บทที่ 6 : ไม่ชอบพ่อหมอ

1949 คำ
“แล้วทำไมเอ็งถึงยังรั้น ไม่ยอมฟังคำเตือนของข้า” “น้องๆ อาจจะแค่หิว…” “เอ็งอย่าเพิ่งสอด ข้ากำลังรอคำตอบจากไอ้ปราบ” พ่อหมอใช้โทนเสียงขึงขัง จนเธอต้องหุบปากเงียบ “ผมขอโทษครับพ่อหมอ ผมผิดเองที่ไม่ฟังคำเตือน” ปราบหันไปวางกระป๋องมาม่า แล้วยกมือไหว้ พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ เพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันก็ทำตาม ราวกับว่านี่เป็นเรื่องซีเรียส ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายพ่อหมอก็ยอมยกโทษให้ แล้วเดินเข้าไปกดบ่าเด็กหนุ่มทั้งสอง ก่อนจะท่องบทสวดพึมพำ แล้วรีบไล่ให้ทั้งคู่กลับบ้านไป “ผ้าในมือเอ็ง ไม่คิดจะตากรึไง?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม หลังจากที่เด็กทั้งสองคนกลับไปแล้ว พรึบ~ คนตัวเล็กเดินไปสะบัดผ้าหน้าราวไม้ โดยที่ไม่ไถ่ถามว่าเมื่อตะกี้เกิดอะไรขึ้น กายแกร่งเปลือยอกจึงตามมาซ้อนหลัง แล้วมองการกระทำของฝ่ายหญิง ที่หมางเมินต่อคำถาม “เอ็งหิวข้าวไหม?” พรึบ พรับ! สะบัดเสื้อเต็มแรง จนน้ำกระเซ็นเต็มหน้า “รึเอ็งโกรธข้าอยู่?” ยังคงไม่ตอบ แต่ยกมือขึ้นลูบน้ำบนใบหน้า “เวลาข้ากำลังตักเตือนใคร เอ็งไม่ควรพูดแทรก เพราะข้าต้องเป็นคนที่ถืออำนาจเหนือ ถ้าข้าปล่อยให้เอ็งแก้ตัวแทนเด็กสองคนนั้น เกิดพวกมันจะได้ใจ ใช้เอ็งเป็นเกราะกำบัง แล้วทีนี้ใครจะเชื่อฟังข้ากันละ” คำพูดที่มีเหตุมีผล ทำให้ขวัญเลิกสะบัดผ้าแรงๆ แล้วหันกลับไปมองคนตัวสูงที่ยืนมองตอบ “ในตู้เย็นมีของสดไหมคะ?” “มี เอ็งหิวใช่ไหม?” “ค่ะ ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย” “อืม งั้นตากผ้าเสร็จก็ไปนั่งรอ เดี๋ยวข้าผัดข้าวให้กิน” “เดี๋ยวขวัญผัดกินเองก็ได้ พ่อหมอขึ้นห้องนอนเถอะ” “ข้าจะรอจนกว่าเอ็งจะขึ้น” “ทำไมคะ?” “ถ้าข้าตอบว่าอยากนอนกอดเอ็ง เอ็งจะเชื่อข้าไหม?” “เชื่อค่ะ แต่คงให้นอนกอดไม่ได้” “ทำไม?” ถามพร้อมกับใน้มใบหน้าหล่อคมลงมาใกล้ๆ “ขวัญไม่ได้ชอบพ่อหมอค่ะ” “แล้วไง?” “ก็ไม่แล้วไงค่ะ แต่ปกติคนเราถ้าไม่ได้ชอบกัน ไม่ควรนอนกอดกันนะคะ จริงๆ แล้วไม่ควรนอนห้องเดียวกันด้วยซ้ำไป” พูดจบก็ก้มลงไปตากเสื้อใน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัว “เอ็งบอกเองไม่ใช่รึไง ว่าไม่มีใครอยู่ข้างเอ็ง” “แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงเหรอคะ?” ถามคนที่เดินตามหลัง โดยที่ไม่หันไปมอง เพราะต้องเปิดตู้เย็นเช็กดูของสด ว่ามีอะไรพอที่จะทำกับข้าวกินได้บ้าง และแน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะนึกถึงเด็กสองคนนั้น ในเมื่อมาม่ายังเหลืออยู่เต็มกระป๋อง แสดงว่าน้องๆ อาจจะยังหิวอยู่ “ข้าช่วยเหลือเอ็งได้ และข้าก็ให้ในสิ่งที่เอ็งต้องการได้ทุกอย่าง” คำพูดเหล่านั้น ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ถึงกับเลิกคิ้ว “แล้วทำไมต้องให้ขวัญทุกอย่างด้วยคะ?” เธอหันกลับไปถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ข้าก็แค่อยากช่วยเหลือเอ็ง” “แล้วทำไมต้องช่วย เพราะสงสารเหรอคะ?” “ส่วนหนึ่ง” “งั้นไม่เป็นไรค่ะ แค่พ่อหมออธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรอบข้างขวัญก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ขวัญคิดว่าขวัญยังช่วยตัวเองได้ค่ะ” หญิงสาวแสดงความเข้มแข็ง โดยการไม่ขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แม้ปัญหาในชีวิต จะวนเวียนอยู่รอบด้าน แต่เธอคิดว่าเธอยังไหว “ข้าเชื่อว่าเอ็งช่วยตัวเองได้ แต่เอ็งจะเหนื่อยมากนะ” “ขวัญเหนื่อยมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้วค่ะ แค่นี้ไม่เท่าไหร่” “อย่าทำเป็นเก่ง” ขวัญตอบโต้ด้วยรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะหันไปหยิบหมูสดในกล่อง ออกมาทำกับข้าว รวมถึงผักกะหล่ำที่อยู่ในช่องล่าง น่าจะทำผัดผักกับหมูทอดกระเทียมได้ ส่วนข้าวสารที่มีก็นำมาหุง ยังดีที่บ้านนี้ มีหม้อหุงข้าว เลยลดทอนความยุ่งยาก หญิงสาวใช้เวลาทำกับข้าวไม่นาน เพราะชินมือจากร้านอาหารตามสั่ง ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ทำกับข้าวเสร็จ เหลือแค่รอให้ข้าวสุก ก็สามารถตักแบ่งไปให้เด็กสองคนนั้นกินด้วยได้ “พ่อหมอจะทานข้าวไหมคะ?” ขวัญเอ่ยถามอย่างสุภาพ เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่า “ข้าไม่กินเวลานี้ เอ็งกินไปเลย” “งั้นเดี๋ยวขวัญมานะคะ ขอเอาข้าวไปให้น้องๆ ก่อน” “ไม่ต้อง เอ็งนั่งกินไป เดี๋ยวข้าเอาไปให้พวกมันเอง” “เอาไปให้แน่นะคะ?” เธอพูดพลางหรี่ตาเล็กน้อย แต่รู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็เอาไปให้ แค่อยากแกล้งเล่นให้เห็นคิ้วเข้มขมวดเป็นปลิงเกาะ “เอ็งคิดว่าข้าใจร้ายนักรึไง?” “พ่อหมอไม่ได้ใจร้ายหรอกค่ะ แค่ปากร้ายไปนิดหนึ่ง” พอได้ยินประโยคนั้น คิ้วเข้มก็เริ่มขมวดเป็นปลิงสมใจ “หยอกเล่นนะคะ” “หึ…” เค้นเสียงขำในลำคอ ก่อนจะเดินไปยืนกอดอกหน้าหม้อหุงข้าว แล้วรอจนกว่าข้าวจะสุก ถึงจะตักใส่จานมาให้เธอเป็นคนแรกแล้วค่อยตักใส่ถ้วยใหญ่ไปให้เด็กๆ กินด้วย ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าพ่อหมอจะกลับมาถึงบ้าน ซึ่งเธอกินข้าว ล้างจาน และเก็บของในห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยเดินขึ้นห้องพร้อมกัน ทว่ามีบางสิ่งที่แปลกไป ตรงที่พ่อหมอไม่พูด ไม่จา มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างชัดเจน “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” พ่อหมอไม่ตอบ มิหนำซ้ำ ยังเดินดิ่งเข้าไปในห้องนอน เธอจึงใช้โอกาสนี้ นั่งตรงระเบียงหน้าห้อง แทนที่จะตามเข้าไป เพราะไม่คิดจะนอนร่วมเตียงอยู่แล้ว เลยนั่งรอตรงนี้ดีกว่า “ฮัดชิ่ว!” พอนั่งตากน้ำค้างนานๆ อาการไข้หวัดก็เริ่มตามมา แต่ปกติแล้ว เธอค่อนข้างทนแดดทนฝนมากๆ ทำงานตากฝนสองวันติดก็เคยแล้ว แต่ช่วงนี้ กลับกระหม่อมบางขึ้นมาซะงั้น “ฮัดชิ่ว!” กรึบบบ~ ประตูห้องถูกเปิดจากด้านใน ขณะที่กำลังฮัดชิ่วพอดี “มากินยาในห้อง” “ไม่ค่ะ เดี๋ยวพ่อหมอล่อซื้อ” “ล่อซื้ออะไรของเอ็ง?” เธอไม่ยอมขยายความกระจ่าง คนตัวใหญ่จึงเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าสายตาคมกริบกลับเหลือบไปมองด้านหลัง พอจะหันไปมองบ้างกลับถูกล็อกต้นคอด้วยมือหนา “อย่ามอง” “ทำไมคะ?” “เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟัง เอ็งเข้าไปรอในห้องก่อน” “ค่ะ” ขวัญตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะน้ำเสียงของฝ่ายชายดูจริงจัง และน่ากลัวมาก ราวกับเห็นสิ่งที่ไม่ดียืนอยู่หน้าบ้าน “อัตถิ ปิยะภะคะวะสะสิ ธัมโม วิเส สังวา เทวะเต…” เสียงบทสวดไล่หลัง ยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดนั้น ‘ถูกต้อง’ เช้าวันต่อมา เมื่อคืนหลังจากกลับเข้ามาในห้อง เธอก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ เพราะไม่กล้าขึ้นไปนอนบนเตียง แม้เตียงจะใหญ่เกือบแปดฟุต และมีฝูกขาวหนานุ่มน่านอน แต่การขึ้นเตียงโดยที่เจ้าของยังไม่อนุญาต ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องนั่งหลับคาเก้าอี้จนถึงเช้า เพราะเจ้าของไม่ยอมกลับเข้ามา ครั้นจะออกไปตามบทสวดยังคงวนอย่างต่อเนื่อง “ฮัดชิ่ว!” และใช่ เธอยังไม่ได้กินยา เพราะไม่รู้ว่ากล่องใส่ยาอยู่ตรงไหน พยายามเดินหาก็แล้ว แต่ไม่เจอ เจอแต่ของสิ่งอื่นที่ดูแปลกตา และของบูชา ที่หน้าตาน่ากลัว เธอจึงหยุดค้นทันที กรึบบบ~ ประตูห้องนอนถูกเปิดอีกครั้ง ในช่วงเวลาแปดโมงเช้า “ทำไมเอ็งถึงไปนั่งอยู่ตรงนั้น?” พ่อหมอถามด้วยความสงสัย ทว่าแววตาคู่สวยกลับไล่มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพื่อเช็กดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า ถึงได้กลับเข้ามาเอาป่านนี้ แต่เท่าที่ดูก็ยังคงปกติดี “ข้าไม่เป็นอะไร” เสียงทุ้มพูดต่ออย่างรู้ความคิดของอีกฝ่าย “แล้วนี่กินยาแล้วรึยัง?” “ยังคะ ขวัญหากล่องยาไม่เจอ ฮัดชิ่ว!” มือเล็กรีบยกขึ้นปิดปาก เมื่อเกิดอาการจาม “แล้วทำไมไม่ออกไปถาม?” “อ่า ขวัญได้ยินพ่อหมอท่องบทสวดอยู่ เลย…” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว เอ็งรีบย้ายมานั่งรอบนเตียง” “ทำไมต้องย้ายไปนั่งรอบนเตียงด้วยละคะ?” “บอกให้มานั่งก็มานั่ง อย่าถามให้มันมากความ” พ่อหมอเอ็ดเสียงดุ ร่างเล็กจึงรีบย้ายบั้นท้ายงอนงามไปนั่งบนเตียงนุ่ม ซึ่งภายในห้องนี้ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ แต่บรรยากาศดีมากๆ มีลมพัดเย็นสบายจากหน้าต่าง พอเช้าหน่อยก็มีเสียงนกร้อง ให้ความเป็นธรรมชาติกว่าอยู่ที่บ้านอา “ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเอ็งหลายเรื่อง” หลังจากเดินไปหยิบยามาให้พ่อหมอก็พูดเข้าประเด็น “เรื่องแรก ผีที่ตามเอ็งมาจากบ้านร้าง” “…...” เงียบฟัง พร้อมกับกินยาไปด้วย “มันต้องการชีวิตเอ็ง แต่เอ็งโชคดีที่เป็นคนดวงแข็ง มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ และสิ่งที่ข้าพูดถึงก็ยังทำอะไรเอ็งไม่ได้” “ก็ยัง? หมายความว่าต่อไปจะทำได้เหรอคะ?” “อืม มันทำได้แน่ เพราะชะตาของเอ็งกำลังจะเปลี่ยน” “อ่า คงเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่ดีใช่ไหมคะ?” พ่อหมอพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วมองกำไลด้ายแดง “เอ็งต้องเข้าพิธี” “พิธีอะไรเหรอคะ?” “พิธีผูกชะตาชีวิต ไม่ใช่พิธีกรรมก่อนหน้านี้” “แล้วขวัญต้องผูกชะตาชีวิตกับใคร…” “กับข้าสิ เอ็งต้องผูกกับข้าเท่านั้น ถึงจะรอด” พ่อหมอพูดแทรก ก่อนที่เธอจะถามจบด้วยซ้ำ “รึเอ็งอยากผูกชะตากับชายอื่นที่ไม่ใช่ข้า” จู่ๆ ก็ยิงคำถามนี้ต่อ ทำเอาเธอหน้าเหวอหนัก “หากเป็นอย่างนั้น ข้าคงทำพิธีให้เอ็งไม่ได้” “อ่า ขวัญยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ” “แต่สายตาของเอ็งมันฟ้องว่าเอ็งไม่ต้องการข้า” ฮะ? พ่อหมอเขาเป็นอะไรอะ ตอนแรกก็ดูปกติดี ไปๆ มาๆ กลับพูดจาประชดประชัน แล้วตัดสินความคิดของเธอ หาว่าเธอไม่อยากผูกชะตากับเขา ทั้งที่เธอยังนั่งงงอยู่เลย ว่า ‘พิธีกรรมผูกชะตาชีวิต’ คืออะไร แล้วต้องทำยังไงบ้างในพิธี “หึ! แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเอ็งไม่ต้องการข้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ทันทีที่พูดจบ กายแกร่งก็เดินกระแทกส้นเท้าหนักไปหยิบผ้าขาวม้าผืนใหม่ ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ ปัง! ตามด้วยเสียงปิดประตูเต็มแรง จนบานไม้สักเกิดรอยแตกระแหงเป็นทางยาว ทำให้หญิงสาวที่เห็นภาพนั้น ถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธจัดถึงขั้นนี้ และที่สำคัญ คือเธอไม่รู้ว่าถูกโกรธเรื่องอะไร เพราะเธอยังไม่ได้ปฏิเสธพิธีกรรม มีแต่เขาที่คิดเองเออเองฝ่ายเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม