สายฝนสาดเทลงมาในยามค่ำทำให้ร่างเล็กที่กำลังนั่งคอตกอยู่ข้างถนนต้องรีบหอบกระเป๋าสะพายใบใหญ่เข้าไปหาที่กำบัง หลังจากที่วิ่งหนีจากแม่เลี้ยงใจร้ายจนหมดหนทางที่จะไปต่อ
“หิวจัง” หญิงสาวพึมพำ มือเรียวล้วงกระเป๋าขึ้นมาเพื่อตรวจนับเหรียญที่ยังหลงเหลืออยู่ในกระเป๋า “เหลืออยู่สิบสองบาท”
ปรานปราลินถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เงินที่เหลือจากงานก็เก็บไว้ซื้อข้าวประทังชีวิตไปเมื่อวานจนหมดแล้ว โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์จึงค่อยเบาใจเรื่องโรงเรียนไปได้บ้าง สิ่งที่เธอต้องทำหลังจากนี้คือการหาที่อยู่ใหม่เพื่อใช้ซุกหัวนอนก่อนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วใช้วิธีอยู่หอพักในนั้นเอา เพราะการอาศัยนอนตามซอกตึกเหมือนเมื่อคืนดูท่าว่าจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก
“ป้าคะ หนูมีอยู่สิบสองบาทซื้ออะไรได้บ้างคะ” หญิงสาวรวบรวมความกล้าเดินฝ่าสายฝนไปที่ร้านขายข้าวแกงซึ่งเป็นร้านเดียวกับที่เธอเคยซื้อเมื่อวาน เจ้าของร้านปรายตามองมาที่เธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นว่าปรานปราลินยังสวมชุดนักเรียนที่ขาดวิ่นและมอมแมมจึงอดที่จะสงสารไม่ได้
“ไม่ต้องซื้อหรอกหนูเดี๋ยวป้าให้ ไปนั่งสิ”
“ขอบคุณค่ะป้า ป้าใส่ถุงให้หนูก็ได้จ่ะ หนูสกปรกเข้าไปทานในร้านคงไม่เหมาะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อย่างสำนึกในบุญคุณก่อนที่เจ้าของร้านจะหันไปตักข้าวให้มาหนึ่งกล่อง
“หนีออกมาจากบ้านมาแบบนี้ไม่ดีเลยนะ หนูรู้ไหมว่าข้างนอกนี้มันอันตรายแค่ไหน ยิ่งหน้าตาสระสวยแบบนี้ด้วย”
ปรานปราลินได้แต่พยักหน้ารับไม่ได้ตอบโต้อะไร ทั้งที่ในใจอยากจะอธิบายเสียเหลือเกินว่าเธอไม่ได้หนีออกจากบ้าน แต่เป็นเพราะเธอไม่มีที่ไปแล้วต่างหาก
“ขอบคุณนะคะป้า”
เมื่อได้ข้าวมาแล้ว หญิงสาวจึงอาศัยป้ายรถเมล์เป็นที่หลบฝนและตักข้าวในกล่องขึ้นมาทานเพื่อบรรเทาความหิวซึ่งเธอเองก็ทานมันไปได้เพียงแค่ครึ่งกล่องเท่านั้นเพราะคิดว่าจะเก็บมันไว้ทานต่อในวันพรุ่งนี้ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่ามันจะต้องเสียอย่างแน่นอน แต่นั่นมันก็ดีกว่าไม่มีอะไรกินเลยไม่ใช่หรือ
“หนูจะต้องอดทน หนูจะผ่านไปให้ได้ แม่กับพ่อเป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะคะ” หญิงสาวเอื้อนเอ่ยบอกผ่านสายลมไปพลางตักข้าวใส่ปากพร้อมกับหยาดน้ำตา
“จริงสิ ถ้าเรากลับไปทำงานที่ร้านขายข้าวแกงหน้าปากซอยอีกล่ะ” ความคิดวูบหนึ่งโผล่เข้ามาในหัว แต่เมื่อนำเหตุผลที่ว่าพิมพิลาต้องหาตัวเธอเจอมาหักล้าง ความคิดนั่นก็หายไปทันทีพร้อมกับข้าวกล่องในมือที่ถูกชายแปลกหน้าเขวี้ยงทิ้งลงบนพื้นจนมันหกกระจัดกระจายไปทั่ว
“จะไปไหนเหรอจ๊ะ” ร่างสูงดำทะมึนเอ่ยถามด้วยท่าทีรุกรานอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาดำลึกจ้องมองเรือนร่างขาวผ่องที่โผล่พ้นออกมาจากชุดนักเรียนอย่างหื่นกระหาย ปรานปราลินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกขึ้นเพื่อจะวิ่งหนีออกมาให้พ้นจากบริเวณนั้น
“จะรีบไปไหน ไม่อยู่คุยกันก่อนล่ะ” พวกมันอีกสามคนเดินออกมาจากมุมตึกเข้ามาล้อมเอาไว้ทุกทิศทุกทาง
“พวกแกต้องการอะไร ฉันไม่มีเงินให้หรอกนะ” ปรานปราลินกอดกระเป๋าหนังสือเอาไว้แน่น สำหรับเธอแล้วทรัพย์สินอื่นใดก็ไม่มีค่าเท่าสัมภาระที่ถือไว้อีกแล้ว
“พี่ไม่ต้องการเงินหรอกจ่ะ พี่ต้องการหนูต่างหาก” หัวหน้ากลุ่มยิ้มตอบก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้องเข้ามาล็อคตัวหญิงสาวเอาไว้ ความอ่อนเพลียเพราะไม่ได้นอนพักผ่อนเต็มอิ่มทำให้หญิงสาวสู้แรงพวกมันไม่ได้เลยสักนิดถึงแม้จะพยายามเตะต่อยไปแล้วก็ตาม
“ดุ ๆ แบบนี้ร้าวใจดี พี่ชอบ ฮ่า ๆ ๆ ”
“อย่านะ ปล่อยนะเว้ย ! ปล่อยฉัน อื้อ...” หญิงสาวพยายามดิ้นหนีเมื่อพวกมันข้าวมาล็อคตัวเธอไว้จากทางด้านหลัง มือสาก ๆ ยกขึ้นปิดปากเล็กเอาไว้ในขณะที่อีกคนเดินมาด้านหน้าแล้วยกขาเรียวทั้งสองข้างขึ้นจนกระโปรงนักเรียนที่ขาดวิ่นร่นไปจนถึงน่อง
“เนื้อนุ่มดีจัง อา...”
พวกมันออกแรงฉุดกระชากลากถูปรานปราลินมาจนถึงซอกตึกที่มืดและอับ กระเป๋าหนังสือที่เธอรักและหวงสุดชีวิตถูกทิ้งไว้ที่ป้ายรถเมล์
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันขอร้อง” เมื่อหมดสิ้นหนทางแล้วหญิงสาวจึงพนมมือขึ้นไหว้เพื่อร้องขอความเมตตาจากพวกป่าเถื่อนตรงหน้า
“ถ้าหนูยอมพวกพี่ดี ๆ พี่สัญญาว่าพี่จะทำให้หนูเจ็บตัวน้อยที่สุด” พอมันพูดจบ มือสาก ๆ นั้นก็เข้ามากระชากเสื้อนักเรียนจนกระดุมขาดวิ่นเผยให้เห็นเนินเนื้ออวบอิ่มที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อชั้นในตัวยาว มันมองภาพนั้นอย่างพึงพอใจแม้แสงไฟจะสาดเข้ามาบางเบาแต่ผิวที่ขาวผ่องนั้นกลับสะกดตาจนยากจะห้ามใจ ต่อให้ใบหน้าหวานจะมอมแมมก็ไม่อาจลดความงามของเรือนร่างนี้ลงได้เลย
“อย่าทำหนู...ฮือ หนูไหว้ล่ะ ฮือ ๆ ”
“เก็บเสียงร้องไห้ไว้ครางเรียกชื่อพี่เถอะน้อง” พวกมันสองคนออกแรงจับมือเรียวทั้งสองข้างขึงพรืดไปบนพื้นคอนกรีตที่เปียกชุ่มไปด้วยสายฝนที่เริ่มจะขาดเม็ด อีกคนยืนดูต้นทาง ส่วนคนเป็นหัวหน้ากำลังใช้มือสองข้างแยกขาเรียวให้อ้าออกจากกัน
“อื้อ...” ปรานปราลินพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายดิ้นหนี เมื่อมันกำลังลูบไล้ไปตามน่องขา รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น
“หยุดนะ นี่เจ้าที่ตำรวจ ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านนอกของมุมมืด เปรียบเสมือนเสียงจากสวรรค์ที่เข้ามาช่วยฉุดเธอให้หลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้
“มึงดูต้นทางภาษาอะไรวะ” ผู้เป็นหัวหน้าหันไปดุลูกน้องอย่างหัวเสีย แล้วยอมปล่อยให้ปรานปราลินเป็นอิสระก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามสี่นายจะเข้ามาควบคุมตัวพวกมันไป
“เป็นยังไงบ้างครับ ทางเราได้รับแจ้งมาจากพลเมืองดีว่ามีเหตุข่มขืนเกิดขึ้นที่นี่ หนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ปรานปราลินได้แต่กอดตัวเองส่ายหน้าเป็นคำตอบพัลวัน แสงไฟจากไซเรนดังอยู่ข้างนอกทำให้เธอมองเห็นร่างสูงโปร่งที่กำลังให้การกับตำรวจได้ไม่ชัดเจนนัก
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยแจ้งเบาะแส พวกมันเป็นนักเลงเมายาชอบสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ออกมาจากคุกก็ก่อคดีต่อไม่รู้จักหลาบจำ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเชิญคุณไปให้ปากคำต่อที่โรงพักด้วยนะครับ เอ่อ...แล้วไม่ทราบว่าคุณรู้จักกับผู้เสียหายเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถาม เจ้าของร่มสีดำจึงเหลือบไปมองร่างสั่นเทาของปรานปราลินอีกครั้ง
“ครับ เธอเป็นญาติผมเอง เราทะเลาะกันจนเธอน้อยใจหนีออกมาน่ะครับ” เข้าพูดจบแล้วจึงถือร่มเดินเข้ามาหาหญิงสาว ส่งกระเป๋าเป้ที่เก็บได้ส่งคืนให้พร้อมกับถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ปกปิดเรือนร่างขาวโพลนนั้นไว้ทันที
“คุณมาช่วยหนูทำไม” ปรานปราลินเอ่ยถามด้วยน้ำตา ใช่แล้ว เขาเป็นผู้ชายข้างห้องที่เพิ่งไล่เธอมาเมื่อวาน นึกไม่ถึงเหมือนกันที่จู่ ๆ เขาจะใจดียอมรับให้เธอเป็นญาติขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“...” ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาหลบสายตาคู่นั้นด้วยการประคองให้ร่างเล็กยืนขึ้นเพื่อจะไปให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งถ้าจะให้พูดตามตรงเขาแอบสะกดรอยตามมาตั้งแต่ที่บังเอิญไปเจอเจ้าหล่อนยืนขอข้าวแกงที่ร้านแล้ว ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจทำให้ต้องยื่นจมูกเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วย
อย่างน้อยเขาก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ความอยากรู้ว่าหญิงสาวจะเป็นมิจฉาชีพจริง ๆ หรือเปล่านั้นมันทำให้เขาช่วยฉุดเธอให้ขึ้นมาจากขุมนรกได้สำเร็จ
“หนูขอไปด้วยได้ไหม” ปรานปราลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเบาหวิว หลังจากที่ให้การกับตำรวจเสร็จเรียบร้อย เป็นเพราะเขาบอกตำรวจไปว่าเธอเป็นญาติห่าง ๆ ที่เดินทางเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพเกิดทะเลาะกันจนหญิงสาวหนีออกจากบ้านแล้วมาเจอคนร้ายเข้า เขาเป็นห่วงเลยออกตามหาจนพบ ครั้นจะให้ผู้ชายอย่างเขาออกไปต่อสู้ก็คงจะไม่เหมาะ การเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงน่าพอช่วยได้มากกว่า
“บอกแล้วไงว่าห้องฉันไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก”
“หนูใช่เด็กแล้วนะ หนูอายุสิบเก้าแล้ว”
“เหอะ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอให้กับความดื้อรั้นของเจ้าหล่อน เพราะผู้หญิงงี่เง่าแบบนี้ไงเขาเลยไม่อยากจะปรายตามอง “เห้ย!”
ร่างสูงสะดุ้งสุดตัวเมื่อหญิงสาวถลาเข้ามากอดแขนเขาไว้ กระพริบตาปริบ ๆ เหมือนกำลังจะอ้อนวอนขอไปด้วย
“ขอหนูไปอยู่ด้วยคนนะคะ หนูสัญญาว่าหนูจะช่วยคุณทำงานบ้านทุกอย่าง ไม่ดื้อไม่ซน ไม่กินเยอะด้วย”
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองรีบสะบัดร่างนั้นออกไปจนพ้นกาย ความเป็นหนุ่มเจ้าสำอางของเขาทำให้ปรานปราลินลืมไปเสียสนิทว่าเนื้อตัวของเธอนั้นมอมแมมมากเสียจนดูแทบไม่ได้
“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกผิด “หนูขอไปอยู่ด้วยนะคะ หนูไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ ”
“...” ชายหนุ่มนิ่งเงียบ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นเทวดาดีเด่มากจากไหน แต่ครั้นจะปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ออกไปเผชิญเคราะห์กรรมเหมือนเมื่อกี้อีกก็คงจะดูใจร้ายมากเกินไป
“นะคะ หนูขอร้อง หนูแค่อยากมีชีวิตต่อ หนูอยากเรียนสูง ๆ หนูจะได้มีเงินเยอะ ๆ ”
“อืม” เขาตอบรับออกมาแต่เพียงสั้น ๆ เพื่อเป็นการตัดบทแต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้ปรานปราลินปลื้มปริ่มจนน้ำตาไหลรื้นออกมา
“ขอบคุณค่ะ หนูชื่อแป้งหอม ปรานปราลิน ถวินทรัพย์ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“จะพล่ามอีกนานไหม ฉันง่วง อยากนอนแล้ว” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ท่าทีของเจ้าหล่อนมันทำให้ตำรวจทั้งโรงพักหันมามองกันเป็นทิวแถว
“ว่าแต่...หนูยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“ชาวี” เขาแนะนำตัวแต่เพียงสั้นก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อให้หญิงสาวเข้าไปนั่งด้านใน ความอ่อนเพลียทำให้ปรานปราลินเผลอหลับไปตลอดทางที่กลับมาถึงห้อง ชายหนุ่มจึงต้องปลุกให้ตื่นเพราะเขาเองก็ดูท่าว่าไม่อยากจะอุ้มเธอเท่าไหร่นัก "นี่ ตื่นได้แล้ว"
“อือ...ขอนอนต่ออีกนิดนะ” ริมฝีปากน้อย ๆ เผยอขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวบิดตัวอีกครั้งบนเบาะรถเมื่อถูกรบกวนจากการนอนหลับที่แสนสบาย
“อยากนอนก็นอนไป ถ้าฉันลากให้ไปนอนข้างถนน อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”
“ตื่นแล้วค่ะ ตื่นแล้ว” คำขู่ของเขาทำให้ปรานปราลินตื่นขึ้นมาเต็มตา ยอมตามเขาขึ้นไปบนห้องอย่างง่ายดาย เมื่อถึงชั้นที่เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ความหวาดกลัวก็ถาโถมเข้ามาในใจอีกครั้ง “แล้วป้า...”
“ย้ายออกไปแล้ว” ชาวีตอบกลับไปเสียงราบเรียบพลางไขกุญแจเข้าห้องตัวเองอย่างใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นอีกคนยังยืนนิ่งเขาจึงผายมือให้หญิงสาวเข้าไปด้านใน
“คะ” ปรานปราลินไม่แปลกใจเลยสักนิดที่พิมพิลาจะย้ายไปเพราะหล่อนคงจะออกไปตามหาตัวปลายฟ้าอย่างแน่นอน
“อืม เพิ่งออกไปตอนเช้านี่เอง”
“ค่อยยังชั่วหน่อย จะได้ไม่ต้องคอยระแวงอีก” หญิงสาวดูเหมือนจะพอใจอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ได้ฟังข่าวดีแต่เมื่อเดินตามเขาเข้าไปในห้องก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นข้าวของถูกเก็บไว้ในกระเป๋าหลายสิบใบ “คุณก็จะย้ายเหมือนกันเหรอคะ”
“ฉันได้งานใหม่น่ะ เลยว่าจะย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล” เขาโป้ปด เหตุผลที่แท้จริงคือเขาต้องการจะหลบหน้ารุจิราผู้เป็นแม่บุญธรรมที่เพิ่งจะตามหาตัวเขาพบต่างหาก
“อ๋อ...ค่ะ”
“ไปอาบน้ำสิ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าหน่อยนะ ฉันจะย้ายไปเลย”
“ค่ะ” ” เจ้าของเนื้อตัวมอมแมมที่มีร่องรอยการถูกทำร้ายและรอยยุงกัดจนแดงเป็นจ้ำ ๆ ตอบรับเพราะไม่อยากขัดใจเขาด้วยเกรงว่าจะถูกไล่ออกไปอีกครั้ง หลังจากอาบน้ำเสร็จก็พบว่าเขาจัดเตรียมที่นอนให้เธอไว้ที่โซฟา ด้วยความเหนื่อยล้าคนตัวเล็กจึงถลาทิ้งตัวลงนอนบนนั้นทันที
“นอนได้ใช่ไหม”
“นอนได้ค่ะ หนูนอนได้ ไม่มีปัญหาเลย” หญิงสาวรีบตอบกลับไป แค่นี้มันก็มากพอสำหรับเธอแล้ว
“ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม ทำไมเธอถึงเชื่อใจจนกล้ามาอยู่กับฉันล่ะ” ชาวีลองถามเพื่อลองเชิง ความคิดว่าหญิงสาวเป็นพวกมิจฉาชีพยังไม่จางหายออกไปจากหัว
“เพราะคุณเป็นคนดีไงคะ” ปรานปราลินตอบตามความคิด “ถ้าคุณไม่ใช่คนดี คุณจะมาช่วยหนูจากพวกนั้นทำไมล่ะ”
คำตอบของหญิงสาวทำเอาชาวีถึงกับชะงักกึก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดีตั้งแต่วันที่ลงมือทำร้ายพี่สาวแท้ ๆ และคิดจะฆ่าหลานในไส้ของตัวเองแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำนั้นจากผู้หญิงตรงหน้านี้ ความผิดที่เคยทำร้ายคนบริสุทธิ์ในอดีตมันทำให้เขาเมินเฉยต่อเธอไม่ลงจริง ๆ
“ทั้งที่ฉันเป็นผู้ชาย...”
“แหม คุณไม่ต้องแอ๊บหรอก ทำตัวตามสบายเลย หนูรู้ว่าคุณไม่ใช่ผู้ชายแท้ ๆ เป็นตัวของตัวเองเถอะค่ะ” ปรานปราลินปรายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ความสะอาดสะอ้านของเขาและการแต่งห้องมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่มีรสนิยมชอบผู้หญิง
“นอนเถอะ” เขาหลบสายตาที่ใสซื่อนั้นด้วยการหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ เมื่อไฟในห้องนอนถูกปิดลง คนตัวเล็กจึงหลับไหลสู่ห้วงนิทราทันทีด้วยความเหนื่อยล้า อย่างน้อยในมรสุมชีวิตครั้งนี้ก็ยังมีเทวดาเดินดินเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ แม้จะยังไม่รู้ชีวิตในวันครั้งหน้าจะเป็นเช่นไรเธอจะไม่มีวันลืมบุญคุณเขาอย่างแน่นอน