หญิงสาวเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ เธอเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหาฌอน ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เป็นอะไรไป ทำไมคุณถึงทำหน้าแบบนั้น ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเขาเห็นสีหน้าและแววตาของจารวีแปลกไป
“คุณเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมถึงยอมทำตามข้อเสนอของฉัน ฉันขอโทษที่เข้าใจคุณผิดไป ฉันคิดว่าคุณคือคนที่เพื่อนแนะนำมาให้ เราไปหย่ากันเถอะค่ะ”
เธอไม่อ้อมค้อม พร้อมแสดงให้ฌอนได้เห็นถึงความเป็นคนตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้เขายิ่งอยากรู้จักเธอมากขึ้น จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่มีความใสซื่อไร้มารยาอย่างจารวี
“คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร คิดจะจดก็จดคิดจะหย่าก็หย่า ง่ายไปไหมคุณ ที่สำคัญผมเซ็นเอกสารในสัญญานั้นแล้ว คุณอย่าหวังว่าจะได้ใบหย่าจากผม” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณ ฉันก็แค่รู้สึกผิด ที่ดึงคุณเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ฉันขอโทษที่ด่วนสรุป คิดว่าคุณคือคนที่เพื่อนของฉันแนะนำมา” คราวนี้จารวีเริ่มไม่แน่ใจ เธอควรเดินหน้าหรือยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้เพียงแค่นี้
“คุณผิดหวังมากเลยใช่ไหม ที่ผมไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น”
“ถ้าถามว่าผิดหวังไหม มันก็ไม่ถึงกับผิดหวังหรอกนะคะ เพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนั้น เพื่อนเป็นคนแนะนำมาอีกที แต่ที่ฉันกำลังเป็นกังวล คือตัวของคุณเองมากกว่า”
“ทำไม”
“คุณเต็มใจที่จะเป็นเจ้าบ่าวกำมะลอให้กับฉันจริง ๆ เหรอคะ”
“ถ้าผมไม่เต็มใจ แล้วทำไมผมไม่ไปจากคุณสักทีล่ะ” ฌอนพูดพลางมองไปที่ใบหน้าของจารวี ซึ่งเป็นจังหวะที่เธอหันมาพอดี จึงทำให้คนทั้งคู่ได้สบตากันอย่างไม่ทันตั้งตัว
แน่นอนว่าต่างคนต่างก็มีเป้าหมาย ในการลงนามในสัญญา เพียงแค่อีกฝ่ายตั้งใจ ที่จะทำให้โอกาสในการได้พบกันในครั้งนี้ เป็นสะพานทำให้เขาสามารถสานสัมพันธ์กับหญิงสาวได้อย่างยืนยาวและมั่นคง
“ฉันจะไม่ถูกแฟนของคุณตามมาฉีกอกใช่ไหมคะ” จารวียังคงไม่ไว้ใจ เพราะเธอคิดว่าผู้ชายอย่างฌอนไม่น่าจะโสด
“ผมโสดครับ โสดสนิทเลย ถ้าผมไม่โสดคงไม่กล้าจดทะเบียนสมรสกับคุณแน่นอน”
“โอเคค่ะ ถ้าคุณยืนยันว่าโสด ฉันก็สบายใจ แล้วคุณเป็นคนที่ไหนคะ”
“ผมเกิดที่กรุงเทพ ปัจจุบันทำงานหลักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ แต่คงต้องเทียวไปเทียวมา เพราะงานของผมค่อนข้างไม่แน่นอน ต้องกลับไปทำงานช่วยพ่อที่โน่นด้วย ถ้ามีงานด่วนก็ต้องรีบกลับมาที่นี่ คุณคงรับผู้ชายงานยุ่งอย่างผมได้ใช่ไหมครับ”
ฌอนยังคงไม่กล้าบอกความจริงกับจารวี เรื่องที่เขาเป็นผู้บริหารโรงแรมแห่งนี้ รวมทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัทผลิตอุปกรณ์การแพทย์อีกด้วย
“เรื่องงานของคุณฉันไม่ติดใจหรอกค่ะ ขอแค่คุณทำงานสุจริตไม่ผิดกฎหมายก็พอ ถึงแม้คุณเป็นเพียงแค่ลูกจ้างชั่วคราวหรือพนักงานประจำ ฉันก็ยังยืนยันจะทำตามสัญญาที่เป็นคนร่างขึ้นมา คุณคงลำบากมากเลยนะคะ ต้องเดินทางบ่อย ๆ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะเป็นคนดีได้นะคะ”
เพียงแค่ได้ยินในสิ่งที่จารวีพูดออกมา เป็นสิ่งยืนยันและตอกย้ำให้เขารู้ว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีแค่ไหน เขายอมรับว่าผู้หญิงคนนี้น่าค้นหากว่าที่คิดเอาไว้ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเธอยิ่งดึงดูดให้หัวใจของเขาอยากไขว่คว้าเธอมาเป็นคนของใจ
“ผมสัญญาว่าจะทำงานให้สมกับเงินที่ได้รับมาจากคุณ ผมโสดนะครับ” คราวนี้ใบหน้าและแววตาของฌอนแลดูกรุ้มกริ่ม เสียจนจารวีหลบสายตาของชายหนุ่มแทบไม่ทัน
“แค่คุณโสดฉันก็โอเคแล้วค่ะ ยังไงสำหรับเงื่อนไขหนึ่งปี ก็ต้องจบลงอยู่ดี คุณห้ามตกหลุมรักฉันก็แล้วกัน” หญิงสาวพร่ำบอกกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำไมในเวลานี้ หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ มันเหมือนกับตัวเองกำลังตกหลุมรักเขาอย่างนั้นแหละ
เพราะในเวลานี้ฌอนดูแลเธอราวกันคนรัก เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง พลางยกชามข้าวต้นร้อน ๆ มาวางตรงหน้า แล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาเป่าเตรียมป้อนเธอ
“ชิมดู”
“ฉันกินเองได้ค่ะ”
“ผมรู้... แต่ผมอยากทำหน้าที่สามีให้ดีที่สุด”
“บางอย่างคุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ค่ะ”
“จำเป็นสิครับ ในฐานะสามีของคุณ ผมต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ภายใต้พันธะสัญญาหนึ่งปี เราต้องทำทุกวันให้เป็นวันที่ดี ถึงแม้เราสองคนต้องมาอยู่ในสถานะนี้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ยังไงเราสองคนก็ตกลงเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
ในเวลานี้ จารวีเองต่างหากที่เป็นฝ่ายห้ามตกหลุมรักเขา เพราะผู้ชายตรงหน้าช่างหล่อเหลาเอาใจเก่ง เธอเองก็เริ่มหวั่นใจ กลัวว่าตัวเองจะเผลอใจไปตกหลุมรักเขาเข้าในสักวัน
เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพ ฯ คนทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันกลับ เพราะจารวียังไม่อยากเปิดศึกกับบุพการีของเธอ หญิงสาวเชื่อว่ายังไงคนในครอบครัวคงไม่เห็นด้วย กับการแต่งงานกำมะลอที่เธอได้จัดฉากขึ้นมา
หลังจากลงจากรถแท็กซี่ หญิงสาวลากกระเป๋าเข้ามาในบ้านด้วยแววตาตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าบิดามารดาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งหนึ่งในนั้น ตรีภพกำลังวางกล่องกำมะหยี่สีแดงอวดเพชรนิลจินดาละลานตาไปหมด เล่นเอาจารวีถึงกับโกรธควันออกหู
“อ้าว! ยัยจามาพอดีเลย มานี่สิ” บิดากล่าวทักทายเธอออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แฝงไปด้วยความสุขจนล้น เมื่อเขากำลังจะได้รับสินสอด ซึ่งเป็นเงินทองมากมายจากตรีภพ
“จาเหนื่อยค่ะอยากพักผ่อน”
“พรุ่งนี้จาไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะ เฮียให้จาพักต่อได้” ตรีภพยังคงแสดงเจตจำนงมั่นคงต่อความรู้สึกที่เขามีให้กับจารวี
“จาเป็นแค่พนักงานบริษัท ถ้าหากไม่ทำตามกฎคงถูกมองไม่ดี ที่สำคัญจาเองก็ไม่อยากให้ใครมองเฮียไม่ดีเช่นกันค่ะ”
“คงไม่มีใครเข้าใจเฮียเท่าจาอีกแล้ว มานี่เร็ว... จาอยากได้เครื่องเพชรชุดไหนเลือกได้เลย”
“จามาเหนื่อย ๆ ขอตัวไปพักก่อนนะคะ”