่องการทดสอบต่าง ๆ ให้เขาฟังอยู่หลายครั้งราวกับรู้ว่าวันหนึ่งกู้หลินจะต้องมาหาเขาที่นี่เสียอย่างนั้น
“ถึงอย่างนั้นก็อย่าประมาทเลยดีกว่า” โจวหยางอิงเห็นหน่วยราชองครักษ์ส่งสัญญาณให้กันแล้วคิดว่าอาจจะต้องมีใครเล่นอะไรแผลง ๆ
“หยางอิง” กู้หลินเรียกให้เขาโน้มตัวลงมา กระซิบบอกว่า “ตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าผ่านด่านเอง”
หลังจากนั้นทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในป่าหลิ่งอี๋ คนหนึ่งดูทาง อีกคนคอยมองไปรอบ ๆ ว่ามีหน่วยซุ่มอยู่หรือไม่ ทำงานกันเข้าขาเป็นอย่างดีจนแทบไม่ต้องกังวลสิ่งใด
แม้จะมีการลอบโจมตีเป็นระยะแต่ทักษะที่ทั้งคู่เคยฝึกฝนมา ทำให้รอดไปได้อย่างหวุดหวิด จนกระทั่งใครบางคนสั่งให้อาโปสร้างสถานการณ์การทำให้พวกเขาทั้งคู่ต้องพลัดหลงกัน
โจวหยางอิงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยจนเผลอปล่อยให้หน่วยราชองครักษ์ฉวยโอกาสยิงธนูใส่เขาจนได้
ลูกธนูหัวทู่ชุบสีแดงจึงลอยลิ่วกระทบหน้าท้องของเขาจนสีเปรอะเปื้อน นั่นทำให้สติของเขากลับมา ในใจคิดว่าจะต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองสอบตกและยังต้องรีบหากู้หลินให้เจอ
อีกทางด้านหนึ่ง
กู้หลินยังคงก้าวเท้าต่อไปอย่างมั่นคง สายตามองไปรอบ ๆ เหมือนที่เคยทำ หูสองข้างฟังเสียงอย่างตั้งใจ แต่เพราะเหตุใดไม่รู้ได้ การโจมตีถึงได้ดูหนักหน่วงขึ้นอย่างกะทันหันจนเขาเผลอคิดไปแล้วว่าหน่วยราชองครักษ์ทั้งหมดคงมาซุ่มรุมเขาอยู่คนเดียว
หัวธนูทู่ ๆ หรือแม้แต่มีดปลอมที่ลอยลิ่วมากำลังละเลงสีต่าง ๆ บนร่างกายของกู้หลิน ทำให้เขาต้องรีบวิ่งหาที่กำบังเพื่อพักวางแผน
โชคดียังพอเข้าข้างกู้หลินอยู่บ้าง เขาเห็นแสงข้างหน้าอยู่รำไร ดูก็รู้ว่าเป็นทางออกจึงหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพราะนั่นหมายความว่าด่านสุดท้ายคือการสู้ตัวต่อตัวกับหน่วยราชองครักษ์นั่นเอง
กู้หลินมองซ้ายขวาก่อนจะออกวิ่งฉิวไปยังปลายทาง พลันต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของใครบางคนที่คุ้นเคย
“ฮุ่ยหลิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เขาเอ่ยปากถาม แต่ไหนแต่ไรหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ไม่จำเป็นจะต้องมาทดสอบผู้สมัครเองด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดเขาจึงปรากฏตัวขึ้นในค่ำคืนนี้
“...” ตงฟางฮุ่ยหลิงไม่ตอบสิ่งใดแต่โยนดาบไม้ให้กู้หลินพร้อมทั้งท่ารอ
“เฮ้อ ไม่อยากให้ข้าผ่านถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาถามอีกฝ่าย “ข้าไม่ยอมแพ้เจ้าง่าย ๆ หรอกนะ”
เป็นจริงดังว่า ตงฟางฮุ่ยหลิงเองก็แปลกใจที่กู้หลินผ่านมาได้จนกระทั่งด่านสุดท้าย เขาจึงค่อนข้างร้อนใจจนต้องลงมือสกัดกั้นคนไฟแรงด้วยตัวเอง
จากนั้นทั้งสองจึงได้ประลองดาบกันอย่างจริงจัง ความร้อนรนนั้นทำให้ตงฟางฮุ่ยหลิงเผลอจะเอาจริงอยู่ร่ำไปจนกู้หลินต้องตะโกนโวยวาย “เจ้าจริงจังเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยฝึกแบบเจ้า ขืนสู้ไปเช่นนี้อย่างไรข้าก็ต้องแพ้”
“ขอโทษ” ตงฟางฮุ่ยหลิงเอ่ยปากเป็นครั้งแรกเพราะลืมตัวไปจริง ๆ จากนั้นจึงลดระดับฝีมือประลองดาบลงมาหลายขั้นให้เหมาะสมกับการทดสอบผู้สมัคร
แน่นอนว่ากู้หลินย่อมเคยฝึกดาบกับจางฮุ่ยหลิงมาก่อนจึงรู้ดีว่าเวลานี้ตงฟางฮุ่ยหลิงอ่อนข้อให้แล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำคือไล่ต้อนเขาไปจนถึงปากทางออกตามที่เคยได้ร่ำเรียนมา
คนตรงหน้ารู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่กู้หลินรับกระบวนท่าทั้งหลายของเขาได้
“ฮุ่ยหลิง” เสียงหวานของกู้หลินทำให้หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์เผลอสบตากับเจ้าตัว “เมื่อใดจะจำข้าได้เสียที ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว”
เมื่อพูดจบและไม่เห็นว่าใครอยู่ตรงนั้น กู้หลินจึงทำปากส่งจูบให้เขาไปหนึ่งที
คิ้วหนาของตงฟางฮุ่ยหลิงขมวดเข้าหากัน สมาธิแตกกระเจิงจนเผลอผลักกู้หลินกระเด็น
“เจ้าสอบตก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
ทว่าเสียงค้านของกู้หลินดังขึ้น ขณะพยายามลุกขึ้นยืนพลางปัดเศษฝุ่นดินออกจากเสื้อผ้า
“เจ้ามองไม่เห็นหรือว่าบนเสื้อผ้าของข้า นอกจากสีส้มกับสีฟ้าแล้ว ไม่มีสีอื่นอีก” กู้หลินหมุนรอบตัวเองให้เขาดู “กฎของเจ้าบอกว่าถ้ามีครบห้าสีถือว่าสอบตก”
ตงฟางฮุ่ยหลิงมองดูให้ดีอีกครั้ง พยายามหาว่ามีสีอื่นติดมาด้วยหรือไม่
“ตกลงข้าสอบตกจริงหรือไม่” เขาไม่ยอมแพ้
แม้ว่าอยากจะให้กู้หลินสอบตกสักเพียงใด เวลานี้ก็มีแต่ต้องยอมรับแล้วว่ากู้หลินผ่านด่านต่าง ๆ มาได้ทั้งหมด
ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์มาประลองดาบด้วยตัวเองเพราะคิดว่าจะสาดสีม่วงทำสัญลักษณ์ว่าแพ้อยู่แล้ว แต่กลับเข้าถึงตัวของอีกฝ่ายไม่ได้เลย จึงได้แต่กัดฟันพูดว่า “ผ่าน” ไปโดยปริยาย
กู้หลินได้ยินดังนั้นจึงดีใจมาก พยายามมองไปรอบตัวเพื่อหาโจวหยางอิงอยากจะบอกข่าวดี ประกอบกับเจ้าตัวเดินออกมาปลายทางพอดี
ครั้นเห็นว่าเสื้อผ้าของเขาเปื้อนไปด้วยสีแดงจึงรีบวิ่งไปหา สีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“หยางอิง เจ้าบาดเจ็บหรือ” เขาพึมพำพลางเอามือแตะบริเวณที่เปื้อนสีแดงนั้น
แม้โจวหยางอิงจะงุนงงไปบ้าง แต่พอได้รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเขาขึ้นมาก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกพลันทำสีหน้าเจ้าเล่ห์เล่นละครทันที
“อื้ม ข้าเจ็บ” เขาพูดเสียงอ่อย ไม่มีแรงแถมให้กู้หลินช่วยประคอง
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ แค่เปื้อนสีแดงต้องให้เจ้าตัวเล็กประคองเลยหรือ” อาโปเดินตามออกมาเพราะเป็นคนที่ประลองดาบกับโจวหยางอิง
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้หลินจึงมองหน้าสหายสนิทแล้วยิ้มให้ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นทำให้อีกฝ่ายขนลุกซู่อย่างไรบอกไม่ถูกรีบผละออกจากกู้หลินแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“ข้าผ่านแล้ว เจ้าก็ผ่านแล้วใช่หรือไม่” โจวหยางอิงยิ้มกว้าง
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ กู้หลินจึงนึกขึ้นมาได้พยักหน้าตอบแล้วจับมือเขากระโดดโลดเต้นจนลืมเรื่องการละครเมื่อครู่
ด้านหลังตงฟางฮุ่ยหลิง หน่วยราชองครักษ์ที่ลงพนันข้างกู้หลินพากันดีใจไม่น้อยเพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทายไว้เช่นนี้ เงินรางวัลจึงจัดสรรปันส่วนได้ค่อนข้างมาก ฝ่ายที่แพ้จึงพยายามขอให้ฝ่ายชนะเลี้ยงเหล้าปลอบใจสักตา
“หัวหน้า ดีใจใช่หรือไม่ขอรับ” เฉินป๋อถามตงฟางฮุ่ยหลิง แต่ได้รับคำตอบที่แสนเย็นชากลับมาว่า “ไม่” ในใจคิดเพียงว่า นับจากนี้ชีวิตอันสงบสุขในหน่วยราชองครักษ์คงจะไม่มีอีกแล้ว
“ทำใจเถอะขอรับ” เฉินป๋อให้กำลังใจเขาแล้วพูดอีกว่า “เดี๋ยวข้าเลี้ยงเหล้าปลอบใจเองขอรับ”