ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าระบายยิ้มอยู่เสมอ เยว่ซินไม่เคยหลบตาเขาสักครั้ง ราวกับไม่มีสิ่งใดทำให้หวาดกลัว นางอายุเท่าไหร่กัน สิบหกหรือสิบเจ็ด เหตุใดจึงเหมือนผ่านอะไรมากมาย สิ่งแวดล้อมแบบใดกันที่ส่งผลให้นางยังคงยิ้มเช่นนี้ได้
“ข้าจะกลับไปพักผ่อน” เขาหมุนล้อรถเข็นเพื่อจะกลับที่พัก แต่เยว่ซินกลับกระโดดมาขวางไว้ก่อน
“นี่เจ้า!” หันซูหลุดปากตวาดเยว่ซินออกมา
“ก็บอกให้เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางแลบลิ้นใส่หันซู แล้วหันมายิ้มหวานใส่ชายบนรถเข็น “ท่านก็คิดเหมือนกันใช่ไหม ให้ชาวบ้านมีความรู้ย่อมดีกว่าให้พวกเขาโง่งมแล้วตกเป็นเพียงเบี้ยล่าง มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความเป็นความตายของประชาชนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของเหล่าขุนนาง”
ดวงตาคมกริบตวัดมอง แม้เพียงวูบเดียว นางก็เห็นได้ถึงเพลิงโทสะในดวงตาของเขา เยว่ซินฉลาดพอที่จะไม่สะกิดแผลในใจเขาไปมากกว่านี้ นางยังคงทำหน้าทะเล้นแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“วันก่อนได้ข้าถลกหนังหมาป่าไว้ให้ท่าน แต่ข้าอ่อนด้อยเรื่องงานเย็บปัก เกรงว่าลงกรรไกรตัดแล้วจะเสียของ ข้าจึงอยากถามว่าท่านอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย
“นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ”
หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้
“ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา
“มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!”
“เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก”
“ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่างตีเหล็กเอาไว้ นางก้าวเท้าตามบ่าวรับใช้ได้สองสามก้าวก็นึกอะไรบางอย่างออก ล้วงมือในอกเสื้อหยิบตลับยาออกมา จังหวะหมุนตัวกลับส่งเสียงเรียกพร้อมปาตลับยาในมือออกไป
“หันซู!”
ปฏิกิริยาของหันซูรวดเร็วตามที่เยว่ซินคิดไว้ไม่ผิด เขาหันกลับมายกมือขึ้นรับตลับยาไว้ได้ทัน หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้แล้วตะโกนออกไป
“นั้นเป็นยาสมานแผลสูตรลับที่ประเมินค่ามิได้ ทาบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นจะทำให้รอยแผลจางลง” นางเห็นแววตาลังเลของพ่อบ้านแล้วก็หัวเราะออกมา “ลองทดสอบดูก็ได้ มิใช่ยาพิษหรอก อ้อ! ใต้เท้าฉู่ ลานด้านหลังยังว่างอยู่ ข้าขออนุญาตทำคอกเลี้ยงไก่นะ”
“เลี้ยงไก่?”
“ตอนเย็นมีบะหมี่ไข่กับเกี๊ยวกุ้งด้วย ท่านอยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม”
“กุ้ง?” หันซูประหลาดใจ นางซื้อกุ้งมาจากที่ใด
“อืม กุ้งแม่น้ำ แล้วตอนเย็นข้าจะไปกินข้าวด้วย” นางไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบอะไร รีบเดินเร็วๆ ไปพบคนที่นัดหมายไว้
“หันซู” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” หันซูมัวแต่นึกถึงอาหารที่จะได้กินเย็นนี้ก็ทำให้สติหลุดไปชั่วขณะ
“กลืนน้ำลายของเจ้าเสีย”
“ขอรับ!” หันซูรีบกลืนน้ำลายลงคอทันที
ฉู่ห่าวหรานกลอกตาแล้วระบายลมหายใจเบาๆ “เจ้าตรวจสอบยาตลับนั้น”
“ขอรับ” เขาเปิดตลับยาขึ้นดมกลิ่นแต่ยังไม่กล้าแตะต้องเพราะเกรงจะมีพิษ
“เจ้าคิดว่านางมีวรยุทธ์หรือไม่”
“จะลองหาทางทดสอบนางดูขอรับ นายท่านคิดว่านาง...”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเหอเยว่ซินตัวจริงเป็นเช่นไร หรือสิ่งที่เราได้ยินเป็นเพียงการปล่อยข่าวให้เชื่อว่านางเป็นเช่นนั้น”
ฉู่ห่าวหรานกล่าวไปตามที่คิด แต่ถ้อยคำที่นางเอ่ยกับเขานั้น ทุกถ้อยคำกรีดลึกที่หัวใจของเขา จนเผลอกำมือแน่น ทว่าความเจ็บปวดนั้นกลับทำให้เขาแค่นยิ้มออกมา
นางคิดว่าจะเปลี่ยนอะไรได้หรือ?
อุดมการณ์เหล่านั้นมันเป็นเพียงภาพเพ้อฝันในวันวาน
หญิงสาวหยิบหน้าไม้ขึ้นมาดู โยนใส่มือขวาสลับใส่มือซ้าย และลองสะบัดไปมาทดสอบว่าเหมาะกับมือของตนหรือไม่
“ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางหรือไม่”
“อืม” นางพยักหน้ารับแล้วหยิบลูกศรขึ้นดู หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย หากจะทำได้ดีกว่านี้คงต้องใช้เงินซื้อวัสดุที่ดีมากกว่านี้ ซึ่งนั้นเป็นปัญหาของนาง “ตะขอที่สั่งไว้ล่ะ”
“ข้าทำตัวอย่างมาให้แม่นางดูก่อน ถ้าไม่แก้ไขอะไรจะทำมาให้เพิ่มขอรับ”
มือเรียวเล็กยื่นไปรับตะขอเหล็ก มันเหมือนเบ็ดตกปลาแต่มีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจ
“ฝีมือท่านอาหยวนไม่เลวเลยจริงๆ” นางกล่าวจากใจจริงแล้วหยิบถุงเงินส่งให้ “ช่วยหาหินลับมีดให้ข้าสักอันสิ”
“เอ่อ...ได้ ได้ขอรับ”
ช่างตีเหล็กรับปาก แม้จะประหลาดใจกับสตรีร่างเล็กและแปลกหน้าผู้นี้ ทว่าเมื่อได้เห็นฝีมือขับไล่หมาป่าของนางแล้ว ต้องยอมรับว่านางไม่ใช้สตรีธรรมดา การที่นางถามหา ‘หน้าไม้’ ‘ตะขอเหล็ก’ หรือแม้แต่ ‘หินลับมีด’ ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด
“ท่านอาหยวนฝีมือดีขนาดนี้ เหตุใดหลบซ่อนตัวเองในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้เล่า” นางถามคล้ายหยั่งเชิงคล้ายชวนคุยอย่างไม่ต้องการคำตอบจริงจังนัก ทว่าคนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มภายใต้หนวดเครารุงรังบนใบหน้าจางหายไปในทันที แม้ไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เยว่ซินสัมผัสได้ นางยังคงระบายยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าคนดีมีฝีมืออาศัยอยู่แต่ในเมืองหลวงกันเสียหมด คนในหมู่บ้านชนบทก็คงยากไร้ช่างฝีมือดี อันที่จริงต้องขอบคุณท่านอาที่เสียสละตนเองถึงเพียงนี้”
เอาเถอะ เขาจะลองเล่นสนุกกับนางดูสักหน่อย หรือเป็นเพราะฮ่องเต้ยังคงเคลือบแคลนในตัวเขาอยู่ เขาวางมือลงบนหน้าขาของตัวเอง ต้องสูญเสียเท่าไหร่ จึงจะยืนยันได้ว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์!