วันต่อมาทุกคนต่างเตรียมตัวเดินทางไปยังเกาะไหง การเดินทางในครั้งนี้ทั้งหมดจะนั่งเรือเร็วหรือที่เรียกติดปากกันว่าเรือสปีดโบ๊ทแบบสามเครื่องยนต์ ที่ติดต่อเช่าเหมาลำจากท่าเรือหาดนพรัตน์ตรงดิ่งไปยังเกาะไหง แต่ระหว่างทางจะแวะชมความงามชายหาดขาวสะอาดของหมู่เกาะลันตา และทานอาหารเที่ยงที่นั่น ก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง
“เอ๊ะ!ทำไมโอมยังไม่ลงมาเนี่ย จวนจะไปแล้วนะ” อินทุอรนึกสงสัยจึงเอ่ยขึ้นมา เพราะปกติแล้วอัคราเป็นคนตรงต่อเวลาคนหนึ่ง
“เดี๋ยวอาร์มไปดูให้ครับคุณแม่” อัคคินขันอาสา
“ไม่ต้องจ้ะ แม่ไปดูเองดีกว่า”
นางกลัวว่าหากให้อัคคินไปตามอัครา อาจจะถูกผู้เป็นพี่พูดจาเหน็บแนม หรือไม่ก็อาจถูกมือเท้าของอัครามาประทะร่างกาย จะให้รวิษาไปตามก็ได้ แต่อินทุอรเห็นว่าเธอกำลังช่วยมานะยกกระเป๋าขึ้นรถตู้ นางคิดว่าไปเองน่าจะดีที่สุด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“โอม โอมเสร็จหรือยังลูก เราต้องไปกันแล้วนะ” อินทุอรเคาะประตูเรียก พร้อมกับตะโกนพูด
“...” นั่นคือสิ่งที่นางได้รับกลับมา นางจึงเคาะประตูและเรียกอีกครั้ง
“โอมได้เวลาเดินทางแล้วนะลูก โอมเปิดประตูหน่อยลูก”
อินทุอรพูดจบก็ยืนรอชั่วครู่ เผื่อว่าจะมีเสียงตอบรับกลับมา มันก็เป็นเช่นเดิม สิ่งที่นางรับรู้ยังคงเป็นความเงียบ นางจึงลองยกมือไปจับลูกบิดประตู แล้วหมุน
“ไม่ได้ล็อคประตูนี่นา” นางพูดกับตัวเอง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้อง ภาพที่นางพบก็คือ อัครายังนอนขดตัวอยู่เตียง
“ตายแล้วโอม ลูกยังไม่ตื่นไปอาบน้ำอีกหรือลูก เราต้องไปกันแล้วนะ” เสียงของอินทุอรเดินทางมาเข้าหูอัคราก่อนที่ตัวนางจะเดินมายังเตียงเสียอีก “ทำไมโอมยังไม่ตื่นอีกล่ะ ปกติโอมไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่ ไม่เคยให้แม่มาตามเลยสักครั้ง”
อินทุอรถามอัคราหลังจากที่ทรุดกายนั่งริมเตียง คนที่นอนขดตัวและนอนอยู่ในท่าตะแคง หันมามองหน้าผู้พูดช้าๆ
“คุณแม่ครับ...ผม” เขายังพูดไม่จบประโยค ร่างหนาก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ก้าวเท้าเดินแกมวิ่งไปยังห้องน้ำ ท่ามกลางความงุนงงของผู้เป็นแม่
อินทุอรนั่งรออยู่ตรงนั้นราวห้านาที ประตูห้องน้ำก็เปิดกว้าง ร่างของลูกชายเดินโซซัดโซเซมายังเตียง นางเห็นดังนั้นจึงรีบไปประคองร่างของอัครามายังเตียง พอถึงริมเตียงคนที่ทำท่าทำทางเหมือนคนไม่สบายก็ทิ้งตัวลงนอนทันที
“เป็นอะไรโอม ลูกเป็นอะไร?” อินทุอรถามอย่างร้อนใจ สีหน้าเป็นห่วงเพราะท่าทางของอัคราดูไม่ดีเลย
“ผมท้องเสียครับคุณแม่ เป็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ป่านนี้ยังไม่หายเลย” เสียงโรยแรงตอบ
“ไปหาหมอดีกว่านะลูก หน้าโอมไม่ค่อยดีเลยซี้ดซีด” ยิ่งนางเห็นหน้าของลูกชาย นางยิ่งร้อนใจและเป็นห่วง กลัวว่าอัคราจะช็อคขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นครับ” คนป่วยงอแง
“มันจะหายเองได้ยังไงล่ะโอม คนไม่สบายก็ต้องไปหาหมอสิ เดี๋ยวแม่ไปตามมานะมาช่วยพยุงโอมดีกว่า” นางเห็นลูกชายอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้ ยืนกรานจะพาอัคราไปพบแพทย์ให้ได้
“ไม่ต้องครับคุณแม่ คุณแม่กำลังจะไปเกาะไหงไม่ใช่เหรอครับ คุณแม่กับคุณพ่อไปกันเถอะครับ ไม่ต้องห่วงผม”
“แม่ไม่ได้เป็นคนห่วงเที่ยวขนาดนั้นนะโอม ถ้าให้แม่เลือกระหว่างเที่ยวกับโอม แม่เลือกโอมนะ” อินทุอรยังไม่ละความตั้งใจ เรื่องเที่ยวสำคัญน้อยกว่าอัครา เพราะคิดว่าเที่ยวเมื่อไหร่ก็เที่ยวได้
“อย่าเลยครับคุณแม่ คุณแม่ไปเที่ยวตามกำหนดเถอะครับ”
“ไม่ได้ แม่ไม่ยอม แม่จะพาโอมไปหาหมอ” นางก็ดื้อไม่แพ้กับอัครา
“เมื่อกี้ผมเพิ่งทานยาแก้ท้องเสียไป อีกสักครู่คงดีขึ้นครับ คุณแม่ไปเที่ยวเถอะครับ”
“แม่ไม่ไปไหนทั้งนั้น แม่จะยกเลิกไปเกาะไหง” อินทุอรตัดสินใจในที่สุด
“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ โปรแกรมการเที่ยวยังเหมือนเดิม ผมขอพักที่นี่ต่อสักคืน พรุ่งนี้ผมจะนั่งเรือตามคุณแม่ไปที่เกาะไหงนะครับ อย่าให้ผมเป็นตัวถ่วงของใครเลย มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างเราก็จัดโปรแกรมการท่องเที่ยวเอาไว้แล้วด้วยอย่าให้เสียเที่ยวเลยนะครับคุณแม่ นานๆ ทีเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไปเที่ยวตามกำหนดเดิมนะครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะตามไปสมทบ” อัคราหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับการเที่ยวในครั้งนี้
“จะเอาอย่างนั้นเหรอโอม?” คำพูดของอัคราทำให้นางไขว้เขว่
“เอาอย่างนี้แหละครับคุณแม่ เป็นทางออกที่ดีที่สุดด้วย อีกข้อนะครับถ้าผมไม่รู้ตัวเองดีว่าเป็นมากน้อยแค่ไหน ผมคงไม่พูดออกไปอย่างนั้นหรอกครับ ผมแค่ท้องเสียนะครับคุณแม่ไม่ได้เป็นนักหนาอะไร กินยาแก้ท้องเสียซักสองเม็ด แล้วตามด้วยเกลือแร่แก้อาการท้องเสียอีกสักสองซอง ผมก็หายแล้วครับ รับรองว่าพรุ่งนี้ผมแข็งแรง พาคุณพ่อ คุณแม่และทุกค**ำน้ำได้แน่นอนครับ”
อัคราพยายามพูดให้มารดาคลายความเป็นห่วง ซึ่งอีกฝ่ายก็ลดความเป็นห่วงลงแต่ก็ไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะไม่มีแม่คนไหนไม่เป็นห่วงลูก
“แม่จะให้มานะอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกันนะเพราะป้าพันกับหลานชายบอกแม่ว่าจะไปทำธุระที่ตรัง คงอยู่ดูแลโอมไม่ได้”
ป้าพันคือคนที่ดูแลบ้านหลังนี้ระหว่างที่ไม่มีคนมาพัก และเวลานี้ป้าพันกับหลานก็เดินทางไปทำธุระที่จังหวัดตรังกว่าจะกลับก็วันพรุ่งนี้ นางจึงให้มานะดูแลอัครา คนที่ท้องเสียได้ยินดังนั้นจึงโต้กลับทันที
“ไม่ได้ครับคุณแม่ มานะต้องอยู่ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ผมไม่ปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่เดินทางไปโดยไม่มีมานะหรอกครับ ผมเป็นห่วง เผื่อใครเมาคลื่นเมาเรือมานะจะได้ดูแล”
เลือดกตัญญูสูบฉีดภายในร่างกายของอัครา กล่าววาจาแสดงความห่วงใยบุพการีเต็มที่
“ถ้าอย่างนั้นแม่อยู่เป็นเพื่อนเอง แม่จะให้โอมอยู่คนเดียวแม่ก็เป็นห่วง” นางหาทางออกได้เสมอ
“คุณแม่ดูแลผมแล้วคุณพ่อใครจะดูแลล่ะครับ คุณพ่อยิ่งห่างคุณแม่ไม่ได้ด้วย ผมอยู่คนเดียวได้ครับคุณแม่ ผมโตแล้วนะครับอายุสามสิบห้าไม่ใช่ห้าขวบนะครับ” อัคราพูดอีกก็ถูกอีก ตั้งแต่อินทุอรใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับอรรคเดช ทั้งสองแทบจะไม่ห่างกายกันเลย ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา อีกทั้งอายุของอัคราก็มากพอที่จะดูแลตัวเอง นางน่าจะหมดห่วงตามที่อัคราพูด แต่สำหรับคนเป็นแม่ความเป็นห่วงไม่เคยหลุดออกไปจากจิตใจของผู้เป็นแม่ ต่อให้ลูกอายุมากแค่ไหน ความรู้สึกนี้ก็ยังฝังแน่นไม่เปลี่ยนแปลง
ระหว่างที่อินทุอรกำลังคิดไม่ตกว่าจะให้ใครอยู่ดูแลอัครา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้ง ตามด้วยเสียงของใครบางคนที่ทำให้ใบหน้าของอินทุอรเกิดรอยยิ้ม
“เข้ามาเลยมิ้น” นางเอ่ยบอกเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่หน้าห้อง ไม่กี่อึดใจร่างของรวิษาก็เดินเข้ามาในห้อง เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นอัครานอนอยู่บนเตียง ทั้งที่เวลานี้เขาน่าจะแต่งตัวเสร็จแล้ว
“คุณลุงให้มาเรียกคุณป้าค่ะ” รวิษาเอ่ยบอกอินทุอร
“คุณแม่ไปเถอะครับ ผมอยู่คนเดียวได้ไม่ต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน กินยาอีกรอบเดี๋ยวก็หายครับ” คนที่ท้องเสียพูดเสียงเบา ทำท่าทำทางระโหยโรยแรง
“คุณโอมเป็นอะไรคะคุณป้า?” รวิษาเอ่ยถามอินทุอรหลังจากสิ้นเสียงของชายที่ตนแอบหลงรัก
“โอมท้องเสียจ้ะมิ้น ยังไม่หายดีเลย จะให้ฉันทิ้งโอมไว้ที่นี่คนเดียวก็เป็นห่วง ป้าพันกับหลานก็ไม่อยู่ด้วย ครั้นจะไม่ไปเที่ยวโอมก็ไม่ยอมอีก ให้มานะมาอยู่เป็นเพื่อนก็อ้างว่ามานะต้องดูแลฉันกับคุณพี่โอมก็เลยบอกว่าให้ฉันล่วงหน้าไป ขอนอนพักสักคืนพรุ่งนี้จะตามไปสมทบที่เกาะไหง” อินทุอรถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี