หลายวันต่อมา
ทางวังหลวงได้ประกาศว่าหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังเมืองต่าง ๆ ให้เหล่าขุนนางและตระกูลใหญ่เข้าร่วมงานในครั้งนี้
หน่วยราชองครักษ์จึงต้องมีการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพื่อเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์
แม้ชีวิตประจำวันจะวุ่นวายอยู่กับการฝึกหนัก แต่ยังคงพอจะมีช่วงพักให้หายใจบ้าง
ครั้งนี้ ลู่เหิงเยว่มาเยี่ยมชมหน่วยราชองครักษ์ด้วยตนเองเพื่อจะได้ทักทายเหล่าผู้ดูแลอารักขาและทำความสนิทคุ้นเคย
“ฝ่าบาทเสด็จ” เสียงทุ้มของขันทีกล่าวขึ้น ทุกคนในหน่วยยืนนิ่งไม่ไหวเอน รู้สึกเกร็งเล็กน้อยเมื่อฮ่องเต้เดินใกล้เข้ามา
อันที่จริงพวกเขาประหม่าเพราะเห็นเซียวหานเฟิงเดินตามอยู่ข้าง ๆ เสียมากกว่า
ยามที่ลู่เหิงเยว่อยู่ในสายตาของแม่ทัพผู้นี้ ตงฟางฮุ่ยหลิงจำต้องถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อให้ทั้งคู่มีความเป็นส่วนตัว ดวงตาสีเขียวมรกต
ไม่ยอมปล่อยให้ลู่เหิงเยว่คลาดสายตาแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นในฝีมือของเซียวหานเฟิง แต่ตัวเขาเองเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
กาลเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แรกพบเจอเป็นอย่างไร เพลานี้ตงฟางฮุ่ยหลิงยังคงยึดมั่นเสมอมา
แต่ก่อนนั้น การกระทำทุกอย่างของตงฟางฮุ่ยหลิงที่มีต่อลู่เหิงเยว่และตัวเขาก่อให้เกิดความเจ็บแปลบในใจของกู้หลินทีละเล็กทีละน้อย เขาจุกที่อก พูดไม่ออก ดวงตาร้อนผ่าว พยายามปลอบใจตัวเอง
หากแต่ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กู้หลินเพียงปล่อยให้ทุกอย่างผ่านทะลุความรู้สึกทั้งมวล อาจเป็นเพราะเจ็บปวดซ้ำ ๆ จนเริ่มจะด้านชา หรือคิดจะยอมแพ้เรื่องของเขาแล้วกระมัง
ลู่เหิงเยว่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของกู้หลินพลางแย้มยิ้มทักทาย สายตาของเขาเหมือนคิดสิ่งใดอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยปาก “กู้หลินใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบรับเสียงเรียบคาดเดาไม่ถูก
“ได้ยินเรื่องของเจ้ามานาน ตอนนั้นไม่ทันได้ทักทายเป็นเรื่องเป็นราวเพิ่งจะมีโอกาสได้มาพบเจ้าอีกหน ดียิ่งนัก” ลู่เหิงเยว่แตะบ่าคนตรงหน้าแล้วพูดต่อ “ดื่มชาเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
“หืม... พ่ะย่ะค่ะ” เขาตั้งสติแล้วตอบตกลง ไม่รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้อย่างเขาถึงอยากจะดื่มชากับองครักษ์มือใหม่ อีกทั้งยังสร้างความงุนงงให้กับคนอื่น ๆ ที่เหลืออีกด้วย
กระนั้น เหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งคู่พูดคุยกันสัพเพเหระอย่างสบายใจ พูดถูกคอเหมือนกับรู้จักกันมานาน
ความคิดในใจของกู้หลินจึงผุดขึ้นมา นี่สินะ นายเอกที่แท้จริง ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็ตกหลุมรัก นิสัยอ่อนโยน ยิ้มเก่ง เข้าอกเข้าใจผู้อื่น
หลังจากพบกันเสร็จสิ้นเรียบร้อย กู้หลินเดินทอดน่องเหม่อมองฟ้าเพียงลำพังจนกระทั่งถึงหน้าประตูหน่วยราชองครักษ์โดยไม่รู้ตัว น้ำตาหยดหนึ่งพาดผ่านหางตาเพียงเสี้ยว
ใครบางคนที่ยืนรอเขาอยู่ตรงนั้นอยู่นานแล้วจึงยื่นแขนเสื้อออกมาให้ กู้หลินคว้าชายเสื้อมาเช็ดน้ำตาอย่างเคยชินโดยไม่ต้องมองเสียด้วยซ้ำว่าเจ้าของชายแขนเสื้อเป็นผู้ใด
“ใครทำเจ้าร้องไห้อีกแล้ว บอกข้ามา ข้าจะจัดการให้” เสียงของคนที่มักปลอบใจเขาเอ่ยขึ้นมา
“แมลงเข้าตา แสบ” กู้หลินหันหน้าไปทางเขาพลางหลับตาข้างหนึ่ง อีกฝ่ายจึงได้เห็นว่าครั้งนี้น้ำตาไหลข้างเดียวจริง ๆ จึงยอมที่จะไม่เซ้าซี้อะไรต่อ
“ข้าจะดูให้ เจ้าค่อย ๆ ลืมตาทีละนิด” น้ำเสียงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้กัน “อดทนอีกสักนิด ข้าจะเอาออกให้”
“...” กู้หลินยืนนิ่งอย่างเชื่อฟัง เงยหน้ามองคนตรงหน้า
โจวหยางอิงใจเต้นตุบ ๆ สายตาไล่เลี่ยมองตั้งแต่ดวงตา จมูก ไปจนถึงริมฝีปากของเขาพลันยิ้มมุมปากคิดไปไหนต่อไหนคนเดียวแล้วก็รีบเขี่ยแมลงตัวเล็ก ๆ ออกจากมุมขอบตาของกู้หลินก่อนที่จะห้ามใจตัวเองไม่อยู่
ไม่ไกลนักเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าราชองครักษ์ก็เริ่มแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
“ข้าทายข้างหัวหน้า”
“ข้าวางเดิมพันข้างโจวหยางอิง”
“อย่างไรหัวหน้าก็ต้องชนะ เพราะว่าเจ้าตัวเล็กเลือกเขา”
“โบราณว่ากันว่ารักคนที่เขารักเราจะไม่ดีกว่าหรือ โจวหยางอิงเพียบพร้อมถึงปานนั้น คอยดูแลใกล้ชิด สักวันจะไม่ใจอ่อนเลยหรือ”
จู่ ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง พวกเขาพากันสะดุ้งตกใจหันมามองต้นเหตุเป็นตาเดียวจึงได้รู้ว่าหัวหน้าหน่วยผู้เคร่งขรึมกำลังใจจดใจจ่อกับการยกค้อนผ่าไม้ซุงอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โกรธใครมาล่ะนั่น” เฉินป๋อพึมพำแล้วส่ายหน้าพลางส่งสายตาให้ทุกคนแยกย้ายเพราะดูท่าทางตงฟางฮุ่ยหลิงจะอารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวจะซวยถูกลงโทษโดยไม่รู้ตัว
วันหนึ่ง
กู้หลินทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าเรือนพักของหัวหน้าหน่วย เขาวางกระถางต้นไม้ห้าใบอย่างเป็นระเบียบ สีหน้าเจ้าตัวดูตื่นเต้นไม่น้อยแล้วก้มมองดูหน่อของต้นยวี่จินเซียง
ถ้าดอกไม้บานเป็นสีม่วงแสดงว่าเขาเองก็มีใจให้ข้า
ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น กู้หลินแวะซื้อหน่อต้นยวี่จินเซียงมาห้าหัว หยิบเลือกโดยไม่รู้ว่าหน่อนั้นจะเติบโตเป็นดอกไม้สีอะไร เขามักจะเล่นทายความรักเช่นนี้เป็นประจำ
หากโชคชะตายังคงเข้าข้าง หนึ่งในห้ากระถางนี้คงจะมีวาสนาบานแย้มเป็นสีม่วงดังตั้งใจ
“โอ๊ะ ฮุ่ยหลิง” เขาเอ่ยปากเรียกเจ้าของเรือน ยิ้มแย้มเหมือนลืมเรื่องราวเศร้าสร้อยไปทั้งหมด
“...” ตงฟางฮุ่ยหลิงกำลังคิดว่าคนตรงหน้าต้องการสิ่งใดจากเขา ช่างทำตัวแปลกคน
“พนันกันดีหรือไม่ หากต้นยวี่จินเซียงออกดอกสีม่วง แสดงว่าเจ้ามีใจให้ข้า” กู้หลินเลิกคิ้วมองหน้าเขารอคำตอบ “ตอนซื้อข้าไม่ได้ถามพ่อค้าหรอกว่าหน่อไหนให้สีใด หยิบ ๆ เลือก ๆ เอาตามใจมาทั้งนั้น”
“...” อีกฝ่ายไม่ตอบ ถอนหายใจอยู่เฮือกหนึ่งก่อนจะเดินหายไปในเรือนของตนเอง
“วันนี้ยังไม่ได้ยินเสียงเจ้าเลย ฮุ่ยหลิง” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วก้มลงพูดกับหน่อต้นไม้ว่า “ขอให้กลายเป็นสีม่วงด้วยเถิด ข้าจะรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยให้เจ้าทุกวันเลย”
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เจ้าหน่อไม้ทั้งห้าหน่อก็เริ่มแตกใบสีเขียวอ่อนให้เชยชม ครั้นเริ่มจะเห็นยอดดอกก็ยิ่งทำให้กู้หลินตื่นเต้นกว่าเดิม
แต่แล้วกลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกแปลกไป สัมผัสนั้นคลับคล้ายคลับคลาอย่างยิ่งเพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าเขาเคยประสบกับอะไรเช่นนี้เมื่อใด
“ทำไมเจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้อีกแล้ว ข้าหาตั้งนาน” โจวหยางอิงนั่งลงข้าง ๆ เขา อีกทั้งยังสังเกตได้ว่าหมู่นี้กู้หลินดูเงียบ ๆ ผิดแปลกไปจากเดิม
ความเป็นห่วงท่วมท้น พอไม่เห็นอีกฝ่ายก็ออกตามหาโดยไม่สนใจสิ่งใด เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเป็นได้เพียงนี้
“ไม่รู้สิ... ข้าแค่รู้สึกว่าใจมันหวิว ๆ” เขาบอกไปตามตรง
“เฮ้อ เสี่ยวหลิน” โจวหยางอิงโอบไหล่ของอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบใจ “อยากร้องไห้หรืออยากจะทำอะไรก็เอาตามที่เจ้าอยากทำเถิด ข้าอยู่ตรงนี้เพื่อเจ้าเสมอ”
“ขอบใจ” กู้หลินเอ่ยปาก “ยังดีที่มีเจ้า หยางอิง” เขารู้สึกขอบคุณอีกฝ่าย แต่กระนั้นไม่อาจให้สถานะตามที่เจ้าตัวเรียกร้องได้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่จึงยังคงเป็นดังเส้นขนานที่ไม่บรรจบ
สิ่งที่ทำให้กู้หลินเศร้าใจส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะบังเอิญได้ยินเฉินป๋อพูดกับอาโปเรื่องต้นยวี่จินเซียง
“หัวหน้าบอกว่าให้หาหน่อสีแดงมาเปลี่ยนกับหน่อที่อยู่ในกระถาง ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงย้ำนักหนาว่าต้องเป็นสีแดง” เฉินป๋อบ่นกระปอดกระแปดเพราะถูกขู่ว่าจะหักเงินเดือนถ้าหน่อนั้นโตมากลายเป็นสีอื่น
“อย่ากังวลไปเลย เจ้าไปขุดถึงไร่พ่อค้ามิใช่หรือ ไร่ดอกสีแดงจะมีดอกสีอื่นปนมาได้อย่างไร” อาโปแตะบ่าให้เพื่อนคลายวิตก
ถึงจะได้ยินมาเช่นนั้น กู้หลินก็ยังคงจ้องมองต้นไม้ในกระถางที่ว่าด้วยความหวังเพียงเสี้ยวหนึ่ง หลอกตัวเองทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
หากดอกยวี่จินเซียงผลิเป็นสีม่วง หมายความว่าเจ้ามีใจให้ข้าเช่นกัน