บทที่3

1169 คำ
เมื่อคนปากร้ายไม่ได้ตามมาหาเรื่องกันอย่างที่นึกกลัวขวัญข้าวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเกือบจะเดินเข้าห้องของตัวเองไปแล้วหากไม่ติดว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ บางอย่างที่คิดว่าน้องสาวคงไม่ได้ใส่ใจที่จะทำสักเท่าไร ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นแค่เรื่องง่าย ๆ เท่านั้น “ยาค่ะแม่” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามายังห้องนอนของมารดาที่เปิดไฟเอาไว้พร้อมกับยาแก้โรคหัวใจ โรคร้ายที่ท่านเป็นอยู่ “เอาวางไว้ก่อนเถอะ มานั่งนี่ก่อนมา แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยหน่อย” เพราะไม่บ่อยนักที่มารดาจะมีเรื่องคุยด้วย หญิงสาวจึงรีบวางมือจากทุกสิ่งก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ท่าน รู้สึกหวั่นใจไม่น้อยถึงเรื่องที่ท่านจะพูด “ข้าวรู้ใช่ไหมว่าสถานะทางการเงินที่บ้านเราตอนนี้ติดลบ ยัยขวัญเองก็เรียนไม่จบสักที” เมื่อแม่เลือกที่จะพูดตรง ๆ ด้วยเธอจึงพยักหน้ารับ เธอรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในบ้าน และก็รู้ด้วยว่าท่านแอบไปยืมเงินคนบ้านฝั่งตรงข้ามมาให้น้องสาวหลายแสนเพื่อซื้อรถขับไปเรียน แต่ถึงจะรู้เธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะคัดค้าน เพราะสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าเสียงของเธอคงดังไปไม่ถึง “มีอะไรที่ข้าวพอจะช่วยได้บ้างไหมคะ แม่บอกข้าวได้เลยนะคะ” สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าแม่มีบางอย่างในใจ รู้ได้จากสีหน้าของท่านที่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกังวล ซึ่งเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพราะรายรับกับรายจ่ายภายในบ้านนั้นนับวันก็ยิ่งสวนทางกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนบางเดือนเธอต้องแบกหน้าไปยืมเงินเพื่อน ๆ เพื่อมาหมุนจ่ายค่าต่าง ๆ ภายในบ้าน นานเข้าก็ไม่ค่อยมีใครกล้าให้หยิบยืม “จำพ่อเลี้ยงสามารถได้ไหม” เมื่อเธอพยักหน้าแม่จึงพูดต่อ “เขามาสู่ขอข้าวกับแม่” แต่มันเป็นประโยคที่ทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง “สะ…สู่ขอเหรอคะ” “แม่ยังไม่ได้ตอบอะไรเขาไปหรอกนะ ยังไงก็ต้องมาถามเราก่อน” ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าหัวใจของลูกนั้นอยู่ที่ใคร แต่ตอนนี้บ้านกำลังจะถูกยึด เพราะนางเที่ยวไปหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านมาปรนเปรอให้กับลูกสาวคนเล็กตลอดหลายปีที่ผ่านมา กว่าจะรู้ว่าทำอะไรลงไปก็สายเกินจะแก้ไข เห็นจะมีแค่ทางออกเดียวเท่านั้นในตอนนี้นั่นคือขายลูกกิน “แม่ไม่บังคับหรอกนะถ้าเกิดว่าข้าวไม่อยากแต่ง แม่ก็จะปฏิเสธทางนั้นไป” แม้แม่จะพูดเหมือนเคารพทุกการตัดสินใจของเธอ แต่สีหน้าของท่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเด่นชัดที่สุดจนเธอไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่อยากจะทำเช่นนั้นใจแทบขาด เธอไม่ชอบเสี่ยคนนั้น เพราะเขามักจะชอบเข้าใกล้เธอในลักษณะคุกคามทุกครั้งที่พบหน้า แต่ก็เป็นทุกครั้งที่เธอสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไม่นึกเลยว่าฝ่ายนั้นจะกล้าทำถึงขนาดนี้ หากมีทางอื่นให้เลือกเธอคงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดอะไรให้เหนื่อยใจ แต่เพราะตอนนี้เวลานี้บ้านของเธอกำลังจะถูกยึด แม่กับน้องสาวจะไม่มีที่อยู่ ปัญหาที่เข้ามาพร้อมกันนั้นทำให้เธอไม่มีทางเลือก “ข้าวตกลงค่ะ” คำตอบของลูกสาวทำเอาคนเป็นแม่แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทำเพื่อครอบครัวขนาดนี้ ยอมทั้ง ๆ ที่ต้องแลกด้วยความสุขทั้งชีวิตของตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยรักหรือดูแลขวัญข้าว เพราะคิดเอาเองว่าลูกคนนี้แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงไม่คิดว่าต้องเอาใจใส่อะไรมากนัก ต่างจากขวัญนรีลูกคนเล็กที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เกิด จนตอนนี้เริ่มชักจะกู่ไม่กลับ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดด้วยตาตัวเองทำให้รู้สึกผิดต่อลูกสาวเหลือเกิน หากย้อนเวลาได้นางจะไม่ทำแบบนั้น “ขะ…ข้าวแน่ใจใช่ไหมลูก” “แน่ใจค่ะ แม่ตอบตกลงทางนั้นไปได้เลยนะคะ” เพียงเท่านี้เธอก็ได้รับอ้อมกอดที่โหยหามาตลอดหลายปีจากมารดา ซึ่งมันคุ้มเหลือเกินกับสิ่งที่เธอจำเป็นต้องแลก เพื่อแม่กับน้องสาวเธอทำได้ทุกอย่าง แม้ว่าใจเธอจะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะทำให้แม่กับน้องสาวมีความสุขเธอยอมได้ทั้งนั้น เมื่อให้คำตอบแก่ผู้เป็นแม่แล้วเธอก็รอจนท่านหลับถึงได้พาตัวเองกลับมาที่ห้อง มองหาเพียงครู่ก็พบสิ่งที่ต้องการ ซึ่งมันคือรูปถ่ายของเธอกับพ่อ คงมีเพียงภาพนี้เท่านั้นที่จะช่วยคลายความทุกข์ภายในใจของเธอในตอนนี้ได้ หากพ่อยังอยู่ท่านคงไม่มีวันยอมให้เธอทำแบบนี้ แต่เพราะวันนี้ท่านไม่อยู่แล้ว หน้าที่ดูแลแม่กับน้องสาวจึงต้องตกเป็นของเธอ เธอทนไม่ได้ที่ต้องเห็นทั้งสองตกที่นั่งลำบาก ยังไงก็ทนไม่ได้ ศักดิ์ศรีหรือจะสำคัญไปกว่าคนในครอบครัวที่เธอจะต้องดูแล ‘ข้าวทำถูกแล้วใช่ไหมคะพ่อ’ “น้องสุคงไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ถึงได้ยอมยกหนูข้าวให้เสี่ยสามารถอย่างนั้น น้องได้ยินมาว่าผู้ชายคนนั้นเจ้าชู้อย่างกับอะไรดี จะสงสารก็แต่หนูข้าวนะคะ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่ถนนตัดผ่าน ข่าวการตอบตกลงหมั้นของขวัญข้าวจึงถึงหูสองสามีภรรยาในเวลาอันรวดเร็ว และแม้จะสงสารในโชคชะตาของเด็กคนนั้นมากแค่ไหน กมลกับสามีก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งมากนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของพวกตน ที่พอจะทำได้ก็มีแค่แอบห่วงอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น “สงสารใครเหรอครับ” ยังไม่ทันที่สมบูรณ์ผู้เป็นสามีจะได้ทันตอบอะไรกลับ คำถามของลูกชายก็ดังขึ้นขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน “ไม่มีอะไรหรอกลูก แล้วนี่แต่งตัวซะหล่อเชียวจะออกไปไหน” เพราะไม่คิดว่าการเอาเรื่องทำนองนี้ของคนอื่นมาพูดต่อจะเป็นเรื่องดี กมลจึงเลือกที่จะไม่เล่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม