“นายท่านสั่งว่า ‘นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไป อย่าให้ไปยุ่งกับเรือนของข้าก็พอ’ และดูเหมือนแม่นางเหอจะทำตามที่ข้าถ่ายทอดถ้อยคำของนายท่าน”
‘นั้นสินะ’ นางไม่ได้ละเมิดคำสั่งของเขา เพราะเมื่อเขากลับมาถึงเรือนของตน ทุกอย่างยังคงอยู่ดีเช่นเดิม ยังคงให้ความรู้สึกอึมครึมราวกับถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน แต่ทุกกระนั้นเขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเสียงหัวเราะหยอกล้อที่ลอยตามลมมาถึงเรือนของเขา
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...”
“ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
“มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่”
“มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ”
“ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่”
“ขอรับ”
เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้
หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว
ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เขาใช้ชีวิตเข้าแลกปกป้องรัชทายาทจนตัวเองบาดเจ็บสาหัส เมื่อฟื้นขึ้นจึงรู้ว่าองค์ชายสามสิ้นพระชมน์แล้วและรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์สืบทอดต่อจากพระบิดา สภาพของเขาหลังฟื้นจากความตายสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง แม้ฮ่องเต้องค์ใหม่ส่งหมอหลวงมารักษาอาการบาดเจ็บของเขา แต่ก็ไม่อาจกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ จนสุดท้ายจึงได้รับอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่นี่ ความจริง ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว เขายังไม่เข้าใจ เหตุใดส่งหญิงคณิกามาให้เขา ทั้งที่ตอนอยู่เมืองหลวง เขาเองไม่เคยย่างเท้าเข้าสถานที่เช่นนั้นเลย
ฉู่ห่าวหรานดำดิ่งในความห้วงความคิดของตนเอง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ตื่นจากภวังค์ก็เมื่อใบหน้าสดใสและรอยยิ้มกว้างยื่นมาใกล้แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าวเย็นพร้อมแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม หลังจากยุ่งในครัวอยู่ร่วมชั่วยามก็ทำทุกอย่างเรียบร้อย รีบวิ่งกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเชิญเขาไปกินข้าวด้วยตนเอง
“ข้าให้บ่าวตั้งโต๊ะแล้ว ท่านมากินข้าวเถิด” นางพยักหน้าเชิญชวน “กินร้อนๆ จะอร่อยมาก ถ้าท่านไม่มากินตอนนี้ ก็ต้องไปอุ่นใหม่อีก เพราะฉะนั้น มากินข้าวเร็วๆ”
นางเร่งเขาแล้วเดินนำหน้ามาก่อน ปล่อยให้หันซูเข็นรถเข็นของฉู่ห่าวหรานมาโต๊ะกินข้าว อาหารหลายอย่างทำให้สองนายบ่าวแปลกใจ ปกตินายท่านกินง่ายอยู่ง่าย อาหารแค่สองอย่างก็เพียงพอแล้ว แต่วันนี้มีมากหลากหลายราวกับจะเลี้ยงคนสักสี่ห้าคนเลยทีเดียว
“นี่หัวปลาต้มซี้อิ้ว ” นางพูดแล้วตักใส่ชามวางตรงหน้าเขา “ส่วนเนื้อปลาข้าเอาไปทอดทำปลาผัดเปรี้ยวหวาน ข้าขึ้นเขาได้เห็ดสดๆ มาหลายอย่างเลยเอามาทำไข่ผัดเห็ดเต้าหูอ่อน และน้ำแกงปลาของท่าน ชิมได้เลย ถ้าคาวไม่ถูกปากก็ยกให้หันซูกินได้”
นางบรรยายรายการอาหารเสร็จก็ยื่นผ้าเปียกส่งให้ หันซูรับมาให้นายท่านเช็ดมือ เยว่ซินไหวไหล่ไม่ใส่ใจที่เขาไม่รับผ้าเปียกจากมือนาง หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงหยิบตะเกียบเตรียมกินข้าว
“กินได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” พูดพลางใช้ตะเกีอบคีบเห็ดวางบนถ้วยข้าวให้เขา “ครัวของท่านมีเครื่องปรุงรสเยอะมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคฤหาสน์ซอมซ่อของท่านจะมีครัวดั่งทองคำเช่นนี้”
“เอ่อ...” หันซูพูดอะไรไม่ออก ไม่นึกว่าต้องเจอสตรีพูดไม่หยุด พูดเองเออเองคนเดียวก็ได้
“นั่งสิ กินด้วยกัน” นางพยักหน้าให้หันซู แล้วหันไปมองทางฉู่ห่าวหราน “อยู่กับแค่นี้ ใต้เท้าไม่คิดเล็กคิดน้อยใช่ไหม”
“ไม่หรอก” ฉู่ห่าวหรานยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าอนุญาตให้หันซูนั่งกินข้าวพร้อมกัน
ฉู่ห่าวหรานชิมน้ำแกงปลา เขาเป็นคนไม่ชอบรสคาวในอาหาร ทำให้เลี่ยงกินอาการจำพวกเนื้อสัตว์ จนคนอื่นเข้าใจไปว่าเขากินเจ แต่เมื่อชิมอาหารที่นางทำแล้ว นับได้ว่านางไม่ได้กล่าวเกินจริง
“อร่อยก็บอกอร่อย ข้าไม่ถือหรอกนะ” นางยิ้มแล้วคีบชิ้นปลาวางในถ้วยข้าวของฉู่ห่าวหรานแล้วจึงทำเช่นเดียวกันกับหันซู
“อืม อร่อยจริงๆด้วย” หันซูหลุดปากชื่นชมออกมา เขามองนายท่านเป็นระยะๆ เมื่อผู้เป็นนายไม่ปฏิเสธ เขาก็กินข้าวคำโต
ฉู่ห่าวหรานลอบมองหญิงสาว แต่นางกลับสบตากับเขาไม่มีหลบสายตา นางกินข้าวคำโต ไม่มีท่าทีละเลียดกินที่ละคำ
“ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษในอาหาร แต่ถ้าจะทำจริง ข้าใส่ยาปลุกกำหนัดดีกว่า”
“แค่กๆๆ เจ้า...เจ้า” หันซูถึงกำสำลัก เยว่ซินส่ายหน้าไปมาแล้วรีบรินน้ำส่งให้
“เจ้านี่ใช้ไม่ได้เลย ไม่สมกับเป็นองครักษ์ของท่านราชครูเลย”
“แม่นางเหอ” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้น
“เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางฉีกยิ้ม “หรือจะเรียกน้องหญิง หรือฮูหยิน ข้าก็ไม่รังเกียจ”
“เจ้า!”
“กินข้าวๆ” นางคีบเนื้อปลาส่งให้หันหู “กินข้าวก่อน ข้ารอพบท่านราชครูตั้งครึ่งเดือนแล้ว รอกินข้าวเสร็จแล้วจะได้คุยธุระสำคัญ”
ถ้อยคำของนางทำให้ฉู่ห่าวหรายเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับหญิงสาว ดวงตาใสกระจ่างจ้องมองกลับไม่มีหลบสายตา หรือแสดงท่าทีเขินอาย เขาเผลอขมวดคิ้วพร้อมกับได้ยินเสียงคำถามในหัว
‘นางเป็นใครกันแน่’.