วชิราภรณ์เดินทางมาถึงบริษัท ปิโตเคมี แอสโซเอส (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ในเวลาเจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาที ระหว่างที่กำลังรอลิฟต์โดยสารของอาคารอยู่นั้น ร่างของคนที่เธอไม่อยากเห็นหน้าก็เดินตรงปรี่เข้ามาหา
“คุณผึ้งครับ คุณผึ้ง” กัมปนาทร้องเรียกวชิราภรณ์ค่อนข้างดัง ทำให้เจ้าของชื่อหันมามองต้นเสียง ก่อนจะปรับสีหน้าให้แช่มชื่นราวกับว่าดีใจที่ได้เจอหน้าเขา
“คุณเอกลับมาจากมาเลเซียตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไหนบอกผึ้งว่าจะกลับมามะรืนนี้ไม่ใช่เหรอคะ” น้ำเสียงรื่นเริงเอ่ยถาม ส่งยิ้มละไมให้กัมปนาท
“พอดีผมทำงานเสร็จก่อนน่ะครับ ก็เลยกลับก่อน ผมไปรับคุณผึ้งที่บ้านแต่คุณป้าบอกว่าคุณผึ้งมาทำงานแล้ว ดีใจจังเลยครับที่มาทันก่อนที่คุณผึ้งจะขึ้นไปทำงาน ผมคิดถึงคุณผึ้งที่สุดเลยครับ”
กัมปนาทมีงานด่วนที่จะต้องเดินทางไปประเทศมาเลเซียในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ไปส่งวชิราภรณ์ไปชะอำ เขาได้โทรศัพท์มาหาเธอเพื่อบอกกล่าวว่า อาจจะไม่ติดต่อเธอจนกว่างานจะเสร็จ ซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจในเหตุผล และไม่เดือดร้อนหากเขาไม่โทรหาตน
“ผึ้งก็คิดถึงคุณเอเหมือนกันค่ะ” เธอแสร้งพูดเสียงหวาน
“ยังพอมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เราไปหากาแฟดื่มกันก่อนนะครับ ผมคิดถึงคุณผึ้งที่สุดเลยครับ”
ความคิดถึงของกัมปนาทที่มีต่อวชิราภรณ์นั้นมีมากมายนัก มากจนเขากะประมาณไม่ได้ว่า มากน้อยแค่ไหน รู้เพียงว่ามันล้นปรี่ในอก
“ได้ค่ะ” เธอรับคำขณะก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ แม้ว่าจะเบื่อหน้ากัมปนาทมากแค่ไหน แต่ทว่าเธอต้องทนเห็นหน้าเขาต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาสลัดรักตามแผนการที่วางไว้ ซึ่งมันก็อีกไม่นานนี้ สองหนุ่มสาวจึงเดินเคียงคู่ไปยังร้าน
คอฟฟี่ชอฟที่อยู่ภายในอาคารเอ
ภาพของวชิราภรณ์กับกัมปนาทอยู่ในสายตาของธัญญ์ตลอดเวลา เขานั่งดื่มกาแฟอยู่ในร้านนี้ก่อนหน้าอยู่แล้ว และเห็นวชิราภรณ์ตั้งแต่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ ก่อนที่ร่างของชายคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในรูปผู้ชายที่เธอควงอยู่ แล้วเขาก็คิดว่าผู้ชายคนนี้คือคนรักอีกคนของเธอ ผู้ชายคนนี้ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกับณัชญ์ที่ต้องถูกสวมเขาหากวชิราภรณ์พบผู้ชายคนใหม่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องปราบพยศผู้หญิงมากรักคนนี้ให้ได้
ธัญญ์ขบกรามจนเห็นเส้นเลือด ดวงตาสีน้ำเงินวาววับด้วยเพลิงไฟที่สุมหลายร้อยกอง มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น วชิราภรณ์หัวเราะมีความสุข ในขณะที่ณัชญ์ต้องเผชิญกับการหลับใหลที่ไม่รู้ว่าจะตื่นมามองดูโลกเมื่อไหร่ เธอช่างไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำของตัวเองเลยว่า สร้างความเจ็บช้ำให้น้องชายของเขามากแค่ไหน ไม่มีจิตใจสำนึกเอาเสียเลย สมแล้วที่เขาจะแก้แค้นแทนณัชญ์ ให้เธอรู้จักความเจ็บปวดจากการที่ถูกคนรักหักอก
“แพศยา!” ธัญญ์สบถเสียงเข้ม ลุกพรวดจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ด้านในสุดของร้าน จ้ำอ้าวเดินออกไปจากร้าน โดยที่วชิราภรณ์ไม่ทันสังเกตเห็น
“คุณผึ้งจำเรื่องที่เราพูดกันก่อนที่คุณผึ้งจะไปชะอำได้หรือเปล่าครับ” กัมปนาทเท้าความ
“เรื่องอะไรคะ เราคุยกันหลายเรื่องเลยนะคะวันนั้นน่ะ” เธอแกล้งจำไม่ได้ ทั้งๆ ที่จำได้อย่างแม่นยำว่า วันนั้นคุยอะไรกับเขาบ้าง
“ใช่ครับหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่ผมขอคุณผึ้งแต่งงานครับ คุณผึ้งบอกว่าขอเวลาอีกสักหน่อย แล้วถ้าหากผมจะขอหมั้นคุณผึ้งเอาไว้ก่อนจะได้หรือเปล่าครับ ผู้ชายทั้งโลกจะได้รู้ว่าคุณผึ้งมีเจ้าของแล้ว”
เสียงของกัมปนาทนั้นนุ่มนวลชวนฟัง น้ำเสียงหนักแน่น แววตาส่องแสงไปด้วยความรัก รอยยิ้มของเขากระจายเต็มใบหน้า บ่งบอกได้ว่าตอนนี้เขามีความสุขเป็นที่สุด
วชิราภรณ์เห็นใบหน้าของเขาแล้วรู้สึกหลากหลาย สะใจ สาแก่ใจที่สามารถทำให้ลูกหลานของศัตรูหลงรักเธอได้มากมายขนาดนี้ แต่อีกใจกลับนึกสงสารกัมปนาทขึ้นมาจับใจ เธอไม่เคยเห็นแววตาของใครจริงใจเท่าคนตรงหน้าเลย ผู้ชายหลายคนที่เธอแย่งชิงมาจากเขมิกา ดวงตาของแต่ละคนนั้นบ่งบอกถึงความลุ่มหลง ไร้ซึ่งแสงของความรัก...
ความรักนี้ไม่ใช่หรือที่เธอแสวงหามาโดยตลอด ความรักจากใครสักคนที่จะมาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ ไฉนเธอจึงไม่รักผู้ชายแสนดีตรงหน้า ทำไมถึงไม่รัก...ข้อนี้เธอก็ตอบตนเองไม่ได้
“ขอเวลาผึ้งอีกสักหน่อยนะคะ แล้วผึ้งจะให้คำตอบอีกครั้งนะคะ”
เธอบ่ายเบี่ยงด้วยรอยยิ้ม กัมปนาทหน้าเศร้าลงทันทีแต่ยังคงมีรอยยิ้มบาง เขาคิดไปในทางที่ดีว่า เธอคงยังกลัวการมีชีวิตคู่ กลัวว่ามีชีวิตคู่จะเหมือนกับกัญญามารดาของเธอ
“ผมรอได้ครับ ผมให้เวลาคุณผึ้งได้เสมอ อย่างที่ผมเคยบอกคุณผึ้งไว้ ผมจะทำให้คุณผึ้งมั่นใจในตัวของผม ให้คุณผึ้งมั่นใจว่า ชีวิตคู่ของเราจะไม่เหมือนกับคุณแม่ของผึ้งครับ”
น้ำเสียงของกัมปนาทยังคงนุ่มนวล น่าฟังเช่นเคย หากผู้หญิงตรงหน้ามีใจให้กับเขาจริงๆ รับรองได้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีวันปฏิเสธการขอหมั้นหมายของกัมปนาทแน่นอน
“ค่ะ ผึ้งขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“กลางวันนี้ผมจะมารับไปทานข้าวนะครับ”
“ค่ะ” เสียงหวานรับคำ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังลิฟต์ โดยมีร่างของกัมปนาทเดินไปส่งเช่นเคย
วชิราภรณ์เดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นสี่สิบเจ็ด ซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหารระดับสูง จุดหมายปลายทางของเธอก็คือห้องประธานกรรมการบริหาร เช้านี้หญิงสาวต้องมารายงานตัวกับเจ้านายคนใหม่ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน วชิราภรณ์รู้สึกประหม่าเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวตื่นเต้นที่จะได้เจอหน้าเจ้าของบริษัทตัวจริงเสียงจริง อีกทั้งยังตื่นเต้นกับตำแหน่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย หวั่นในใจว่าจะทำหน้าที่เลขาได้ไม่ดีเท่ากับที่ธัญญ์คาดหวังไว้
อีกราวสิบเมตรก็จะถึงหน้าห้องเจ้านายคนใหม่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองเห็นชายร่างใหญ่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานหน้าห้องประธานบริษัท เธอจึงเดินไปหยุดตรงหน้าโต๊ะตัวนั้น ขยับปากบอกชายคนดังกล่าวเพื่อบอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้
“ดิฉันชื่อวชิราภรณ์ค่ะ คุณ...”
“เชิญเข้าไปในห้องได้เลยครับ คุณธัญญ์รออยู่ครับ” ยังไม่ทันที่วชิราภรณ์จะพูดจบประโยคกำพลลูกน้องคนสนิทของธัญญ์พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณกำพล ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหยุดหน้าประตูห้องบานใหญ่ สูดลมหายใจเข้าปอดราวกับเรียกกำลังใจตัวเอง ยกมือขึ้นเคาะประตูแล้วเปิดมันออกกว้าง ก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องอย่างมั่นใจ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันวชิราภรณ์ค่ะ”
เธอเปิดปากพูดกับเจ้าของห้องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานแบบหมุนได้ ดวงตาหวานจ้องมองด้านหลังของเก้าอี้เพราะตอนนี้เขานั่งหันหน้าไปทางผนังห้องที่ทำจากกระจก ราวกับว่ากำลังชื่นชมความสวยงามของกรุงเทพยามเช้าที่แสนวุ่นวาย
สิ้นเสียงใสเก้าอี้ตัวนั้นได้หมุนกลับมาหาผู้พูด วชิราภรณ์มองเสี้ยวใบหน้าของเจ้านายหนุ่มที่ค่อยๆ หมุนด้วยหัวใจเต้นระทึก เธอไม่เคยเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ผู้ชายทุกคนที่รู้จักและพบเจอไม่เคยมีใครทำให้เธอตื่นเต้น หัวใจระส่ำเท่าผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย ยิ่งมองเห็นใบหน้าของธัญญ์แบบเต็มตา หัวใจสาวหล่นไปอยู่ปลายเท้า ดวงตาตะลึงเพริด ไม่คิดว่าเจ้าของบริษัทจะยังหนุ่มแน่น ความหล่อของเขาเทียบเท่ากับคำว่าเทพบุตร วชิราภรณ์นึกว่าธัญญ์จะมีอายุมากกว่านี้ ตามที่เธอได้กะเกณฑ์ไว้คงจะอายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีแต่นี้ไม่ใช่ เขาน่าจะอายุสามสิบห้าปีโดยประมาณ
“นั่งสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกสติของวชิราภรณ์ที่หลงเพลิดไปกับความหล่อกระชากใจสาวให้กลับคืนมา ตอบรับว่า “ค่ะ” ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา
“ผมยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับคุณวชิราภรณ์”
เสียงของธัญญ์นั้นดูแช่มชื่น รอยยิ้มกระชากใจสาวผุดขึ้นบนใบหน้า ชวนให้คนที่มองเห็นหลงใหล ก่อนที่เขาจะเหยียดแขนข้างขวาออกไป มือหนาอยู่ระดับอกของเธอ วชิราภรณ์จึงยื่นมือข้างขวาไปสัมผัสกับมือใหญ่ เป็นการทักทายกันแบบสากล และนั่นทำให้ร่างกายสาวเหมือนถูกไฟฟ้าสถิต มีความรู้สึกว่าเธอกำลังถูกกระแสไฟฟ้าที่ถ่ายทอดมาจากเรือนกายใหญ่ของธัญญ์ ลุกล้ำเข้ามาในร่างกายของเธอ ร้อนวูบวาบ ชาดิกเป็นบางช่วง