“ไม่ต้องขอโทษ”
พ่อหมอตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะพูดต่อ
“เพราะข้าเข้าใจ ว่าทำไมเอ็งถึงรู้สึกแบบนี้”
ขวัญเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่โล่งใจที่ไม่โดนโกรธ
“ข้าจะให้พ่อแม่กลับไปก่อน”
“แล้วพวกท่านจะเข้าใจไหมคะ?”
“ทุกคนจะเข้าใจ เอ็งไม่ต้องคิดมาก”
แม้จะรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่คำปลอบโยน แต่ก็แอบคิดในใจ ว่าผู้ใหญ่คงไม่ปลื้มกับการกระทำของเธอ ทว่าจะให้ฝืนกลับไปสู้หน้ากัน เธอก็ทำไม่ได้อยู่ดี นี่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“หิวไหม?”
“ไม่หิวค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน เพราะเอ็งยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
พูดจบพ่อหมอก็สตาร์ทรถ แล้วขับพาไปที่ร้านอาหาร ซึ่งร้านที่พามาเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ไม่ได้หรูหรา แต่เธอกลับชอบแบบนี้มากกว่าไปนั่งกินบนห้าง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีเงิน แต่เราไม่จำเป็นต้องไปผลาญเงินเขา ให้ดูเป็นผู้หญิงไม่ดี
“เรื่องค่าเทอมของน้องๆ เอ็ง ข้าจัดการให้แล้วนะ”
จู่ๆ พ่อหมอก็พูดเรื่องนี้ ขณะที่เธอกำลังกินก๋วยเตี๋ยว
“โทรศัพท์ของเอ็งเปิดได้แล้ว ข้าเลยถือวิสาสะเอาเลขบัญชี ที่เอ็งเมมเอาไว้ในบันทึก โอนให้น้องของเอ็งทั้งสองคน”
พอได้ยินประโยคนี้ เส้นเล็กถึงกับร่วงจากตะเกียบ
“ข้าโอนให้คนละห้าแสน”
“ฮะ!”
“รึไม่พอ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่พอค่ะ แต่ทำไมต้องโอนไปเยอะขนาดนั้น ไม่ใช่สิ ทำไมถึงโอนโดยที่ไม่ถามความเห็นของขวัญก่อนเลย”
“แล้วเอ็งจะมาโกรธข้าทำไม ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้” พ่อหมอสวนกลับเมื่อเห็นว่าเธอชักสีหน้าใส่
“แต่ก่อนจะจัดการ ก็ควรคุยกันก่อนไหม?”
“หางเสียงไปไหน?”
“ขอโทษค่ะ แต่เรามาเคลียร์เรื่องนี้กันก่อน”
แม้จะไม่ได้ตะคอก แต่บทสนทนาดังกล่าว ดึงสายตาของคนในร้านให้หันมามองเราสองคน ที่กำลังปะทะคารมกัน
“เหอะ! นี่เอ็งจะโกรธข้าด้วยเรื่องนี้รึ?”
“ไม่ได้โกรธค่ะ แค่ไม่ชอบให้ทำแบบนี้”
“แล้วข้าต้องทำแบบไหนเอ็งถึงจะพอใจ?”
“ดึงเงินคืนค่ะ”
“ไม่ ข้าถือคติโอนแล้วโอนเลย”
“แต่มันเยอะไป”
“เยอะตรงไหน?”
“เออ พ่อหนุ่ม แม่หนู”
คุณป้าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว เข้ามาช่วยห้ามศึก
“ใจเย็น แล้วค่อยพูดค่อยจากันดีกว่านะ เชื่อป้า”
“ขวัญไม่น่ารีบจดทะเบียนสมรสเลย”
“เอ็งพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง!?”
พ่อหมอเริ่มโกรธจนหน้าแดง เธอเลยลุกขึ้นยืน
“เราไปหย่ากันไหมคะ?”
“โอ๊ย! เดี๋ยวก่อนแม่หนู อย่าเพิ่งร้าวฉานกันเลย”
คุณป้าร่างท้วม พยายามเบรกอารมณ์ให้ผ่อนลง
“ข้าไม่หย่า!”
พ่อหมอปฏิเสธ พร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะควักเงินจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว แล้วเดินกลับไปขึ้นรถตนเอง
พอคนตัวเล็กตามไป หวังจะคุยกันเรื่องนี้ กลับได้รับความเงียบแทนการพูดคุย และเป็นแบบนี้ลากยาวไปจนถึงบ้าน พิธีกรรมที่บอกว่าจะทำให้ก็ไม่ยอมพูดถึง กลับมาปุ๊บ ก็เดินขึ้นไปที่ห้องพระ แล้วเก็บตัวอยู่ในห้องนั้น จนตะวันตกดิน
แต่ถึงอย่างนั้น ขวัญยังคงนั่งรออยู่ตรงระเบียงหน้าบ้าน พลางเบือนสายตาไปมองประตูห้องพระ ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน ทว่าบนชั้นสองมีทางให้เดินเข้าไปอีก หากเลี้ยวซ้าย
อย่างที่บอก ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านทรงไทย ที่มีขนาดใหญ่ และมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ทำให้ยังมีอีกหลายจุด ที่เธอยังไม่เคยเดินไปสำรวจอย่างจริงจัง จึงใช้โอกาสนี้ ลุกขึ้นแล้วทอดน่องไปตามทาง ผ่านหน้าห้องพระไปจนถึงทางเลี้ยว
เอี๊ยด อ๊าด…
จู่ๆ ก็มีเสียงเหยียบย่างบนพื้นไม้ แต่ไม่ได้เกิดจากเท้าเล็ก ทว่าเสียงนั้น ดังมาจากทางเลี้ยวที่กำลังจะเดินไปดู เมื่อยื่นหน้าไปสอดส่อง จึงพบว่ามีบันไดให้เดินลงไปอีก ตอนแรกเธอกะว่าจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ เพราะทางที่จะไปต่อค่อนข้างมืด แต่จังหวะที่หันหลังกลับ มีบางสิ่งมาดลบันดาลใจให้ต้องไปต่อ พอคิดว่าจะไม่ไป ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกดึงรั้งเอาไว้
นั่นจึงทำให้หญิงสาว ตัดสินใจเดินลงไปตามขั้นบันได ซึ่งมีทั้งหมดสิบสามขั้นด้วยกัน ซึ่งปลายทางเป็นไปอย่างที่คิด
มืดสนิท ไร้แสงสว่าง มิหนำซ้ำยังมีกลิ่นเหม็นสาปแรงมากๆ เหมือนมีอะไรตายอยู่ข้างล่าง แต่ก่อนที่เธอจะเดินกลับขึ้นไปข้างบน ก็มีแรงกระชากคอเสื้อจากด้านหลัง ทำให้ล้มเสียหลัก ก่อนจะถูกลากไปตามทางเดิน แล้วพาเข้าไปในห้อง
พรึบ!
ร่างเล็กถูกปล่อยเป็นอิสระ อยู่กึ่งกลางห้อง ซึ่งภายในห้องนี้ มีการจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่างสีส้มสลัว ทำให้เห็นว่ารอบข้างมีโต๊ะบูชาเศียร แต่ไม่ใช่เศียรพ่อแก่หรือเศียรพ่อครูเหมือนที่อยู่ในห้องชั้นล่าง แต่เป็นเศียรยักษ์ ที่มีความน่ากลัว แววตาของทุกเศียร ขึงขัง แข็งกร้าว และมีไม่ต่ำกว่าร้อยเศียร
“อุบ!”
ระหว่างที่หญิงสาว กำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ดันเกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง ก่อนจะมีของเหลวกระอักออกจากริมฝีปาก กลายเป็นเลือด ที่มีก้อนเนื้อชิ้นเล็กผสมอยู่
“อึก อักกก!”
ร่างบอบบางกระตุกเกร็ง ขณะที่กำลังก้มหน้าอาเจียน และทุกครั้งที่มีการกระอักเลือด ในลำคอจะเกิดความรู้สึกเจ็บแสบทรมาน เหมือนมีใบมีดหลายเล่มเฉือนผนังเนื้ออยู่ข้างใน
ผลัก!
เสียงผลักประตู ดังแว่วในโสตประสาท ทว่าเธอกลับไม่สามารถหันไปมองได้ ราวกับว่าถูกล็อกคอให้นั่งกระอักเลือดอยู่ตรงนี้ แต่ในวินาทีต่อมา เริ่มได้ยินเสียงบทสวดดังอยู่ข้างกาย คล้ายกับเสียงของพ่อหมอ ก่อนที่ความเจ็บแสบจะบรรเทาลง และสิ้นสุดความทรมานตอนที่ถูกดึงเข้าไปกกกอด
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก!
คนตัวเล็กหอบหายใจเหนื่อย ขณะที่พวงแก้มเคลือบไปด้วยหยดน้ำตา แต่เมื่อเทียบกับความรู้สึกก่อนหน้านี้ กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตรงที่รู้สึกปลอดภัย ในอ้อมแขนของใครบางคนที่โอบกอดด้วยความหวงแหน และเป็นห่วงเป็นใย
“พะ พ่อหมอ…”
“เอ็งอย่าเพิ่งพูด”
เสียงทุ้มห้ามปราม ก่อนจะโอบอุ้มร่างบอบบาง พากลับขึ้นไปข้างบน เพื่อชำระล้างคราบเลือด ที่เปรอะเปื้อนบริเวณปลายคางหวาน ซึ่งตอนนี้เธอกลับมามีสติครบถ้วนแล้ว จึงจับข้อแขนแกร่งกร้าน แล้วหันไปเงยหน้ามองฝ่ายชาย
“เอ็งไม่ควรเข้าไปในห้องนั้น”
เจ้าของใบหน้าหล่อคม ตำหนิด้วยโทนเสียงเคร่งขรึม
ทว่าภาพที่เห็นต่อจากนั้น กลับมีใครอีกคนยืนซ้อนอยู่ ทำให้เธอไม่แน่ใจ ว่าสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วนจริงหรือเปล่า จึงสะบัดหัวเล็กน้อย แล้วเพ่งสายตามองอย่างตั้งใจ ถึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนซ่อนอยู่ในนั้นจริงๆ แม้ใบหน้าจะละม้ายคล้ายคลึงกับพ่อหมอ แต่การแต่งกายกลับแตกต่าง เขาไม่ได้สวมเสื้อ ทำให้เห็นว่าไม่มีรอยสักยันต์บนผิวกายล่ำสัน ส่วนช่วงล่างเขานุ่งเพียงโจงกระเบนสีกากี เหมือนกับคนสมัยก่อน
“ออเจ้าจะต้องเข้าพิธีกรรมนั้นหนา”
ชายผู้นั้น ขยับปากพูดด้วยโทนเสียงอ่อนโยน สีหน้าและแววตาของเขา เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ในแบบที่เธอไม่เคยเห็นจากผู้ชายคนไหนมาก่อน นั่นจึงทำให้หัวใจดวงน้อยๆ เริ่มเกิดอาการสั่นไหว ก่อนที่มือเล็กจะยกขึ้นสัมผัสแก้มตอบโดยอัตโนมัติ ทำให้ชายผู้นั้นเอียงใบหน้าหล่อ แนบชิดกับฝ่ามือขาวเนียน พร้อมกับหลั่งน้ำตาด้วยรอยยิ้มแห่งความคิดถึง
พรึบ…
และนั่นก็เป็นภาพสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง
เช้าวันต่อมา
หญิงสาวได้สติอีกครั้ง พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง โดยที่ไม่มีใครนอนอยู่ข้างกาย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่ติดตรงที่มีอาการปวดหัวนิดหน่อย แต่ยังสามารถลุกขึ้นนั่งได้ เมื่อคิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว จึงลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า
กรึบ~
เสียงเปิดประตูจากด้านนอก บ่งบอกว่ามีคนกลับเข้ามาในห้องแล้ว พอเธอทำธุระส่วนตัวเสร็จสสรพ จึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอน พร้อมกับได้กลิ่นหอมๆ ของข้าวต้มในยามเช้า และคนที่ถือขึ้นมาก็ไม่ใช่ใคร นอกเสียจาก พ่อหมออาคม
“เป็นยังไงบ้าง?”
“พ่อหมอหมายถึง…?”
“ข้าหมายถึงอาการของเอ็ง รู้สึกปวดหัวรึปวดตรงไหนให้บอก ข้าจะได้เตรียมยา” เจ้าตัวพูดพลางส่งสายตา ให้เธอกลับไปนั่งที่เตียง เพื่อที่เขาจะได้ตักข้าวต้มใส่ถ้วยเล็กให้ทาน
“ขวัญแค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ ก่อนจะย้ายร่างกลับไปนั่งบนเตียง แล้วชะเง้อคอมองฝ่ายชายตักข้าวต้มหมูในหม้อ ที่ดูน่ากินมากๆ และตอนนี้กระเพาะของเธอกำลังบอกว่าหิวสุดๆ
“หิวใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นข้ายังไม่ให้กิน จนกว่าเอ็งจะตอบตกลง”
พ่อหมอเริ่มมีข้อต่อรอง ก่อนจะวางถ้วยเล็กลงบนโต๊ะ แล้วหันกลับมายืนแนบชิดอยู่เบื้องหน้า จนซิกซ์แพ็กทั้งแปดก้อน แทบจะแนบกับดวงหน้าอ่อนเยาว์ ซึ่งปกติเขาก็ถอดเสื้อเดินไปมาในบ้านของตัวเองอยู่แล้ว แต่พอได้จ้องมองในระยะประชิด เธอกลับรู้สึกเขินๆ เพราะหุ่นเขาดี แถมกล้ามเนื้อแน่น
“มองหน้าข้า”
ไม่พูดเปล่า แต่งอนิ้วชี้เชิดปลายคางหวานให้เงยหน้าขึ้น เพื่อสบสายตากับคนตัวสูง ที่ยืนมองด้วยสายตาราบเรียบ
“เอ็งต้องเข้าพิธีกรรมภายในคืนนี้”
“อ่า…”
“ทำไม เอ็งติดปัญหาตรงไหนอีก?”
“ถ้าให้พูดตามตรง ขวัญยังติดปัญหาเรื่องที่เรายังไม่ได้เคลียร์กันเมื่อวานนี้ค่ะ” เธอไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เพราะมันเป็นสิ่งที่อธิบายยาก ทว่าเรื่องการโอนเงิน เธอต้องพูดคุยกับพ่อหมอ อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เขาทำแบบนี้อีก
“ขวัญเข้าใจว่าพ่อหมออยากจะช่วย แต่เรื่องค่าเทอม ขวัญต้องโทรคุยกับน้องก่อน เพื่อให้ทั้งคู่จัดการกับเงินที่ได้ไป แต่ในจำนวนที่พ่อหมอโอน มันเยอะมาก ขวัญกลัวว่าน้องจะไม่ได้รับเงินส่วนนี้ แต่จะมีบุคคลที่สาม เอาเงินไปใช้จนหมด”
น้ำเสียงอ่อนน้อม อธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ อย่างที่รู้ๆ ว่าครอบครัวของเธอ ไม่เหมือนกับครอบครัวอื่น มีเพียงแค่เธอ ที่สามารถวางระบบเงินของน้องๆ ได้ แต่เรื่องการดึงไปใช้ หากโอนสุ่มสี่สุ่มห้า ด้วยจำนวนเงินที่มากมายขนาดนั้น ไม่มีทางรอดพ้นสายตาของผู้ปกครอง โดยเฉพาะน้องชายที่อาศัยอยู่กับพ่อ ถ้าพ่อเห็นว่ามีเงินเข้าขนาดนี้ คงเอาเงินไปใช้หนี้ แถมเอาส่วนที่เหลือไปเล่นพนันต่อ มีแต่เสียกับเสียทั้งนั้นเลย
“ข้าเข้าใจเอ็งแล้ว แต่ให้ดึงเงินกลับตอนนี้คงไม่ทัน”
อ่า…ก็คิดว่าคงเป็นอย่างนั้น ปานนี้พ่อคงถอนเงินออกไปหมดแล้ว ส่วนแม่ เธอไม่มีทางรู้เลย ว่าจะเอาเงินไปใช้กับลูกคนใหม่หรือเปล่า เพราะทางนั้น เหมือนจะมีปัญหาเรื่องการเงินพอสมควร เธอต้องโทรไปถามน้องๆ อีกทีว่ายังไง
“เอ็งเครียดเรื่องนี้ใช่ไหม?”
“ค่ะ แล้วก็เกรงใจด้วย เพราะเงินนั้นเป็นของพ่อหมอ”
“ไม่ใช่ของข้าคนเดียว แต่เป็นของเราต่างหาก ตอนนี้เอ็งเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของข้า เงินของข้าก็คือเงินของเอ็ง น้องของเอ็งก็คือน้องของข้า ฉะนั้นเอ็งไม่ต้องเครียด ถ้ามีคนเอาเงินพวกนั้นไปใช้ ก็ปล่อยให้มันเอาไป ส่วนค่าเทอมของน้องเอ็ง ข้าจะโอนไปที่สถานศึกษา เอ็งว่าดีไหม”
พ่อหมอถามความเห็น พลางเลื่อนฝ่ามือหยาบใหญ่ สัมผัสบริเวณท้ายทอยเล็ก แล้วค่อยๆ ออกแรงบีบนวดเบาๆ ให้เกิดความผ่อนคลาย ผสมผสานกับความรู้สึกวูบไหว ทว่าครั้งนี้ เขาทำให้ร่างกายของเธอ อ่อนยวบลงไปนอนราบบนเตียง ก่อนที่กายแกร่งจะโน้มลงมาใกล้ ทั้งที่มือยังคงนวดคลึง
“ข้าจะให้เอ็งกินข้าว แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำ ข้าจะไม่รีรอหรือหยุดกลางคันเด็ดขาด” พ่อหมอเค้นเสียงแหบพร่า อย่างอดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะเคลื่อนมือออกไป แต่นั่นกลับทำให้เธอรู้สึกเสียดาย เพราะสัมผัสก่อนหน้าทำให้เคลิบเคลิ้ม