“อ้อ ฉันลืมบอกไป พ่อเพลิงก็อยากจะเรียนทำขนมด้วย”
“ห๊ะ?!”
ไม่เคยมีเรื่องอะไรทำให้หล่อนช็อกได้ขนาดนี้มาก่อนหล่อนเบิกตากว้างคล้ายกับบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงคือปีศาจร้ายพันปี
นี่... นี่เพลิงพญาก็คือหนึ่งในลูกศิษย์ของหล่อนอย่างนั้นเหรอ
“ดูสิครับคุณแม่ คุณครูน้ำตาลดีใจจนตาเหลือกเลยครับ”
ไอ้... ไอ้คนบ้า!
หล่อนตะโกนด่าเขาในใจ ก่อนจะถลึงใส่ตาอย่างโมโหเป็นที่สุด แต่ก็แสดงอารมณ์แท้จริงออกมามากไม่ได้
“จริงเหรอหนูน้ำตาล”
“เอ่อ”
“ตอนแรกฉันยังเกรงว่าหนูน้ำตาลจะปฏิเสธพ่อเพลิงเลย เพราะเห็นไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันเท่าไหร่ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็ใจชื้นขึ้นมาทันที”
คุณหญิงเปรมฤดีมีความยินดีเต็มใบหน้า และมันก็ทำให้หล่อนไม่กล้าจะปฏิเสธ
“ถ้าพ่อเพลิงได้เรียนทำขนมกับหนูน้ำตาล ก็คงจะเลิกทำตัวไร้สาระไปวันๆ สักที”
“ผมเลิกแน่ครับคุณแม่ ขอแค่ให้คุณครูน้ำตาลสอนผมให้ถึงพริกถึงขิงก็พอแล้วครับ”
เขาหัวเราะ แต่หล่อนแทบอยากจะร้องไห้
“ทำขนมไม่มีพริกไม่มีขิงหรอกค่ะคุณเพลิงพญา”
คนที่หล่อนเรียกชื่ออมยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย
“เดี๋ยวก็มีเชื่อผมสิครับคุณครูน้ำตาล”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นยืน
“ผมออกไปข้างนอกสักพักนะครับคุณแม่ เดี๋ยวดึกๆ จะกลับเข้ามา”
“ไปอีกแล้วเหรอพ่อเพลิง”
มารดาถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มระบายยิ้ม
“ไม่กลับเช้า สัญญาครับ”
คุณเปรมฤดีพยักหน้าน้อยๆ อย่างไม่มีทางเลือก “แล้วจะทำอะไรก็ระมัดระวังด้วยนะ โรคมันเยอะสมัยนี้ และยังจะเรื่องเด็กอีก”
“ผมนอนกับผู้หญิงมาเป็นร้อยแล้วครับ ไม่มีพลาดกับเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรอกครับ”
เขาพูดกับคุณหญิงเปรมฤดีแต่สายตาจ้องมองมาที่หล่อน จนคนถูกมองสะท้านไปทั้งตัว ต้องรีบหันหน้าหนีมองไปทางอื่น
“งั้นก็ไปเถอะ พรุ่งนี้เริ่มเรียนทำขนม อย่าลืมเชียวล่ะ”
“ผมไม่ลืมแน่นอนครับ”
เขายักคิ้วให้หล่อนอย่างยียวนก่อนจะเดินออกไปจากห้อง สักพักเสียงเครื่องยนต์รถก็ดังกระหึ่มขึ้นก่อนจะจางหายไป
พิรดาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจากปากแผ่วเบาอย่างโล่งอก
“หนูน้ำตาลแน่ใจนะว่าจะรับมือกับพ่อเพลิงไหว”
“เอ่อ... น่าจะไหวค่ะ”
“อย่าฝืนใจนะ ฉันไม่อยากทำให้หนูน้ำตาลอึดอัด”
เพราะไม่อยากทำให้คุณหญิงเปรมฤดีต้องไม่สบายใจ หล่อนจึงต้องระบายยิ้มกว้าง
“ตาลรับมือไหวค่ะ คุณหญิงสบายใจได้เลยค่ะ”
“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ”
คุณหญิงเปรมฤดีระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาเมลินี
“หนูเมนี่มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ หิวแล้วค่อยลงมา”
“เมนี่ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ อยากคุยกับคุณครูมากกว่า”
พิรดายิ้มกว้างให้กับเมลินีที่เอ่ยถึงตน
“งั้นก็เชิญตามสบายนะ อ้อ หนูน้ำตาล ทำไมฉันไม่เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของหนูเลยล่ะ เอ้ ฉันสั่งแม่เพียงไปแล้วนี่น่า”
คุณหญิงเปรมฤดีเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“เอ่อ คือแม่บอกแล้วล่ะค่ะ แต่ตาลว่าตาลกลับไปนอนที่บ้านจะสะดวกกว่า บ้านใกล้แค่นี้เองค่ะ” หล่อนยิ้มเจื่อนๆ ขณะอธิบาย
“ไม่ได้หรอก ฉันจ้างหนูน้ำตาลเต็มเวลา และก็อยากให้อยู่เสียด้วยกันที่นี่ ไม่ต้องไปกลับให้ลำบาก”
“เอ่อ คือว่า...”
“หรือว่าหนูน้ำตาลมีอะไรที่ไม่สะดวกใจที่จะอยู่ที่นี่หรือเปล่าจ๊ะ”
“เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ”
หล่อนรีบปฏิเสธ จะบอกไปได้ยังไงล่ะว่าหล่อนไม่อยากเห็นหน้าเพลิงพญา
“งั้นเดี๋ยวฉันให้คนไปบอกให้แม่เพียงเก็บเสื้อผ้ามาให้หนูน้ำตาลที่นี่นะ”
“ตาลไปเก็บเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเกรงใจน่ะ ให้หนูตาลเดินไปเดินกลับ แล้วนี่ก็มืดแล้วด้วย”
คุณหญิงเปรมฤดีแสดงความมีน้ำใจ แต่ท่านจะรู้ไหมนะว่าหล่อนไม่อยากได้น้ำใจแบบนี้ของท่านเลย หล่อนไม่อยากค้างที่นี่
ยิ่งอยู่ใกล้เพลิงพญา สัมผัสจากปลายลิ้นของเขาที่กระทำเอาไว้กับร่างกายของหล่อนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น จนตอนนี้หล่อนร้อนผะผ่าวไปทั้งตัวแล้ว
หล่อนเกลียดเหลือเกินที่ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ เกลียดที่หวั่นไหวกับผู้ชายถ่อยคนนี้
“ขอบคุณคุณหญิงมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก งั้นนั่งคุยกับหนูเมนี่ไปนะ ฉันไปหาแม่น้อยก่อน”
หล่อนยกมือไหว้ลาคุณหญิงเปรมฤดีเมื่อท่านลุกและเดินออกไปจากห้อง ซึ่งตอนนี้ภายในห้องรับแขกก็เหลือแค่หล่อน สาวเฉิ่มเชยกับสาวเปรี้ยวเข็ดฟันอย่างเมลินีเพียงแค่สองคนเท่านั้น
“ครูน้ำตาลคิดว่าพี่เพลิงเป็นผู้ชายยังไงคะ”
จู่ๆ เมลินีก็ถามขึ้นและมันก็ทำให้หล่อนตกใจเหลือเกินจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่
“ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะคะ เมนี่พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“ไม่... ไม่มีอะไรค่ะ” หล่อนสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เพื่อควบคุมตัวเอง
“เห็นทำตาโต อ้าปากกว้าง ก็นึกว่าตกใจอะไร” เมลินีหัวเราะขบขันก่อนจะพูดต่อ “ยังไม่ตอบเมนี่เลยนะคะว่าครูน้ำตาลคิดว่าพี่เพลิงเป็นผู้ชายแบบไหน”
หล่อนกัดฟันแน่น ก่อนเค้นเสียงตอบออกไป
“เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงไม่ควรอยู่ใกล้ค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เถื่อนและก็ถ่อยค่ะ”
เมลินีเลิกคิ้วสูงก่อนจะถามต่อ
“เมนี่ก็เห็นพี่เพลิงหล่อดีนี่คะ ไม่เห็นจะมีอะไรแบบที่ครูน้ำตาลบอกเลย”
ภาพยามที่ถูกเลียระเบิดในหัวอีกครั้ง และมันก็ทำให้พิรดาต้องขยับขาเสียดสีกันอย่างลืมตัว
“ปากร้าย และก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษน่ะค่ะ”
“แต่เมนี่ชอบ...”
คำพูดของเมลินีทำให้พิรดาเบิกตากว้าง
“ชอบเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ชอบผู้ชายแบบนี้แหละ ดุดัน น่าค้นหา และน่าจะเก่งเรื่องบนเตียงสุดๆ”
เมลินีพูดถึงเรื่องบนเตียงได้อย่างฉะฉาน
“แหม ครูน้ำตาลหน้าแดงเชียว เมนี่ลืมไปค่ะว่าคนไทยไม่ได้เปิดกว้างเรื่องนี้ แต่ที่อเมริกาเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติมากค่ะ คนเราต้องตอบสนองความรู้สึกของตัวเอง จะได้มีความสุข”
ใช่... ลิ้นของเพลิงพญาทำให้หล่อนมีความสุข
บ้าจริง ทำไมหล่อนเผลอตัวคิดแบบนี้อีกแล้วนะ
“เอ่อ ค่ะ”
“ถ้าเมนี่จะจีบพี่เพลิงครูน้ำตาลว่าจะดีไหมคะ”
“ก็... ก็แล้วแต่คุณเมนี่เถอะค่ะ”
ทำไมหล่อนจะต้องรู้สึกแปลบในอกแบบนี้นะ ดีเสียอีกที่เมลินีชอบเพลิงพญา หมอนั่นจะได้ไม่มายุ่งเกี่ยวกับหล่อน แต่... แต่ทำไมหงุดหงิดแบบนี้
“ครูน้ำตาลช่วยเป็นแม่สื่อให้เมนี่หน่อยนะคะ”
“ให้ตาล... เป็นแม่สื่ออย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
เมลินีพยักหน้ารับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“เมนี่จะได้ขึ้นเตียงกับพี่เพลิงเร็วๆ ไงคะ”
แค่ไปรอหมอนี่ในห้องก็ถูกลากขึ้นเตียงโดยง่ายแล้วล่ะ
พิรดาคิดในใจอย่างหงุดหงิดแต่ไม่ได้พูดออกไป
“แต่ตาลไม่ถนัดเรื่องพวกนี้...”
“เดี๋ยวเมนี่บอกค่ะว่าต้องทำยังไง”
“เอ่อ”
“นะคะครูน้ำตาล ช่วยเมนี่หน่อยนะคะ เมนี่มาที่นี่ก็เพื่อจะฟันพี่เพลิงโดยเฉพาะค่ะ”
“ว่าไงนะคะ”
เมลินียิ้มอายๆ “เรื่องเรียนทำขนมน่ะมันก็แค่ข้ออ้างค่ะ แต่เรื่องขึ้นเตียงกับพี่เพลิงนี่คือเป้าหมายหลักเลยค่ะ”
พิรดาอ้าปากค้างอีกรอบ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมลินีจะคิดผิดมหันต์แบบนี้
“นะคะ ช่วยเมนี่หน่อย”
“ตาลจะพยายามค่ะ”
หล่อนจำเป็นต้องพยักหน้าตอบรับอย่างไร้ทางเลือก ในขณะที่เมลินีเต็มไปด้วยความดีใจ ยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว
ในเมื่อต้องตกกระไดพลอยโจนมาอยู่ที่บ้านของคุณหญิงเปรมฤดีอย่างไม่มีทางเลือกแล้ว พิรดาจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์
หญิงสาวระบายยิ้ม โยนความเครียดทิ้งไปจากหัว ขณะยืนกอดอกเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ที่สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์หลังงาม
พันตะวันยังไม่กลับเข้ามา คงเป็นเพราะงานเยอะ หล่อนรู้จักกับชายหนุ่มมาตั้งแต่เล็ก พันตะวันเป็นผู้ชายที่จริงจังกับงานมากจนบางครั้งอาจจะเห็นงานสำคัญกว่าทุกอย่างก็ว่าได้ เพราะแบบนี้ไงชายหนุ่มถึงยังไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจ
หล่อนอมยิ้ม เพราะแอบหวัง แต่พอนึกถึงความเป็นจริงที่แตกต่างกันราวกับฟ้าและเหว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไป
เจียมตัว คำนี้หล่อนบอกกับตัวเองทุกครั้งเมื่อยามที่คิดเกินเลยไปถึงการแต่งงานกับพันตะวัน หญิงสาวถอนใจแรงๆ หมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่แสงไฟรถคันหนึ่งแยงตามาพอดี
หล่อนจำได้ดีว่ารถคันนี้เป็นของใคร รอยยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกระบายเต็มใบหน้าของหล่อนอีกครั้ง
“พี่พัน...”
หล่อนดีใจจนแทบจะลอยได้เลยทีเดียว เกือบอาทิตย์แล้วที่หล่อนไม่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มที่ตัวเองเทิดทูนบูชา ชายหนุ่มก้าวลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าโน๊ตบุ๊ค ท่าทางของเขาดูอ่อนล้าจนน่าเป็นกังวล
“สวัสดีค่ะพี่พัน”