บทที่2. ไม่เคยโทษโชคชะตา

2116 คำ
 ชายหนุ่มเจ้าของรถนิสสันมาร์ทชยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าบ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่งที่เขาแสนจะคุ้นเคย แต่ก็เพราะความคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กกลับทำให้เขารู้สึกขลาดเขลาที่จะเข้าใกล้ เขามองถุงใส่อาหารเช้าที่ความร้อนเริ่มลดลงแล้วถอนหายใจหนักๆ ทั้งๆ ที่เขาอายุมากกว่าเธอตั้งห้าปี แต่กลับไม่มีความกล้าหาญที่จะเข้าไปทักทายเลยนะ             “อ้าว! พี่ป้องมายืนทำอะไรหน้าบ้านริณละคะ” ไอริณเอ่ยทักทายพลางยกถ้วยกาแฟสีชมพูขึ้นจิบ เธอเดินตรงมาที่รั้วบ้านเตี้ยๆ ไขประตูให้ชายหนุ่มเข้ามาด้าน   ปกป้อง วิธิสรรค์ ยิ้มเขินๆ แล้วเดินเข้าไปด้านใน เขาเหลือบมองไปยังรถญี่ปุ่นสีเขียวที่เคยเป็นของเขาเอง เขาเผลอถอนหายใจเบาๆ ไม่เคยคิดว่าหญิงสาวสุดไฮโซคนนั้น วันนี้จะตกอับมาอยู่บ้านหลังเล็กซอมซอแถมใช้รถคันเก่าๆ อย่างนี้อีกด้วย             “พี่ผ่านมาแถวนี้เลยซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยมาให้ริณจ๊ะ” เขายื่นถุงโจ๊กที่เริ่มจะเย็นส่งให้หญิงสาว             “ผ่านมาแถวนี้เหรอ? ผ่านมาตอนแปดโมงเช้าแล้วนี่นะ”  ไอริณหัวเราะน้อยๆ และยื่นมือไปรับ “พี่ป้องไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ค่ะ ริณเกรงใจ”             “พี่เป็นห่วงริณ” เขาพูดด้วยความจริงใจ “ริณอายุยังน้อย ไม่น่ามาเจอเรื่องแบบนี้เลย”             ไอริณชะงักมือที่กำลังจะยกกาแฟขึ้นจิบ เธอมองดูชายหนุ่มตรงหน้า เธอรู้จักเขามาเกือบสิบปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาคือ ‘ปกป้อง วิธิสวรรค’ เป็นลูกชายของคนดูแลบ้านที่พ่อของเธออุปถัมภ์สนับสนุนเรื่องการศึกษา จนเขาเรียนจบในระดับปริญญาโทและทำงานในบริษัทของพ่อ ทว่าตอนนี้บริษัทนั้นไม่ใช่ของพ่อเธออีกแล้ว             “พี่ป้องค่ะ ถึงริณจะเสียใจที่เสียพ่อไป แต่ริณไม่เคยโกรธหรือโทษโชคชะตาตัวเองเลยนะคะ” หญิงสาวยิ้มแบบภูมิใจในตนเอง “ดูริณซิคะ ริณเป็นแม่ค้า เป็นดีไซด์เนอร์ที่พยายามจะทำแบรนด์ของตัวเอง อ้อ! เมื่อวานมีลูกค้าทิปให้ริณตั้งห้าร้อยแหน่ะ”             “แต่ริณไม่ควรจะมาลำบากแบบนี้” เขาโคลงศีรษะให้กับความดื้อรันของหญิงสาว “ริณเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตรายนะ ทำไมริณไม่ไปอยู่กับครอบครัวของพี่    พ่อกับแม่ของพี่พวกท่านก็ยินดีต้อนรับริณอยู่แล้ว หรือว่าริณอับอายที่ต้องไปอาศัยอยู่กับคนดูแลบ้าน”             “ถ้าพี่ป้องพูดแบบนี้อย่ามาคุยกับริณเลยค่ะ” ไอริณทำหน้าเบื่อๆ “ถึงเวลานี้แล้ว ริณไม่ใช่ริณคนก่อนแล้วค่ะ”             “พี่ขอโทษ แต่พี่เป็นห่วงริณมากนะ”             “ริณเข้าใจค่ะ” ไอริณฝืนยิ้มให้ “ริณขอบคุณความห่วงใยของพี่ป้อง แต่ริณต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเองค่ะ”             ปกป้องอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ชะงักไป “เอาเป็นว่า พี่อยากให้รู้ว่าริณยังมีพี่อยู่เสมอ ริณไม่ได้ตัวคนเดียว”             “ค่ะ” ไอริณพยักหน้ารับ “พี่ป้องรีบไปทำงานดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะตอกบัตรไม่ทัน”             คำพูดที่เหมือนจะไล่กลายๆ ทำให้ปกป้องได้แต่พยักหน้าช้าๆ และเดินออกไปอย่างอาวรณ์ ไอริณโบกมือลาเมื่อรถนิสันมาร์ชคันเล็กกะทัดรัดเคลื่อนผ่านหน้าบ้านไป เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันมาสนใจอาหารเช้าที่ปกป้องหิ้วมาฝาก ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่เขาก็เพียรมาดูแลเธอเสมอ ในยามที่เธอท้อแท้สิ้นหวัง เขาเป็นกำลังใจและคนที่อยู่เคียงข้าง ทว่าในเวลานี้เธอกลับเริ่มอึดอัดความห่วงใยที่เกินพอดีของเขา เธอจัดการเทโจ๊กใส่ชามแล้วถือมันเดินกินรอบห้องเล็กๆ บ้านไม้ของแม่เป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนสำหรับที่นอนหลับพักผ่อนและเก็บข้าวของบางส่วนที่พอจะขนมาจากคฤหาสน์หลังงามที่กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ส่วนชั้นล่างเป็นที่ทำงานของเธอ ไอริณเรียกส่วนนี้ว่า ‘สตูดิโอ’           ช่วงที่ขนเสื้อผ้าแบรนเนมของตัวเองไปขายราวกับของก็อปปี้ เธอเห็นแม่ค้าร่วมตลาดนำสินค้าจำพวกกระเป๋าถือ น้ำหอม เสื้อผ้าก็อปปี้แบรนเนมดังๆ มาขาย มันทำให้เธออดเปิดสมุดบันทึกของตนเองไม่ได้ หญิงสาวเป็นคนชอบแต่งตัวมาแต่ไหนแต่ไร เธอมีความสุขกับการจับคู่เสื้อผ้าแต่ละชุดให้มิกซ์ แอนด์ แมทช์เองมากกว่าที่จะจับมาใส่ทั้งชุดแบบนั้น และบ่อยครั้งที่เสื้อผ้าบางชุดที่ซื้อมาสวยแต่ไม่ถูกใจ เธอต้องเลาะกระดุมเปลี่ยนในแบบที่ชอบ หรือเวลามีงานปาร์ตี้ เธอก็จะช่วยเพื่อนสาวแต่งตัว   เธอรู้สึกว่ามันสนุกและท้าทายว่าจะออกมาดีเพียงใด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เสื้อผ้าของเธอล้นตู้เลยทีเดียว             ไอริณพอมีเงินนิดหน่อยก็ตัดสินใจถอยจักรเย็บผ้าราคาถูกที่สุด หุ่นลองเสื้อไม่ต้องซื้อเพราะมีอยู่ก่อนแล้ว อุปกรณ์ตบแต่ง กระดุม ผ้าลูกไม้ ฯลฯ ก็เป็นของสะสมที่ธนาคารไม่ได้ยึดไปด้วย เธอเริ่มจัดการตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างง่ายๆ ในรูปแบบของเธอ ทำแพทเทิร์นเอง และเริ่มนำไปขายที่ตลาดรวมกับเสื้อผ้าชุดอื่นๆ ที่เธอมี และนั่นมันทำให้เธอเริ่มพบความสามารถของตนเองที่เธอไม่รู้ตัวมาก่อน เธอหลงลืมไปแล้วว่าเธอสนุกกับการแต่งตัวขนาดไหน             ระยะหลังเสื้อผ้าของไอริณขายดี เธอจ้างร้านเย็บผ้าไม่ไกลนักตัดเย็บตามที่เธอออกแบบในราคาไม่แพงนัก แล้วนำมาประดับตบแต่งเองอีกขั้นตอน ต่อมาเธอเริ่มทำร้านค้าออนไลน์ขายเสื้อผ้าแบรดน์ ‘ไอริณ’ และยังไปขายที่ตลาดไนท์เหมือนเดิม            แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แต่เวลาที่เธอได้นับเงินที่ทำงานได้มามันช่างแสนมีความสุข อีกไม่นานหรอกเธอจะมีห้องเสื้อของตัวเองไม่ต้องไปขายที่ตลาดไนท์อีกแล้ว             “ถ้าเจอลูกค้าทิปหนักๆ แบบเมื่อคืนบ่อยๆ ก็ดีซินะ” ไอริณคิดถึงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่พบเจอเมื่อคืน “สงสัยอยู่ระหว่างโชว์หญิง ถึงใจปล้ำซื้อเสื้อผ้าให้หลายพันแถมให้ทิปแม่ค้าอีกต่างหาก”             หญิงสาวยักไหล่ก่อนลงมือจัดการอาหารเช้าตรงหน้า  เธอมักจะกินอาหารไปและพลิกดูนิตยสารไปด้วยเสมอๆ นิสัยที่ติดมาจากบ้านใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนได้สักที  เธอเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อตามใจสุดๆ แต่ถ้าแม่บ้านเห็นจะตีมือเธอเบาๆ ด้วยข้อหาเสียมารยาท             ไอริณพยายามไม่คิดถึงโต๊ะอาหารแสนกว้างและยาว โต๊ะไม้ขัดมันวาววับที่เธอไม่รู้ว่ามันคือไม้ชนิดไหน พ่อจะนั่งที่หัวโต๊ะเสมอพร้อมด้วยกาแฟร้อนกับหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เธอกับพ่อจะทานอาหารเช้าพร้อมกัน เพราะเธอมักจะออกไปท่องราตรีเกือบสว่างแทบทุกคืน  เธอเที่ยวกลางคืนบ่อยมากถึงมากที่สุด แม้ว่าอายุในบัตรประชาชนจะห้ามเข้าแต่เพราะเธอมีนามสกุลและบัตรเครดิตเป็นใบผ่านทาง มันก็ทำให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่ว             ถึงตอนนี้เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเพื่อนๆ ที่เธอเคยเลี้ยงเหล้าหรือแม้กระทั่งให้เงินใช้ฟรีๆ จะมีใครรู้ไหมว่าเธอตกระกำลำบากขนาดไหน หรือต่อให้มีคนรู้ พวกเขาก็อาจจะหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าหรือไม่ก็ทำเป็นไม่เคยรู้จักเพราะไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือเธอ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ อาหารเช้าที่มีเพียงโจ๊กกับกาแฟร้อนผ่านไปแล้ว             ไอริณจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดโต๊ะกินข้าวเสร็จ เธอก็ใช้มันเป็นโต๊ะทำงานด้วย หญิงสาวมองแบบที่ร่างไว้บนกระดาษคราวๆ ลายดินสอตวัดๆ พร้อมเขียนกำกับรายละเอียดของงาน  ที่มุมของกระดาษมีรูปขนาดโปสการ์ดเป็นรูปต้นแบบ มันเป็นชุดในการ์ตูนญี่ปุ่น             “พี่ริณขา”  เสียงเด็กสาวร้องทักทายพลางชะเง้อคอยาวอยู่ที่รั้วเตี้ยๆ ของบ้าน               “มาแต่เช้าเลยนะแกงส้ม” ไอริณทักแล้วเดินไปเปิดประตู้บ้าน ‘แกงส้ม’ เป็นสาวน้อยวัย 16 ที่มีรอยยิ้มสดใส และการแต่งตัวที่เป็นตัวของตัวเองชัดเจน เธอเรียนในระดับปวช. เหมือนกับเพื่อนซี้อีก 4-5 คนที่ยืนยิ้มรอเจ้าของบ้านเปิดประตูให้  สมาชิกแก็งค์ลิทเติ้ลสตาร์ ทั้งหมดยกมือไหว้ไอริณก่อนจะก้าวเข้ามาในบ้านอย่างเกรงใจ แม้ว่าแต่ละคนจะมาบ้านหลังนี้บ่อยพอๆ กับบ้านของตัวเองแต่ก็ยังมีความเกรงใจเจ้าของบ้านเช่นเคย “วันนี้พวกเรามีเรียนบ่ายหน่ะค่ะ ก็เลยแวบๆ มาดูผลงานของพี่ริณ” แกงส้มยิ้มเขินๆ “กลัวเสร็จไม่ทันวันงานเหรอ” ไอริณหัวเราะอย่างรู้ทัน “ว๊ายๆ ใครจะกล้าคิดแบบนั้นละคะ” แกงส้มแก้ตัว “เอาน๊า พี่ริณรับปากแล้วยังไงก็ต้องทำให้เสร็จแน่นอน”  ไอริณมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู “แต่จะให้ดีพี่ว่าพวกเราลองชุดที่จะใส่เต้นบนเวทีก่อนดีไหม? ถ้าไม่พอดียังไงจะได้แก้ได้ทันเวลา” “ได้เลยค่ะพี่ริณ” แกงส้มหันไปพยักหน้ากับเพื่อนๆ  เพื่อนหนุ่มแต่หัวใจเป็นหญิงขอตัวเข้าครัวไปเตรียมขนมของว่างที่ถือติดมือมาด้วย ไอริณมองดูเด็กวัยรุ่นที่สนุกสนานกับสิ่งที่รักก็ได้แต่ยิ้มกว้าง เธอบังเอิญรู้จักกับน้องๆกลุ่มลิตเติ้ลสตาร์เมื่อสี่เดือนก่อนที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งพวกเขามาขายของมือสองซึ่งเป็นของพวกเขาเอง ไอริณเข้าไปเลือกดูเผื่อจะเจอบางสิ่งที่ตรงใจบ้าง แต่หลังจากได้พูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ทำให้รู้ว่าพวกเขาขนข้าวของส่วนตัวมาขายเพื่อหาเงินไปตัดเสื้อผ้าชุดคอสเพลย์ ตอนนั้นหญิงสาวรู้สึกสนุกกับความฝันของพวกเขา แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่มีเงินทองมากมายขนาดจะตัดชุดให้เด็กกลุ่มนี้ได้ฟรีๆ แต่เธอก็อาสาจะตัดชุดให้ในราคาถูกที่สุด และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ไอริณได้เฝ้ามองความฝันของเด็กห้าคนนี้ที่เรียกตัวเองว่า ‘ลิตเติ้ลสตาร์’ แกงส้มเป็นเสมือนหัวหน้ากลุ่ม แม้ทุกคนจะบอกว่าแต่ละคนมีหน้าที่เท่าเทียมกันแต่ความรับชอบงานส่วนใหญ่เป็นของเด็กสาวคนนี้ เมื่อสองเดือนก่อนแกงส้มและเพื่อนๆ มาปรึกษาเรื่องงานมิตติ้งประจำปีของเหล่าคอสเพลย์ ซึ่งนอกจากการแต่งคอสเพลย์แล้วยังมีการจำหน่ายสินค้าแฮนด์เมดและการเต้นคัพเวอร์เพลงของศิลปินคนโปรด โดยรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมงานจะนำไปบริจาคการกุศล แกงส้มกับเพื่อนสมัครจะประกวดคัพเวอร์แดนซ์โดยมีต้นแบบเป็นศิลปินเกาหลี และแต่งคอสเพลย์ด้วย ไอริณจึงรีบอาสาจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้ ตอนนี้เสื้อผ้าสำหรับชุดคัพเวอร์แดนซ์พร้อมแล้ว ยังเหลือเพียงชุดคอสเพลย์ที่มีเวลาเหลืออีกเพียงสิบกว่าเท่านั้น “ว้าว!สุดยอดเลยค่ะ! พี่ริณตัดชุดเหมือนวงKARA มากๆเลยค่ะ” “แต่เหมือนยังไง เราก็ต้องหมันฝึกเต้นนะ มาซ้อมที่นี่ได้เลย” ไอริณเตือน “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” แกงส้มรับคำแล้วหมุนตัวอยู่หน้ากระจก ถ้าเพียงแต่จัดแต่งทรงผมหน่อยก็ใกล้เคียงกับศิลปินดังแล้ว “แล้วที่สำคัญค่ะ ยังไงเราก็ต้องเป็นตัวของตัวเองนะ” ไอริณยิ้มกว้างกับท่าทางดีใจของเดอะแก็งค์แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในฐานะคนล้มละลาย แต่กลับมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางที...ปริมาณความสุขไม่ได้วัดที่ตัวเลขเงินในบัญชี แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ประเมินค่าไม่ได้ เช่นเวลานี้ที่เธอเป็นอยู่.  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม