นางเองไม่ใคร่รู้เรื่องในวังหลวงนัก แม้เหล่าพฤกษาจะกระซิบเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง นางก็ได้แค่รับฟัง เพราะนางไม่ได้มีน้ำหนักจะช่วยผู้ใดไต่เต้าได้ตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ บิดาจึงก่นด่าประชดประชันเสมอ นางได้ใกล้ชิดฮองไทเฮา แต่ไม่อาจสนับสนุนคุณชายหรือแม้แต่ท่านหญิงได้ นางอาจดูเหมือนเป็น ‘คนโปรด’ แต่ก็เป็นคนโปรดที่ฮองไทเฮาไม่ปรารถนาจะทอดพระเนตรเห็นใบหน้าที่มีรอยแผลนี้ด้วยซ้ำไป
“จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง”
นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู
“จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน”
ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว
“ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป
‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’
‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’
‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’
‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’
‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’
‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว’
‘ทรงบรรทมไม่ค่อยหลับ หรือหลับก็ไม่สนิท’
‘ฮองไทเฮาให้ท่านอ๋องเลือกหญิงงามมาเป็นพระชายา’
หญิงสาวฟังเหล่าพฤกษาแย่งกันพูดเรื่องขององค์ชายเฟยเทียน คงเพราะเรื่องการคัดเลือกหญิงงามมาเป็นพระชายา องค์ชายเฟยเทียนจึงพำนักในตำหนักของฮองไทเฮา คงเกรงว่า หากปล่อยให้องค์ชายเสด็จ
กลับไปตำหนักชินอ๋อง อาจหนีกลับตุนหวงเหมือนครั้งที่ผ่านมา
“ไม่รู้ป่านนี้ขนต้นไม้ลงมาหมดหรือยัง” นางบ่นพึมพำ อีกฝั่งหนึ่งของสวนสี่ฤดูตระเตรียมพื้นที่สำหรับพืชทะเลทรายไว้แล้ว ทว่านางไม่คิดว่าองค์ชายเฟยเทียนจะนำต้นไม้ใหญ่อย่างอินทผลัมมาเช่นนี้ หากต้นเล็กก็มีกุหลาบทะเลทรายและเหล่ากระบองเพชรหน้าตาแปลกประหลาดที่ไม่ได้พบเห็นได้ง่ายนัก
“ข้าไปดูต้นไม้ก่อนนะ เสร็จแล้วจะมาคุยด้วย”
‘รีบไปหาองค์ชายเฟยเทียนละสิ’
‘เรียกท่านอ๋องได้แล้ว ท่านอ๋องเจ้าขา’
ว่านหนิงเหมยหน้าแดงกับคำกระเซ้าของเหล่าต้นไม้ปากดี พอสนิทสนมเข้าหน่อย มารุมเล่นงานนางเสียนี่ นางตั้งใจเดินไปดูต้นไม้ที่ขนมาจากดินแดนทะเลทรายจริงๆ แต่เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านจึงเรียกตัวไว้สอบถาม ได้ความเช่นที่บรรดาต้นไม้ปากดีนั้นบอกนาง
“รบกวนพวกเจ้าจัดสุรารสเลิศสำหรับองค์ชาย เอ่อ...ท่านอ๋อง และขนมของหวานกับน้ำชาให้ท่านกุนซือและองครักษ์ด้วยเถิด”
“อะไรนะเจ้าคะ” ขนม? ใครจะกล้ายกไปล่ะ
“รบกวนด้วย ประเดี๋ยวข้ายกไปให้เอง”
นางเข้าใจดีว่าแต่ละคนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ นึกถึงเรื่องที่เหล่าพฤกษากระซิบบอก นางถึงกับกลั้นหัวเราะ ใครเลยจะคาดคิดว่าองครักษ์ผู้น่าเกรงขามชื่นชอบขนมหวาน
ตามธรรมเนียมแล้ว ตำหนักในไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาพำนัก
หากนี่เป็นความประสงค์ของฮองไทเฮาจึงเป็นข้อยกเว้น แม้องค์ชายเฟยเทียนมีตำหนักของพระองค์เอง แต่ทุกครั้งที่กลับมาวังหลวงจะถูกรั้งตัวให้พักที่ตำหนักของฮองไทเฮาเสมอ
“ต่อไปนี้พวกเราต้องเรียกองค์ชายว่าชินอ๋องแล้วใช่ไหม ท่านกุนซือ”
เจิ้งหู่องครักษ์ขวาเอ่ยถามซิ่นเจี่ยง กุนซือและเป็นคนสนิทขององค์ชายเฟยเทียน ที่ยามนี้กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกบนตั่งนุ่มกลางห้องรับรองที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้คนทั้งสี่ ด้วยคำเชิญแกมบังคับให้องค์ชายเฟยเทียนพักอยู่ในตำหนักของฮองไทเฮา
“เฮอะ!” องค์ชายเฟยเทียนแค่นเสียงในลำคอ ยื่นมือไปรับจอกสุราจากเจิ้งไฉ บรรดานางกำนัลต่างหวาดกลัวจนมือไม้สั่น ด้วยความรำคาญจึงไล่ไปให้หมด เหลือเพียงคนสนิททั้งสามคน แม้ฐานะต้อยต่ำ แต่สำหรับเขาแล้ว ทั้งสามล้วนเป็นสหายรักที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา
“จะตำแหน่งอะไรคิดว่าข้าสนใจงั้นเรอะ” กรอกสุราลงคอแล้วยื่นจอกส่งให้องครักษ์ซ้ายรินให้เช่นเคย เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนี้องครักษ์ซ้ายขวาก็ปลดหน้ากากเหล็กของตนเองออก
“เอาเป็นว่าเรียกชินอ๋องให้คุ้นปากไว้เป็นดี” ซิ่นเจี่ยงเอ่ยขึ้น แต่สายตายังจ้องมองที่กระดานหมากล้อม “มีตำแหน่งก็ย่อมเป็นเรื่องดี ทำสิ่งใดย่อมมีผู้เกรงอกเกรงใจ”
“ข้าว่าทุกวันนี้ก็มีคนเกรงกลัวมากพออยู่แล้ว” เจิ้งไฉโคลงศีรษะไปมา นางกำนัลหรือขันทียังไม่กล้าเข้ามารับใช้เลย
เจิ้งไฉและเจิ้งหู่ มั่นใจในเรื่องการต่อสู้และฝีมือของตนเองก็จริง แต่เรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ ต้องให้ซิ่นเจี่ยงคอยเตือนพวกเขา จะว่าไปก็รวมถึงองค์ชายพระทัยร้อนผู้นั้นด้วยเหมือนกัน
“ข้าไม่ชอบวังหลวงเอาเสียเลย ไฉนฮองไทเฮาต้องให้องค์ชาย เอ่อ ชินอ๋องพำนักในตำหนักในด้วย” เจิ้งหู่พูดน้ำเสียงเหมือนเด็กเล็กที่ถูกขัดใจ ไม่ได้เข้ากับใบหน้าและท่าทางของตนเองเลยสักนิด
ซิ่นเจี่ยงยื่นมือไปใช้พัดเคาะศีรษะของเจิ้งหู่แรงๆ ไปหนึ่งที ทำเอาเจิ้งหู่ยกมือกุมศีรษะลูบรอยที่โดนตีเมื่อครู่
“เจ้านี่ก็คิดถึงแต่เรื่องของกิน!”
“ก็มันจริงนี่ขอรับท่านซิ่นเจี่ยง” เจิ้งไฉรีบพูดแทนพี่ชาย “ไม่มีผู้ใดจัดขนมของว่างและน้ำชาให้พวกเราเลย ใครๆ ก็ว่าขนมในวังหลวงเลิศรสเป็นที่สุด”
“กับแกล้มเต็มโต๊ะ เจ้ายังจะถามหาของว่าง!” ซิ่นเจี่ยงทำท่าจะตีเจิ้งไฉแต่อีกฝ่ายรีบกระโดดหลบเสียก่อน
องค์ชายเฟยเทียนหรือตอนนี้คือชินอ๋องและเป็นผู้ปกครองตุนหวงเพียงแค่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม หากในวังหลวงนี้สิ้นฮองไทเฮาแล้ว เขาไม่เหลือผู้ใดให้อยากมาพบ มีเพียงฮองไทเฮาที่ทรงเลี้ยงดูเขาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ทุกวันนี้ก็ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ยังห่วงใยเขาอยู่ เขารู้ดีว่ามีสายคอยส่งข่าวเรื่องของเขาให้ทางฮองไทเฮาทราบ
ตุนหวงอยู่ในการปกครองของแคว้นกันซู่ สิบปีมานี้ที่เขากรำศึกทั้งปราบขบถและชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่อง แต่เขากลับเลือกปักหลักยึดตุนหวงไว้เป็นฐานที่ตั้งมั่นของทหาร ในฐานะที่ตุนหวงเป็นดินแดนเชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างจองหยวน (เมืองหลวง) กับดินแดนอื่น เส้นทางการค้าสำคัญที่ถูกเรียกว่าเส้นทางสายไหม รายได้จากการจัดเก็บภาษีค่าผ่านทางมากมายจนประเมินค่ามิได้
เส้นทางสายไหมกลายเป็นแหล่งรวมพ่อค้าจากทุกสารทิศ ราชสำนักและราชวงศ์สามารถควบคุมพื้นที่และตั้งหน่วยงานปกครองที่มั่นคง ทั้งยังสามารถปราบปรามชนกลุ่มน้อยที่เคยเรืองอำนาจในดินแดนแถบนี้ เอื้อประโยชน์ให้การคมนาคมมีความสะดวกสบาย มีกลุ่มพ่อค้าทั่วสารทิศใช้เส้นทางมากขึ้น นอกเหนือจากผู้แสวงบุญและผู้ที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจำนวนมาก ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกอยู่ที่ตุนหวง ละทิ้งจองหยวน แม้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าลึกๆ แล้ว ฮ่องเต้ทรงไม่ไว้ใจเขา เกรงว่าให้อำนาจการปกครองทางการทหารมากเกินไป ทำให้เขาใช้เหล่าทหารเข้ายึดอำนาจและสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้
อำนาจรึ? เขารู้จักมันแล้ว
เพียงแค่คิดก็เผลอยกท่อนแขนซ้ายขึ้นดู เวลานี้มันเป็นเพียงแขนข้างซ้ายที่มีปีศาจมังกรเพลิงหลับใหลอยู่ หากเมื่อเขาต้องการ ปีศาจกระหายโลหิตตนนั้นจะปรากฏได้ในทันที หลายปีมานี้เขาใช้ความสามารถของตนเอง ผนวกกับความสามารถของกุนซือที่เขาเชื่อใจ ซ้ำยังมีองครักษ์ซ้ายขวาที่เขาชุบเลี้ยงทั้งสองมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เมื่อมีคนที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดขวางชัยชนะของเขาได้