สองสัปดาห์ผ่านไป
หลังจากที่กลับมาจากการเที่ยวพักผ่อน อัคคินก็เดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกาในอีกสามวันต่อมา พอส่งอัคคินขึ้นเครื่องบินเสร็จ อรรคเดชกับอินทุอรได้เดินทางไปยังไร่ปันฟ้า ไร่องุ่นที่ซื้อต่อจากญาติสนิท ทั้งสองจะอยู่ที่นั่นหนึ่งเดือนก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศสวิทเซอร์แลนด์ สถานที่ที่ทั้งคู่เลือกที่จะอยู่กันในยามแก่เฒ่า เนื่องจากสองสามีภรรยาพบรักกันที่นี่นั่นเอง
ส่งผลให้อัครากระทำย่ำยีรวิษาได้ตามใจชอบ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ปริปากบอกผู้มีพระคุณทั้งสองแต่อย่างใด เธอทำตามคำขู่ของอัคราทุกอย่าง
“ถ้าเธอเอาเรื่องของเราไปบอกคุณพ่อคุณแม่ล่ะก็ ฉันจะเอาภาพโป๊ ภาพเปลือยของเธอไปลงในอินเตอร์เน็ต คราวนี้เธอก็จะได้เป็นนางแบบนู้ดแน่” นี่คือข้อแรก“อีกอย่างนึงนะ เธอเก็บเสื้อผ้าย้ายไปอยู่ในห้องของฉันด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องเดินไปหาเธอให้เมื่อยตุ้ม มีอารมณ์ตอนไหนจะได้ฟาดเธอตอนนั้น แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่มาพักที่นี่ เธอค่อยย้ายไปอยู่ห้องของเธอ” นี่คือคำสั่งข้อที่สอง
“คุณมิ้นเป็นอะไรคะ ตั้งแต่กลับมาจากกระบี่หน้าตาคุณมิ้นดูเศร้าๆ เหมือนคนอมโลกไว้ทั้งใบอย่างนั้นแหละ” ก้อยสาวใช้ช่างสังเกตเอ่ยถามขณะที่ช่วยรวิษาทำอาหารเย็น
“เปล่านี่ ฉันไม่ได้เป็นอะไร” รวิษาปฏิเสธด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
“แต่หน้าตาของคุณมิ้นมันเหมือนมีอะไรจริงๆ นี่คะ ไม่ค่อยยิ้มเหมือนเมื่อก่อน บางครั้งก้อยก็เห็นคุณมิ้นนั่งเหม่อ สักพักก็ร้องไห้”
ก้อยสาวใช้ช่างสังเกตพูดต่อ เธอเห็นรวิษานั่งเหม่อหลายครั้ง และบางครั้งรวิษาก็นั่งร้องไห้ สีหน้ายังเศร้าสร้อยเหมือนคนอมทุกข์ แล้วอย่างนี้จะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรได้อย่างไร ต้องมีอะไรซุกซ่อนในกอไผ่แน่นอน
“ไม่มีอะไรจริงๆ ฉันก็แค่คิดถึงพ่อกับแม่เท่านั้นเอง พอคิดถึงท่านทั้งสองทีไรฉันก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้” รวิษาพูดแก้ตัว น้ำเสียงเนือยเศร้าราวกับว่าวินาทีนี้คิดถึงบิดามารดาจับใจ ก้อยอยากจะตบปากตัวเองที่ถามคำถามที่ทำให้ริวษาสะเทือนใจ จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“วันนี้ใครจะมาบ้านเหรอคะ ทำกับข้าวตั้งหลายอย่าง?”
“เพื่อนๆ ของคุณโอมน่ะ วันนี้เขามีเลี้ยงสังสรรค์กัน” คนถูกถามตอบเสียงเนือย
“แล้วเพื่อนๆ ของคุณโอมนี่มีใครบ้างคะ ก้อยรู้จักหรือเปล่า?” ก้อยทำตัวเป็นคนเจ้าปัญหา เอ่ยถามคำถามไม่หยุดหย่อน
“ก้อยคงไม่รู้จักหรอก เพราะเพื่อนๆ ของคุณโอมกลุ่มนี้มาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นก้อยยังไม่ได้ทำงานที่นี่” รวิษาไม่นึกรำคาญ ตอบคำถามที่ก้อยต้องการรู้
“อ๋อค่ะ” ก้อยทำเสียงรับรู้
“ก้อยทยอยเอาอาหารไปตั้งสำรับบนโต๊ะได้แล้วจ้ะ จวนจะได้เวลาที่เพื่อนๆ ของคุณโอมมาแล้ว ส่วนต้มยำกับต้มจืดอย่าเพิ่งยกไป เวลาทานอาหารฉันจะอุ่นให้ร้อนๆ ก่อนจะได้ซดคล่องคอ” รวิษาสั่งก้อยเมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อย
หลังจากที่ก้อยจัดเรียงสำรับอาหารได้ไม่นาน เพื่อนของอัคราก็เดินทางมาถึงบ้านพร้อมกับเจ้าของบ้าน รั้งท้ายด้วยยุทธนานายแพทย์หนุ่มที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ
รวิษาเมื่อเห็นว่าเพื่อนของอัครามากันพร้อมหน้า จึงลงมืออุ่นต้มยำทะเลกับต้มจืดเต้าหู้เพื่อนำอาหารทั้งสองอย่างไปรวมกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ระหว่างที่เธอกำลังง่วนอยู่กับการอุ่นกับข้าว ร่างของยุทธนาก้าวเดินเข้ามาในห้องครัว ในมือถือสิ่งหนึ่งติดมือมาด้วย
“มิ้น” นายแพทย์หนุ่มเรียกชื่อแม่ครัวสาว รวิษาหันมาทางต้นเสียงแล้วยิ้ม
“คุณเอก” เธอขานชื่อบุรุษที่ก้าวเข้ามาในครัว
“ไม่ได้เจอมิ้นตั้งนาน สบายดีมั้ย?” ยุทธนาถามสารทุกข์สุกดิบ
“สบายดีค่ะ แล้วคุณเอกล่ะคะสบายดีหรือเปล่า อากาศที่โน่นเป็นไงบ้างคะ?”
เธอตอบพร้อมกับถาม การสังสรรค์วันนี้อัคราถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับกลับเมืองไทยของยุทธนา หลังจากที่ไปทำวิจัยเกี่ยวกับโรคกระดูกกับสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
“สบายดีครับ อากาศที่โน่นดี๊ดี ถ้ามีโอกาสผมก็อยากพามิ้นไปเที่ยวที่นั่นด้วย รับรองว่ามิ้นต้องชอบที่นั่นจนไม่อยากกลับเมืองไทยแน่นอน”
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม หัวใจเต้นแรงยามที่มองเห็นดวงหน้าหวานชวนพิศของรวิษา หญิงสาวที่ตนแอบหลงรัก
“ถ้าไปเที่ยวยังพอไหวค่ะ แต่จะให้ไปอยู่ที่นั่นเลยมิ้นคงไม่เอาค่ะ ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าเมืองไทย”
“มันก็จริงนะ ถึงแม้ว่าที่นั่นรถจะไม่ติด อากาศจะดีแต่ก็สู้เมืองไทยไม่ได้ เพราะหัวใจของผมอยู่ที่เมืองไทยไปไหนไม่ได้หรอกครับ”
เขาพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง ยุทธนาอยากจะบอกสาวตรงหน้าว่า หัวใจของผมอยู่ที่มิ้น ยังไงก็ต้องกลับมาเมืองไทยมากกว่า แต่ทว่าเขาก็พูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ นายแพทย์หนุ่มยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกไป และกลัวที่จะจีบรวิษาอีกด้วย
“จริงค่ะ ถึงเมืองไทยจะไม่ดีเท่าประเทศอื่น แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดอยู่ไม่ได้”
“พูดอีกก็ถูกอีก” ยุทธนาเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ “นี่ครับ ผมซื้อของมาฝากมิ้นด้วยนะ”
ก่อนจะยื่นถุงยี่ห้อดังไปตรงหน้ารวิษา อีกฝ่ายส่งยิ้มให้เอื้อมมือมารับถุงกระดาษใบเล็กไว้ในมือ เปิดปากถุงดูแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินในถุงออกมาเปิดฝากล่องที่อยู่ในมือ
“โอ้โห...คุณเอก สวยจังเลยค่ะ”
เธออุทานเมื่อเห็นสร้อยทองคำขาวพร้อมจี้รูปปลาโลมาที่ทำจากพลอยแดงในกล่องกำมะหยี่ แต่ทว่าเธอกลับยื่นคืนให้เขา “มิ้นรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ คงจะแพงน่าดู”
“ไม่แพงอย่างที่มิ้นคิดหรอกครับ ราคามันเบาๆ สบายกระเป๋าจะตายไป ผมตั้งใจซื้อมาฝากรับไว้เถอะครับไม่งั้นผมคงเสียน้ำใจแย่” เขาไม่รับของฝากนั้นคืน เอื้อมมือมาหยิบกล่องกำมะหยี่แล้วหยิบสร้อยคอออกมาจากกล่อง “เดี๋ยวผมสวมให้นะครับ”
ยุทธนาไม่รอให้รวิษาปฏิเสธ เขาเดินมาหยุดซ้อนทับด้านหลังของหญิงสาว ก่อนจะสวมสร้อยคอบนลำคอของเธอ รวิษาไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะไม่ต้องการให้เขาเสียน้ำใจ จึงยืนนิ่งให้เขาทำตามความตั้งใจ โดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งเดินมาเห็นภาพนั้นพอดี
“ฉันนึกว่านายหายไปไหน ที่แท้มาอยู่ในครัวนี่เอง” เสียงของอัคราดังก้องห้องครัว มองไปยังทั้งคู่ด้วยสายตาที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึก แต่รวิษารู้ดีว่าแววตาคู่นั้นบอกถึงความไม่พอใจ
“พอดีฉันเอาของฝากให้มิ้นน่ะ” ยุทธนาตอบเพื่อนสนิท
“เธอก็เตรียมอาหารให้มันเร็วๆ หน่อยมิ้น ฉันกินข้าววันนี้นะไม่ใช่กินพรุ่งนี้ มัวแต่ยืนอิดออดอยู่ได้” อัคราส่งเสียงดุใส่รวิษา
“ค่ะๆ คุณโอมไปรอที่โต๊ะได้เลยค่ะ มิ้นอุ่นกับข้าวเสร็จพอดีค่ะ” แม่ครัวสาวเอ่ยบอก รีบหันไปจัดการตักต้มยำกุ้งและต้มจืดใส่ชาม
“นายออกไปรอที่โต๊ะอาหารก่อนไป เดี๋ยวฉันจะช่วยมิ้นยกกับข้าว”
“ก็ตามใจ เร็วๆ ล่ะไม่ใช่มัวแต่ยืนจีบกันอยู่” อัคราอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม
“บ้าน่าโอม ฉันไม่ได้คิดอย่างนี้นซะหน่อย” ยุทธนาเถียงกลับทันควัน มองเพื่อนอย่างไม่ชอบใจ
“ฉันก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง นายก็ทำเป็นจริงจังไปได้ ฉันไปก่อนล่ะแล้วก็ตามมาเร็วๆ ด้วย ฉันหิว” พูดจบอัคราก็หมุนตัวเดินไปยังห้องรับประทานอาหารทันที
“ไอ้โอมนี่มันน่าเตะปากจริงๆ พูดอะไรไม่คิด”
นายแพทย์หนุ่มพูดไล่หลังเพื่อนสนิท
“คุณโอมคงหิวน่ะค่ะ ก็เลยพูดไปเรื่อย คุณเอกอย่าถือสาคุณโอมเลยนะคะ” รวิษาไม่คิดโกรธอัครา หนำซ้ำยังพูดแก้ตัวให้อีกด้วย
“โมโหหิวว่างั้น” ยุทธนาทำเสียงสูง “ผมว่าเรารีบยกกับข้าวไปตั้งโต๊ะกันดีกว่านะครับ ก่อนที่โอมมันจะโมโหหิวรอบสองแล้วมาพูดจาหมาไม่รับประทานอีก”
“ค่ะคุณเอก” สิ้นเสียงหวาน ยุทธนากับรวิษาก็พากันเดินถือชามอาหารคนละชามออกไปจากห้องครัว ตรงไปยังห้องทานอาหารที่มีร่างของเจ้าของบ้านและเพื่อนอีกสามคนนั่งรออยู่
“ไม่ได้เจอมิ้นตั้งนานคิดถึ๊งคิดถึง” ศักดิ์ชัยเพื่อนจอมเจ้าชู้พูดหมาหยอกไก่ใส่รวิษา อีกฝ่ายพนมมือไหว้เพื่อนของอัคราหลังจากที่วางชามอาหารลงบนโต๊ะ
“สวัสดีค่ะคุณชัย คุณมาร์ค คุณเต้”
“สวัสดีครับน้องมิ้น” คุณเต้หรือวรวิชย์ทักทายกลับ
“สวัสดีจ้ะน้องมิ้น แหมสวยขึ้นเป็นกองเลยนะ” คุณมาร์คหรือศุรเดชทักทายสาวน้อยหน้าหวานเป็นคนสุดท้าย
“พวกนายจะทักทายเด็กในบ้านฉันอีกนานมั้ย ฉันหิวข้าวแล้วนะ” เสียงของอัคราดังฝ่ารอยยิ้มของเพื่อนสนิททั้งสี่คนที่แทบหุบยิ้มไม่ทัน
“ฉันก็ทักทายตามปกตินั่นแหละ ว่าแต่ว่านายหิวมาจากไหนเนี่ยถึงได้โมโหหิวขนาดนี้” ศักดิ์ชัยพูดขึ้น
“ก็หิวมาจากที่ทำงานไงล่ะ”
อัคราตอบกลับแบบกวนๆ เก็บกักอารมณ์ไว้เต็มที่ “ตักข้าวได้แล้วมัวแต่ยืนเซ่ออยู่ได้” ก่อนจะหันไปตวาดรวิษาที่รีบเดินไปหยิบโถใส่ข้าว ใช้ทัพพีตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานอัคราและทุกคนบนโต๊ะ เหล่าเพื่อนๆ เมื่อเห็นทีท่าของอัคราก็ไม่คิดจะกวนน้ำให้ขุ่น ลงมือรับประทานอาหาร สนทนาในเรื่องสัพเพเหระ โดยมีรวิษากับแก้วคอยบริการชายหนุ่มทั้งห้าอยู่ใกล้ๆ