1

3376 คำ
“ใช่ๆแบบนั้นเลย ที่เคยเห็นเขาทำในคลิปอ่ะ ภูต้องดันเข้ามาอีกสิ ดันอีกนิด อ๊ะ! ทำไมมันเจ็บจังเลยล่ะภูผา” เสียงกำกับจากปากเล็กช่างจำนรรจาสีชมพูจางที่เบื้องล่างนั่น ทำเอาเด็กหนุ่มร่างหนากว่าที่คร่อมทับอยู่ด้านบนต้องหยุด ออกปากแย้งด้วยเสียงแตกพานตามวัย           “เราไม่ควรทำ...แบบนี้เลยฝน” พูดแล้วก็อายอยู่ไม่น้อย           “เถอะน่า ทำเร็วๆ เข้า ก่อนที่จะ...โอ๊ะ! โอย มันตึงมากเลยภู แล้วก็ แล้วก็เจ็บนิดๆ ด้วย” เด็กสาวร้องโอดโอย เขย่าเสียงเล็กน้อย พร้อมยิ้มทะเล้นใส่เด็กหนุ่มที่ใช้ร่างหนากว่าดันตนเองอยู่ เร่งให้อีกฝ่ายออกแรงโถมใส่มากขึ้นอีก ยิ่งเห็นใบหน้าอีกฝ่ายแดงจัด ก็ยิ่งสนุก           “ภูรีบดันเข้ามาอีกสิ ดันอีก ดันเข้ามาอีก อีกนิดภูผา อ๊ะ...”           ภูผามองใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่นอนหน้าแดงอยู่เบื้องล่างใต้เรือนกายของตนก็เรียกอย่างเป็นห่วง หน้าของเขาเองก็แดงไม่แพ้กัน “ไหวแน่นะฝน”           “เถอะน่า ดันอีก อีกนิดเดียว”           “แต่ภูว่าเราทำแบบนี้...ไม่...” “ไม่ต้องแต่ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น ทำเถอะ เร็วๆ เข้า” “ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มบอก โหนกแก้มกลายเป็นสีแดงจัด ปลายฝนมองแล้วนึกชอบใจใหญ่ บอกต่ออีกนิด “อืม...มันเจ็บ แต่รู้สึกดีมากเลยนะภู ถึงว่าคนเขาถึงชอบทำกัน” เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี ถามเสียงอ่อย “พอหรือยังครับ” “อีกนิดสิคะภู อืม…ดีจังเลย เราน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้วนะว่าไหม” เด็กหนุ่มหันขวับมามอง ส่ายหน้า ทำตาดุใส่ “ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ต่อไปภูจะไม่ตามใจฝนแบบนี้อีกแล้วนะ” “ทำไมพูดแบบนี้ ไหนตอนเราตกลงคบกัน ภูบอก จะตามใจฝนทุกอย่างไง” “ไม่ใช่แบบนั้นครับ...” เสียงห้าวแหบแตกพานเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เงียบไปเลยภูผา พูดแบบนี้แสดงว่าจะเลิกคบกันใช่ไหม” สิ้นเสียงถอนลมหายใจอย่างจนปัญญาของเด็กหนุ่ม ประตูห้องนอนถูกไขกุญแจเปิดทันที พร้อมร่างสูงใหญ่ราวภูเขาเฉียดสองเมตรยืนจ้องเด็กวัยรุ่นชายหญิงสองคนบนพื้น วินาทนั้นเองที่ใบหน้าของชายคนนั้นขรึมเข้ม แววตาดุดันเหมือนแผดเผาทุกสิ่งอย่างได้ด้วยประกายตาของตนเอง ก่อนที่ชายฉกรรจ์อีกสามคนจะโผล่พรวดตามหลังมา พอเห็นเหตุการณ์ในห้องแล้ว ก็ต่างพากันหลบไม่กล้ามองต่อ บางคนรีบหันไปทางอื่นทันที เสียงเข้มถามดังขึ้น เมื่อเห็นร่างของบุตรสาวนอนหงายบนพื้นโดยมีเด็กหนุ่มไม่คุ้นหน้าคร่อมทับอยู่ด้านบน “นั่น...ทำอะไรกัน” เด็กหนุ่มขยับตัวออกราวกับร่างนุ่มนิ่มที่คร่อมเมื่อครู่คือของร้อนจัด ปลายฝนยังคงนอนหงาย เจ้าตัวยันศอกมองมาที่บิดา ถามกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สีหน้าไม่พอใจอยู่พอสมควร “คุณพ่อใช้กุญแจไขเข้ามาในห้องของลูกแบบนี้ได้ยังไงคะ คุณพ่อกำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวอยู่นะคะ”   ขิมแขไม่เคยชอบบรรยากาศเช่นนี้เลย นั่นคือฝนตกลงมาขณะที่เธอต้องขับรถ แม้แค่เพียงลงเม็ดเล็กน้อย ก็จะอึดอัดเหมือนกำลังดิ่งจมลงในน้ำที่ระดับความลึกหลายร้อยเมตร มันคล้ายกับหายใจไม่ออก เป็นอย่างนี้เสมอจนคร้านจะหาคำตอบให้ตัวเองว่าสาเหตุมาจากสิ่งใดกัน ชะลอความเร็วรถลง ก่อนจอดที่หน้ารั้วสูงทะมึนที่ด้านในเป็นบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ของท่านเคานต์ ดูโดดเดี่ยว อ้างว้าง และมันทำให้เธออึดอัดขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับตอนขับรถฝ่าฝนแทบไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว ขิมแขผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ดับเครื่องยนต์ แล้วเปิดประตูลงไปยืนมองอยู่ครู่เดียว หาสัญญาณเรียกจนพบ ค่อยเดินไปที่มุมประตู ยกมือขึ้นจะกดออดเรียกคนด้านใน พลันนั้นเองที่มีชายฉกรรจ์สี่คนปรากฏตัวขึ้นพร้อมเพรียงกัน แล้วตรงมาที่เธอ ถามด้วยน้ำเสียงห้วนห้าวเหมือนกับหน้าตาของพวกเขา “มีธุระอะไร” เธอไม่ได้นึกกลัวกลุ่มชายเหล่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น กวาดสายตามองคนทั้งหมดอย่างสำรวจพินิจพิจารณาพร้อมประเมินอยู่ครู่เดียว จึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แบบเดียวกับท่าทีของเธอ “ฉันเป็นแม่ของเด็ก คนที่พวกคุณกำลังกักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขู่แกอยู่” ชายฉกรรจ์คนหน้าสุดมองขิมแขนิ่ง แล้วถึงเปิดประตูเล็ก ๆ ให้เธอเข้าไปด้านใน ขิมแขหันกลับไปมองยังรถยนต์คันเล็กของเธอที่จอดรออยู่นอกรั้ว ก่อนพาตัวเองเดินลอดประตูเข้าไปยังบริเวณของบ้านหลังใหญ่ตรงเบื้องหน้านั่น บัดนี้เธอเหมือนไข่แดง ท่ามกลางชายฉกรรจ์สี่คนที่พากันล้อมหน้าล้อมหลัง บังคับให้เดินตรงสู่ส่วนในสุดของบ้าน ระหว่างทางเดินเธอพบสวนดอกไม้ข้างบ้านที่ถูกดูแลอย่างดี สวยสดใสกลิ่นหอมอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ตัดกับชุดโต๊ะเก้าอี้ตัวเก่าข้างสวน เกือบจะดูดีอยู่แล้วเชียวหากไม่มีข้าวของเครื่องใช้เก่าๆแบบนั้นวางเคียงข้างกัน ที่นี่มีหลายสิ่งอย่างดูขัดหูขัดตากันอยู่ไม่น้อย สังเกตเห็นว่าแต่ละจุดของตัวบ้าน จะมีชายรูปร่างลักษณะเดียวกับกลุ่มคนที่นำเธอเดินเข้ามา ยืนคุ้มกันอยู่รอบบริเวณ ไม่ต่างจากค่ายกักกันเท่าไรนัก ถ้าไม่ใช่ที่คุมขังคน ก็ต้องเป็นอาณาบริเวณของพวกบ้าอำนาจแน่ ๆ ขิมแขเลิกสนใจในส่วนนั้น เดินผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไปด้านในจนถึงโถงกว้าง ค่อยมองเห็นบุตรชายตนเอง ที่ใบหน้าปูดบวม ทั้งยังขึ้นสีเขียวปนม่วงค่อนไปทั้งหน้า นั่งตรงชุดเก้าอี้ที่กลางบ้านนั่น เธอเรียกบุตรชายด้วยซุ้มเสียงตกใจเล็กน้อย “ภูผา ทำไมเป็นแบบนี้” “ลูกชายคุณล่วงละเมิดทางเพศปลายฝนลูกสาวของผม ให้ตำรวจเอาตัวไปดำเนินคดีเลยไหม ฝากขังศาลเยาวชน หรือจะรอพวกสื่อด้วย จะได้จบเรื่องไปเลยทีเดียว” เสียงกล่าวคมลึกเชิงข่มขู่ดังมาจากชั้นลอยภายในห้องโถงกว้าง ขิมแขหมุนตัวหาต้นตอของเสียง แหงนหน้าขึ้นมองหา แต่ไม่พบ นานราวนาที จึงเห็นเงาแวบหนึ่งทางหางตาตรงบันได พร้อมกับชายร่างใหญ่สามคนปรากฏตัวอยู่ตรงนั้น “ว่ายังไง” คำถามเชิงข่มขู่ดังขึ้นอีกครั้ง ถึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก แผ่นหลังตั้งตรงดูสูงสง่า มาดผู้นำ แววตาราวพญาอินทรีย์ดูแข็งแกร่ง กระด้าง คมกล้า ท้าทาย ส่อประกายฮึกเหิมดุดัน ไม่มีความเป็นมิตร ท่าทีกิริยาเยือกเย็นไม่แยแส และการปรากฏกายของเขาทำเอาคนอื่นในนั้นดูเล็กลงไปโดยปริยาย รวมถึงรูปปั้นเสือขนาดเท่าจริงที่มุมบันไดนั่นด้วย กลายเป็นเพียงรูปปั้นแมวน้อยน่ารักน่าชังไปถนัดตาเมื่อเทียบกับเขา ขิมแขขมวดคิ้วนิดๆ จ้องคนที่กล่าววาจาข่มขู่เธอด้วยท่วงท่าเป็นธรรมชาติอึดใจ ก็พบว่าเขาเป็นชายคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเข้มมากทีเดียว เห็นแล้วอดนึกถึงนักแสดงชาย ที่เคยเป็นมือกีต้าร์ และร้องนำ อีกทั้งยังควบตำแหน่งหัวหน้าวงดนตรีโปรเกรสซีฟร็อกชื่อดังคนหนึ่งไม่ได้ พึมพำเบา ๆ แต่เพราะห้องโถงนั้นเงียบกริบจึงได้ยินเสียงของเธอดังชัดเจน “เรา... เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า” ขิมแขเผลอตัวพึมพำออกมาเบาๆ แต่เพราะห้องโถงแห่งนั้นเงียบกริบ จึงได้ยินเสียงของเธอดังกังวานชัดเจน บรรดาลูกน้องที่เป็นชายร่างสูงใหญ่ต่างพากันเหลือบตามองกันเองเป็นนัยๆ เนื่องจากรู้ดีว่านายของพวกตนเป็นพ่อม่ายเนื้อหอม นอกจากจะหล่อเหลาแล้วยังร่ำรวยอีกด้วย จึงมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่หวังจะสานสัมพันธ์หรือไม่ก็พยายามที่จะจับเขา ซึ่งแต่ละรายก็มีวิธีเข้าหาต่าง ๆ กันไป แล้วมุกที่ว่า ‘เคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า’ ก็เป็นมุกที่ถูกใช้บ่อยเสียจนเรียกได้ว่า ‘แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่’ หากถึงอย่างนั้นชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ยังรักษามารยาทด้วยการสบตากันเงียบๆ โดยไม่ได้แสดงท่าที่เย้ยหยันหรือดูหมิ่นเธอแต่อย่างใด แต่พวกเขาก็มั่นใจอีกเช่นกันว่าผู้เป็นนายไม่มีทางเหลียวแลใครอีก นอกจากจะเห็นเป็นแค่คู่ควงชั่วคราวหรือคู่นอนฆ่าเวลาเท่านั้น นิรันดร์เองก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่ได้ยินคำถามนั้นจากปากหญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็กหนุ่ม เขาเพียงนิ่งไปเล็กน้อย พร้อมกับมองสำรวจเธอไปพลาง ใบหน้าเรียวเล็ก ประกอบด้วยเครื่องหน้าที่ดูรวมๆ แล้วก็นับว่าสวยเฉี่ยว บวกกับส่วนสัดทรวดทรงที่อวบอิ่มเกินตัว ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูปดูล่อแหลม เห็นร่องอกโผล่รำไรๆ จากคอเสื้อยืดที่ลึกและกว้าง ชายหนุ่มอดนึกดูถูกหญิงสาวไม่ได้ว่าเป็นถึงแม่คนแล้ว แต่กลับแต่งเนื้อแต่งตัวไม่สำรวมเอาเสียเลย ในเมื่อตัวแม่เองยังเป็นแบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ลูกชายจะมีนิสัยชอบล่อลวงเด็กสาวๆ ที่ยังไม่ประสีประสาเพื่อหาเศษหาเลย อีกหน่อยโตขึ้นมาก็ต้องกลายเป็นกากเดนสังคมอย่างแน่นอน มองแค่นี้เขาก็ทำนายอนาคตได้แล้ว คิดแล้วก็วกสายตากลับไปมองหน้าหญิงสาวอีกครั้ง ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งคู่ได้บังเอิญสบตากัน นิรันดร์ก็ต้องขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น “เคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าน่ะเหรอ ชาติก่อนหรือเปล่าคุณ...” เขาตอกหน้าเธอกลับด้วยท่าทีไม่แยแส ไม่ใส่ใจ ได้ยินคำตอบ พร้อมสีหน้าแววตาของอีกฝ่าย ขิมแขหน้าเปลี่ยนสีในทันที ฉุกคิดขึ้นได้ เขาอาจเข้าใจผิด ว่าที่เธอถามไปเมื่อครู่นี้ คือการหยอดมุกจีบเขาอยู่ แล้วถอนใจเบา ๆ ไม่คิดแก้ไขเรื่องพวกนั้น “สรุปเรื่องที่ผมถามเมื่อครู่ คุณจะเอาอย่างไร ให้โทรตามตำรวจเลยไหม เพราะเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศอยู่นะ” แม้จะถูกข่มขู่ซ้ำ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่ประการใด ขิมแขมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยครู่เดียว ค่อยเลื่อนสายตาเลยไปทางบุตรชายของตัวเอง ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งดุจแววตาของเธอในตอนนั้น “ฉันขอฟังเรื่องราวทั้งหมดก่อน ถึงจะสรุปสิ่งที่ต้องทำต่อไปได้” ชายผู้เป็นใหญ่ไม่ใช่แค่เรือนกาย แต่รวมไปถึงอำนาจจากการวางตัว แววตาและวาจา มองเธอราวกับมองผู้ร้ายต้องโทษประหารชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ขิมแขเลิกสนใจเขาแล้วหันไปทางบุตรชาย มองตาลูกแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “ภูผา เกิดอะไรขึ้น เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม” เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อนิ่งไปเพราะไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี “…” นิรันดร์มองสองแม่ลูกคู่กรณีของเขาแล้วเปลี่ยนมากอดอก ใบหน้ายังคงเรียบเฉยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ติดรำคาญใจ “เราพบลูกชายของคุณอยู่ในห้องกับลูกสาวของผมตามลำพัง”           “คุณชื่อภูผาหรือ” เสียงถามสวนกลับแบบเรียบนิ่ง ทำเอาคนทั้งห้องเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ ชายฉกรรจ์บางคนในห้องโถงถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นแววตาของผู้เป็นนาย แต่แล้วขิมแขกลับไม่นึกสน เธอมองที่บุตรชายของตัวเอง เห็นว่ายังเงียบไม่พูดจาแก้ต่างให้ตัวเอง เลยหันไปถามทางชายร่างสูงใหญ่ด้วยท่าทีกดดันเขากลับบ้าง “พอเห็นว่าอยู่ตามลำพังในห้องของลูกสาวตัวเอง คุณก็สั่งให้คนของคุณทำร้ายเด็กอย่างนั้นใช่ไหม” เจ้าของบ้านหรี่ตามองเธอนิ่งสายตาครุ่นคิดเล็กน้อย นิ่งไม่ตอบ จังหวะถัดมานั่นเอง ภูผาถึงได้มีท่าทีอึกอักเอ่ยขึ้นบ้าง “ผมถูกทำร้ายมาจากที่อื่นครับแม่ขิม” ขิมแขหันขวับไปมองที่ภูผา รู้ได้ในตอนนั้นว่าบุตรชายของเธอกำลังประหม่าและต้องการกำลังใจ หากเรียกเธอว่า ‘แม่ขิม’ แสดงว่าใจคอเริ่มไม่ดีแล้ว และเธอต้องหาทางพาเขาออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้ให้เร็วที่สุด มั่นใจว่าอบรมลูกมาดีพอ และลูกของเธอไม่มีทางทำอะไรร้ายกาจ อย่างที่ชายร่างยักษ์ตรงหน้ากำลังใส่ความอยู่เป็นแน่ ‘ชื่อขิม’ พ่อเลี้ยงเดี่ยวนิ่ง คิดทบทวนอะไรอยู่ในใจเงียบๆ ละสายตาจากคู่กรณีมองไปที่บุตรสาวของตนเอง เมื่อได้ยินเสียงใสเอ่ยขึ้นหลังยืนเงียบมานาน “ภูถูกทำร้ายมาค่ะ ลูกเลยพาภูมาทำแผลที่บ้านของเรา” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเข้มงวด “พ่อยังไม่อนุญาตให้ลูกพูด” “คุณพ่อฟังลูกก่อนสิคะ ลูกกำลังจะอธิบายให้ฟังอยู่นี่ไงว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง” คนพ่อหรี่ตามองบุตรสาวของตัวเอง บอกกลับด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ลูกพูดได้ก็ต่อเมื่อพ่ออนุญาตแล้วเท่านั้น” แล้วหันไปทางผู้ปกครองของเด็กหนุ่ม กล่าวหาทางนั้น “ลูกชายคุณคร่อมทับอยู่บนตัวของลูกสาวผม มีพยานเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดสี่คน” เด็กสาวรีบร้องแย้งขึ้นอีกที “ไม่ใช่อย่างที่คุณพ่อเห็นนะคะ” นิรันดร์ปิดตาลง ท่าทางของเขาคล้ายกับพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น เน้นเสียงกับบุตรสาวของเขา “อย่า พูด อะไร จนกว่าพ่อจะอนุญาต” ขิมแขมองสองพ่อลูกตรงหน้าด้วยสายตาเอือมระอา อดติงไม่ได้ “เผด็จการแบบนี้เอง ถึงเอาลูกไม่อยู่” หนังตาของนิรันดร์กระตุกยิบๆ เมื่อถูกแย้งจากหญิงสาวแปลกหน้า เขามองเธอนิ่ง อย่างที่บรรดาลูกน้องรู้กันดี ว่าโทสะของนายกำลังพุ่งพล่านอยู่ ไม่เคยมีใครทำให้อารมณ์ของผู้เป็นนายขึ้นได้ง่ายราวกับเอาปรอทไปจุ่มในน้ำเดือดแบบนี้มาก่อน เด็กสาวปลายฝนเห็นแบบนั้น รีบออกปากแย้ง “คุณพ่อตัดสินจากภาพที่เห็นไม่ได้นะคะ” สองพ่อลูกยืนประจันหน้ากัน แล้วเด็กสาวก็รีบพูดระรัวออกไปเร็วๆ “ลูกเป็นตะคริว แล้วภูก็ช่วยยืดกล้ามเนื้อให้ลูกค่ะ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นเลยนะคะ” “อ้อ ที่แท้ความจริงก็ไม่ใช่อย่างที่เห็น” เธอเสริมคำพูดปลายฝน ตามองไปยังพ่อเผด็จการที่ไม่ยอมรับฟังความเห็นของใครทั้งนั้นด้วยสายตาติดจะหมิ่นเขาอยู่เล็กน้อย นิรันดร์เห็นท่าทีของเธอแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกจนเสียดปอดอีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วที่เขาร้างลาการต่อปากต่อวาจาแบบนี้ หันไปทางบุตรสาวแทน แล้วว่า “แต่ที่พ่อเห็นนั่น ลูกกำลัง...” เด็กสาวเห็นแววตาของบิดา ก็หน้าบึ้ง ขัดท่านเสียก่อนที่บิดาจะกล่าวหาตนผิดเพี้ยนไป “คุณพ่อเห็นอะไรคะ” “ลูกกับมะ…” นิรันดร์บุ้ยปากไปทางภูผา ใช้สรรพนามเรียกทางนั้นราวกับเอ็นดูเสียเต็มประดา “มันกำลังคร่อมหนูอยู่นะปลายฝน ไม่เห็นจะเหมือนท่ายืดกล้ามเนื้ออะไรเลย” พร้อมกันนั้นมีเสียงแทรกแย้งขึ้น “คุณเรียกลูกชายของฉันว่า ‘มัน’ ” “ก็ใช่ไง” นิรันดร์หลุดมาดในที่สุด เมื่อถูกยั่วยุจากอีกฝ่ายไม่เลิก แล้วย้ำคำเรียกอีกที อย่างต้องการยั่วโทสะเธอกลับบ้าง “ผมเรียกลูกชายของคุณว่า ‘มัน’ ” ขิมแขยืนนิ่งไม่โต้กลับ เพราะเธอเองก็รู้ตัวว่ากำลังจะหลุดโทสะเช่นกัน แต่พอเห็นเขาระเบิดอารมณ์ออกมาก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าไม่ควรเติมเชื้อเพลิงลงไปในตอนนี้ คุยกันด้วยอารมณ์เรื่องไม่มีทางจบลงแน่วันนี้ อีกข้อคือเธอกำลังเสียเปรียบเขาอยู่ ทั้งคน ทั้งสถานที่ล้วนเป็นเขาที่ได้เปรียบ ในใจชักหวาดหวั่นว่าเธอกับภูผาจะออกจากบ้านหลังนี้ได้อย่างปลอดภัย ร่างกายครบสามสิบสองหรือไม่ เพราะท่าทางคนพวกนี้เหมือนกับมาเฟีย ไม่ก็พวกอิทธิพลมืดแทบไม่ผิดเพี้ยนเลยน่ะสิ พอเห็นเธอไม่ยั่วยุกลับมาอย่างที่คาด นิรันดร์หันไปทางบุตรสาวของตน ภาพยังติดตาไม่หาย อดบ่นต่ออีกไม่ได้ “ลูกบอกว่ายืดกล้ามเนื้ออย่างนั้นหรือครับ ยืดกันแบบไหน ทำไมต้องทำยังกับท่าเมคเลิฟ!” “คุณพ่อคะ!” เสียงเด็กสาวเรียกบิดาตนเองก้องห้องโถงด้วยความอับอาย ใบหน้าน่ารักแดงจัดจนถึงใบหู เจ้าตัวมองบิดาด้วยสายตาน้อยอกน้อยใจ น้ำตาคลอเบ้า แล้วผลุนผลันหันหลังวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ขิมแขเฝ้ามองสังเกตการณ์อยู่ นึกห่วงเด็กสาวคนนั้น อดติงเขาไม่ได้ “คุณเป็นพ่อคนแบบไหนกัน พูดเรื่องน่าอายแบบนี้ต่อหน้าคนทั้งห้อง” นิรันดร์กำลังเสียหลัก ที่บุตรสาวร้องไห้วิ่งออกไป เลยพูดอะไรไม่ออก เขาทนได้ที่ไหนกับน้ำตาของลูก เห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้ว ขิมแขรีบใช้โอกาสนี้ว่าขึ้นบ้าง “ฉันไม่แจ้งความกลับก็บุญแล้ว” หยุดไปจังหวะหนึ่ง กล่าวต่อด้วยท่าทีนิ่งๆ “ที่คุณกักขังหน่วงเหนี่ยวลูกชายฉัน แล้วยังโทรศัพท์มาข่มขู่ฉันอีก แต่เอาเถอะ ให้เรื่องจบลงเท่านี้ก็แล้วกัน วันนี้ฉันจะพาลูกชายของฉันกลับบ้าน และก็จะอบรมแกเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษให้เคร่งครัดกว่านี้ พร้อมกับตักเตือนแกเพิ่มถึงความเหมาะสมทางเพศสำหรับวัยของแก” กล่าวรวดเดียวจบ เงียบไปอึดใจ บอกทิ้งท้าย “คุณเองก็ควรอบรมลูกสาวคุณด้วยเหมือนกัน ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว” ขิมแขบอกแบบมัดมือชก อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังงง เดินไปคว้ามือภูผาพาออกจากบ้านไป อย่างพยายามไม่ให้ดูลนลานหวั่นเกรงต่อพวกเขา คิ้วหนาพาดเฉียงของนิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุลกระตุกถี่ยิบกว่าเดิม อาการแบบนี้ของเขาเคยเกิดขึ้นที่ไหนกัน เป็นไปได้ที่บุตรสาวของเขาทำให้อารมณ์พลิกผันเหวี่ยงขึ้นลงไปมา แต่แล้วผู้หญิงแปลกหน้านั่นทำให้เขาเกิดอาการเดียวกันได้อย่างไร ทำไมเขาจะไม่รู้ตัวว่าเจ้าหล่อนอาศัยจังหวะชุลมุนพาเด็กเวรนั่นจากไป แต่เขากำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจต่างหาก “นายครับ” เสียงเรียกของบริวารปลุกนิรันดร์ให้หลุดจากภวังค์ เขาละสายตาจากแผ่นหลังที่เพิ่งพ้นรั้วสูง มองไปกล้วย พี่เลี้ยงคนสนิทของบุตรสาว ทางนั้นหลบตาเขาวูบทันที อ้อมแอ้มบอกเสียงสั่น “คุ...คุณรันดร์คะ คือ...คือกล้วย...” นิรันดร์กวาดสายตามองว่าไม่ต้องพูดอะไรออกมา เท่านั้นเองทั้งห้องก็พากันเงียบกริบ ทุกคนต่างรู้ดี ว่าไม่ควรแก้ต่างอะไรหากนายลงความเห็นไปแล้วว่าถูกหรือผิด ลูกน้องคนสนิทมองปรามทางพี่เลี้ยงของปลายฝน รู้ว่าอีกฝ่ายอยากพูด อยากอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าเหตุใดปลายฝนถึงพาคนนอกเข้าบ้านมาได้โดยที่ลูกน้องของเขาไม่จับมันเหวี่ยงออกไปเสียก่อน อย่างน้อยก็ต้องรู้เห็นเป็นใจ ช่วยพาเข้ามาแน่ ๆ หลังจากเงียบไปได้ครู่ใหญ่ เสียงทรงอำนาจก็ค่อยเอ่ยขึ้น “ให้เวลาสองวัน ส่งประวัติ ปูมหลังของสองแม่ลูกนั่นที่โต๊ะ” สั่งจบ เดินออกจากตรงนั้นทันที  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม