บทที่ 2 : ไม่ขอทำพิธี

1931 คำ
“ตอนนี้มีให้แค่หนึ่งแสน” “แล้วสองแสนที่เหลือ แกยังจะหามาให้พ่อใช่ไหม?” คำพูดฝากความหวัง ทำให้ลูกสาวถึงกับถอนหายใจ “อย่าเพิ่งถอนหายใจสิ แกเป็นความหวังสุดท้ายนะ” “เลิกพูดแบบนี้เถอะ” ลูกสาวสวนกลับ เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยที่ต้องแบกรับ “ขวัญไม่ใช่ความหวังของใครทั้งนั้น และเรื่องเงินสองแสน ขอไม่รับปากนะ ว่าจะหามาให้ เพราะเดือนนี้ขวัญต้องโอนค่าเทอมให้น้อง ส่วนเงินเก็บส่วนตัวแทบไม่พอยาไส้แล้ว” “จะไม่พอยาไส้ได้ยังไง ในเมื่ออาแกช่วยค่ากินอยู่” “ที่อานงช่วยเพราะขวัญทำงานแลก ไม่ได้ช่วยฟรีๆ” “แต่แกก็ทำงานเสริม คงมีรายได้พอตัว…” “นี่กะจะเก็บทุกเม็ดเลยใช่ไหม?” “อย่ามาพูดจาแบบนี้ ฉันเป็นพ่อของแกนะ” “เหอะ!” ลูกสาวพ่นลมหายใจออกปาก พยายามระงับอารมณ์โกรธ โดยการมองไปทางอื่น ขณะที่ผู้เป็นพ่อ ยังคงยืนคาดคั้น “ไม่รู้แหละ ยังไงแกก็ต้องหาเงินสองแสนมาให้ฉัน” “ไม่หา” และนี่เป็นครั้งแรกที่ขวัญปฏิเสธ เพราะไม่ไหวจริงๆ เพียะ! ผลที่ได้รับ คือโดนตบหน้าเต็มแรง จนเลือดกบปาก “ถ้าไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู ก็หาเงินมาให้ฉันซะ ก่อนสิ้นเดือนหน้าต้องได้เงินอีกหนึ่งแสน เข้าใจไหม!?” พ่อทิ้งท้ายด้วยประโยคคำสั่ง ก่อนจะเดินหัวเสียออกไปจากซอกตึก แล้วปล่อยให้ลูกสาวยืนจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกแย่ ที่บุพการีเป็นคนยัดเยียดมาให้ อย่างเลี่ยงไม่ได้ “ขวัญ” เสียงเรียกจากอานง ทำให้เจ้าตัวหันไปมอง “หน้าไปโดนอะไรมา แล้วทำไมถึงปากแตก?” อาสาวที่กำลังเก็บร้านในช่วงหกโมงเย็น เอ่ยถามด้วยด้วยความสงสัย ก่อนจะวางมีดอีโต้ในมือ แล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เพื่อพิจารณารอยแดงสี่นิ้วบนแก้มของหลานสาว “ที่บอกว่าจะไปทำธุระ คือไปมีเรื่องกับคนอื่นมาสินะ” หลานสาวไม่ตอบ แต่เหลือบไปมองสามีของอาสาว ที่ใช้สายตาลามกจ้องมองมา และเป็นแบบนี้มาตลอดห้าปีหลัง “เอาละ ฉันไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวของแกแล้ว แค่แกไม่ไปมีเรื่อง จนเดือดร้อนมาถึงฉันก็พอ แกก็รู้ใช่ไหม ว่าช่วงนี้เงินทองมันหายาก กว่าจะทำงานได้เงินแต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็น ทางที่ดี อย่าเอาเงินไปเสียให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง” อาสาวพร่ำสอน ก่อนจะเดินกลับไปเก็บร้านต่อ ระหว่างนั้น สายตากะลิ้มกะเหลี่ยยังคงไล่มอง เธอจึงอาศัยจังหวะ ที่อานงหันหน้าไปทางอื่น ชูนิ้วกลางใส่ไปหนึ่งที แต่แทนที่อีกฝ่ายจะสลด กับการกระทำที่โคตรจะสารเลว กลับยกยิ้มอย่างชอบใจ แถมยังตามมาส่องเดินขึ้นบันไดอย่างโจ่งแจ้ง จนบางครั้ง ก็อยากหนีไปให้พ้น จากบ้านหลังนี้ พรึบ! ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสามฟุต ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย และอยากจะทิ้งทุกอย่างไปซะ ทว่าบุญคุณและภาระยังติดพนักหลัง ทำให้เธอไม่สามารถทิ้งสิ่งไหนไปได้เลย กริ้งงง! เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์เครื่องเก่า บอกว่าต้องไปทำงานต่อ เพื่อเก็บเงินให้ได้มากกว่านี้ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า แต่ก็ต้องขุดตัวเองขึ้นจากเตียง เพื่อไปทำงานเสริมที่มินิมาร์ท ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำงานตั้งแต่หนึ่งทุ่ม จนถึงเที่ยงคืน พอถึงตีสามก็ต้องลุกไปจ่ายตลาดกับอาสาวเป็นงานหลัก ซึ่งงานนี้ ได้ค่าตอบแทนเป็นการกินอยู่เท่านั้น มีอาหารสามมื้อ มีห้องแคบๆ ให้ซุกหัวนอน แต่ไม่ให้เป็นเงินเดือน เธอจึงต้องรับจ๊อบ ขับรถไปส่งข้าวกล่องให้เจ้าประจำ ตามโรงงานใกล้ๆ บ้าน ถึงจะได้รับทิปส่วนต่างมาเก็บออม เพื่อส่งเป็นค่าเทอมให้น้องชายและน้องสาวที่อยู่ไกลกัน หากถามว่าทำไมต้องส่งให้ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของพ่อกับแม่ เธอก็ต้องตอบตามตรงว่าสองคนนี้ ไม่สามารถให้ในสิ่งที่น้องๆ ของเธอต้องการได้ เพราะแม่ไปแต่งงานใหม่ และมีลูกคนใหม่ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนพ่อก็ปล่อยตัวเหลวแหลก ติดหนี้พนันบอล จนไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียน หน้าที่นี้จึงตกเป็นของพี่สาวคนโต ที่เป็นส่วนเกินมาตั้งแต่เกิด แต่ยังคงเป็นห่วงน้องๆ ที่อายุน้อย และยังไม่มีอนาคต ไม่สามารถทำงานหาเงินเองได้ เธอจึงต้องหาให้ และคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ไปอีกสามปี เธอถึงจะหมดภาระ “ได้นอนบ้างหรือยัง?” เพื่อนร่วมงานเดินมาถาม หลังจากมาถึงที่ทำงานแล้ว “คิดว่าไง?” ถามกลับด้วยประโยคเดิมๆ เพราะอีกฝ่ายรู้อยู่แล้ว ว่าเวลาพักผ่อนของเธอมีน้อยมาก เฉกเช่นวันนี้ แทบไม่มีเลย “เฮ้อ อยากได้บุหรี่สักตัว ก่อนเริ่มงานไหม?” “ไม่อะ” ปฏิเสธเพื่อนร่วมงานหญิง แล้วหันไปหยิบน้ำ “ขะ ขวัญ” โทนเสียงที่เปลี่ยนไป ทำให้เธอหันกลับไปมอง “กะ แกเชื่อเรื่องผีปะ?” ถามเสียงสั่น พลางเบิกตาโพลง มองไปที่ประตู ซึ่งบริเวณนี้ เป็นหลังร้านและมีอยู่กันแค่สองคน “ไม่เชื่อ” ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ ผิดกับอีกคนที่เริ่มช็อก “ถ้าฉันบอกว่าฉันเห็นผีไม่มีหัว แกจะเชื่อไหม…” “ไม่เชื่อ” หญิงสาวตอบกลับด้วยคำตอบเดิม ทว่าหลังจากนั้น เพื่อนร่วมระเบียบก็เกิดอาการชักกระตุกอย่างรุนแรง จนเธอต้องเรียกพนักงานคนอื่นที่ยืนอยู่หน้าร้าน ให้เข้ามาช่วยดู เพราะกลัวว่าอาการนี้ จะเกิดจากโรคประจำตัว และต้องนำส่งโรงพยาบาล ก่อนที่เพื่อนจะช็อก “ขวัญ พี่ฝากร้านด้วยนะ” รองผู้จัดการหญิงวัยกลางคนหันมาบอก ก่อนจะพยุงร่างของพนักงานสาวที่กำลังชัก ขึ้นรถของตัวเอง พร้อมกับพนักงานชาย แล้วพาไปส่งที่โรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัย ตือ ดือออ~ เสียงสัญญาณดังขึ้น ก่อนที่ประตูอัตโนมัติจะเปิดรับลูกค้า แต่พอเบือนสายตาที่สุดแสนจะเหนื่อยล้าให้หันไปมอง กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาสิ่งมีชีวิต มีเพียงสายลมเย็นยะเยือกจากด้านนอก ที่พัดผ่านเข้ามาในตอนที่ประตูเปิด ตือ ดือออ~ เสียงสัญญาณที่ดังรบกวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนตัวเล็ก ตัดสินใจเดินไปเปิดประตูค้างเอาไว้ เพื่อที่เสียงสัญญาณจะได้หยุดแจ้งเตือน ซึ่งมันได้ผล เพราะไม่มีเสียงนั้นรบกวนอีก ถึงจะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นบ้าง อย่างเช่น ไมโครเวฟเปิดเอง หรือไฟตู้เย็นติดๆ ดับๆ แต่สำหรับร้านมินิมาร์ทเก่าๆ เหตุการณ์เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ เธอเลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก [ขวัญ คืนนี้ช่วยอยู่กะดึกแทนฟิล์มหน่อยได้ไหม?] รองผู้จัดการโทรมาหา ในช่วงเวลาเกือบจะเที่ยงคืน [อาการฟิล์มไม่ค่อยดี แต่พี่ให้นนท์รีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ยังไงช่วยอยู่กะดึกให้พี่ทีนะ เดี๋ยวพี่บวกค่าแรงให้] “อ่า ไม่ใช่ว่าขวัญไม่อยากอยู่กะดึกแทนฟิล์มนะคะ แต่ขวัญต้องไปช่วยอาจ่ายตลาดตอนตีสาม” ปลายสายบอกถึงเหตุจำเป็น ที่ต้องออกกะตรงเวลา เพราะเธอยังมีงานอื่นที่ต้องทำ ถ้าอยู่ควบกะดึก อานงอาจจะไม่พอใจที่เธอทำแบบนี้ [……] “พี่คะ พี่ยังได้ยินขวัญอยู่ไหมคะ?” [……] เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ขวัญจึงเลือกที่จะกดวางสาย แล้วรอจนกว่าพนักงานชายอีกคนจะกลับมา แต่รอแล้วรอเล่า จวนจะถึงตีสามก็ยังไม่เห็นวี่แวว มีเพียงลูกค้าจากร้านเกมข้างๆ ที่แวะเวียนเข้ามาซื้อของ ทำให้เธอไม่สามารถทิ้งร้านไปไหนได้ จะติดต่อรองผู้จัดการ อีกฝ่ายก็ดันปิดเครื่อง ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับขวัญมาก่อน ครั้นจะโทรไปบอกอานง ทางนั้นก็ปิดเครื่องเช่นกัน “อ้าว~ พี่สาว” เสียงหนึ่งเอ่ยทัก ในช่วงเวลาตีสามพอดิบพอดี “ทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ?” เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เจอตอนเช้า ยืนถามด้วยความสงสัย พร้อมหันไปมองเพื่อน ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “อ่า พี่สาวคงสงสัยเหมือนกันสินะ ว่าทำไมถึงเห็นผมที่นี่ (พูดด้วยรอยยิ้ม) พอดีว่าผมแอบมาหาเพื่อนสนิท ชื่อไอ้บิณฑ์ มันอยู่แถวนี้ เลยชวนผมมาเล่นร้านเกมข้างๆ แต่ไม่นึกว่าจะได้เจอพี่สาว บังเอิญจังเลยนะครับเนี่ย~” น้ำเสียงขี้เล่น ทำให้ขวัญไม่ค่อยมั่นใจ ว่านี่จะเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น “เอ้อ ผมชื่อปราบนะครับ ลืมแนะนำตัวไปเลย” หญิงสาวพยักหน้ารับ พลางไล่สายตามองการแต่งตัวของเด็กหนุ่มทั้งสองคน ซึ่งเป็นการแต่งกายตามสไตล์วัยรุ่นทั่วไป ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาวเหมือนตอนที่อยู่ในสำนัก ซึ่งเพื่อนที่ชื่อว่า บิณฑ์ เธอค่อนข้างคุ้นหน้า เพราะมาซื้อของที่นี่ทุกวัน “เรื่องเมื่อเช้า…” “จะจ่ายเป็นเงินสดหรือว่าสแกนจ่าย?” เธอพูดแทรก เมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ “สแกนจ่ายครับ” เพื่อนที่ชื่อบิณฑ์ตอบแทน แล้วเปิดหน้าจอโทรศัพท์ให้เธอสแกน พอสแกนเสร็จทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปจากร้านนี้ “พี่สาว~” แต่ยังไม่ทันไร เด็กหนุ่มที่ชื่อปราบก็วิ่งกลับเข้ามาใหม่ “พ่อหมออาคมท่านเป็นคนดีนะครับ ถึงจะอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่ท่านก็เป็นคนมีเหตุมีผล ถ้าพี่สาวไม่ติดใจเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็กลับไปให้พ่อหมอทำพิธี หากไม่มีกำลังทรัพย์ ลองคุยกับท่านก่อน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ท่านแค่เพียงวัดว่าคนที่มาให้ท่านทำพิธี ตีค่าชีวิตตัวเองอยู่ที่เท่าไร แต่ถ้ามีน้อย ท่านก็พร้อมที่จะช่วยโดยไม่คิดค่าครูครับ” ปราบพูดลากยาว ทว่าขวัญกลับเมินหน้าหนีไปทางอื่น เพราะไม่ได้สนใจ และไม่ได้คิด ที่จะกลับไปที่สำนักนั้นอีก “ผมไม่อยากพูดแบบนี้ เพราะพ่อหมออาจจะไม่พอใจ แต่พ่อหมอเป็นห่วงพี่สาวนะครับ” คำพูดที่ได้ยิน ทำให้ขวัญเบือนหน้ากลับมามอง แม้นแววตาจะไร้อารมณ์ แต่ความรู้สึกข้างใน มันแปลกไปหลังจากได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นเป็นห่วงเธอ “อ่า ที่ผมพูดอาจจะฟังดูไม่ค่อยดี แต่ถ้าพี่สาวไม่มีที่พึ่งพาแล้วจริงๆ ให้กลับไปหาพ่อหมอนะครับ และหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก แต่ตอนนี้ ผมต้องรีบไปเล่นเกมต่อ เดี๋ยวหมดชั่วโมง เสียดายตังค์ ไปก่อนนะครับ~” ปราบบอกลาด้วยโทนเสียงขี้เล่น โดยที่ไม่ลืมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากร้าน ขณะที่ขวัญยังคงยืนอยู่กับความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกเดียวกัน กับตอนที่เจอหน้าพ่อหมออาคมในวินาทีแรก เลยไม่คิดว่าจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นอีก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม