​EP.7 พิพากษา

1728 คำ
​EP.7 พิพากษา [ข้าวฟ่าง] 6 เดือนต่อมา "ทำไม...ทำไมถึงเลือกวิธีนี้" พี่เวย์ร้องไห้ออกมาตลอดทางที่ขับรถมาส่งฉันมาฟังคำพิพากษาจนถึงลานจอดรถ "ฟ่างทำให้พี่เป็นพี่ชายที่แย่มาก ๆ เลยรู้ไหม" เขาปาดน้ำตาและมองทางฉันด้วยความรู้สึกผิดต่อฉันมาก ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องนี้มันไม่มีใครผิดเลย ไม่มี... "เวลากำลังเริ่มเข้าโรงเรียน ส่วนวายุก็เพิ่งจะขวบกว่า ๆ " ฉันโผเข้าไปกอดพี่ชายตัวเองเอาไว้แน่น "พี่ทับทิมดูแลพวกเขาตามลำพังไม่ไหวหรอกนะคะ" ฉันพยายามอย่างข่มเสียงให้ดูปกติมากที่สุด และไม่ร้องไห้ต่อหน้าพี่ชายตัวเอง "ถ้าไม่มีพี่เวย์...ครอบครัวของเราจะเดินต่อยังไง" ฉันลูบแผ่นหลังของเขาอีกครั้งและแอบปาดน้ำตาตัวเองเบา ๆ หน้าที่การงานของพี่ชายฉันกำลังไปได้ด้วยดี ไหนจะลูก ๆ ของเขาอีก ส่วนฉันต่อให้ไม่ติดคุกสามปีห้าปี ก็คงไม่สามารถสร้างอนาคตที่ดีและดูแลครอบครัวได้ดีเท่ากับพี่เวย์แน่ ๆ เด็กจบใหม่อย่างฉันจะไปเทียบอะไรกับหมออนาคตไกลอย่างเขาได้ "พี่ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย" พี่เวย์ยกมือปิดหน้าตัวเอง และร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะฝืนเก็บความรู้สึกไว้ได้เลย สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นตัดสินให้ฉันถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีเลย เพราะโจทย์ฝั่งโน้นไม่ยอมความ ไม่มีท่าทียอมความใด ๆ เลย และทนายของเขาก็เก่งกว่าเรามาก ๆ ด้วย แต่ยังดีที่ทางทนายของเราขอประกันตัวฉันออกมาเพื่อสู้คดี โดยการยื่นอุทธรณ์ไปก่อน...และวันนี้คือวันที่ตัดสินเรื่องราวทั้งหมด "ขอบคุณนะหมอแอล...ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ " พี่เวย์พูดกับใครบางคนทางโทรศัพท์ทันทีที่เราเดินไปหยุดตรงทางเข้า ฉันก็เพิ่งเห็นว่าเราเปลี่ยนทนายคนใหม่ และทนายคนนี้เดินเข้ามาหาเราทั้งคู่ พร้อมกับบีบไหล่ของพี่เวย์เบา ๆ "เรามีโอกาสชนะเกือบ 80% เลย...หมอไม่ต้องกลัวนะ" ทนายคนนั้นกระซิบบอกกับพี่เวย์เบา ๆ และมองฉันด้วยสายตาที่เอ็นดู "พี่ไม่มีวันส่งเธอเข้าคุกแน่" พี่เวย์เดินจูงมือของฉันเดินเข้าไปฟังคำพิพากษาในศาล ไม่มีวินาทีไหนเลยที่พี่ชายจะปล่อยมือของฉัน ระหว่างการนั่งรอฟังคำพิพากษาสุดท้าย ทนายคนใหม่ของฝั่งเรายื่นเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติมไปมากมาย แต่ตอนนี้ในใจของฉันมันว่างเปล่ามากจริง ๆ ทุกคำพูดโต้เถียงกันไปมาในชั้นศาลแทบไม่มีประโยคไหนเข้าหูของฉันเลย ฉันนั่งเหม่อลอยอย่างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตของฉันกำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ‘ไม่ว่าอะไรจะเกิด จำไว้ว่าเธอตัดสินใจถูกที่สุดแล้ว’ ฉันพูดกับตัวเองภายในใจก่อนจะหันไปมองหน้าของพี่ชายตัวเองอีกครั้งแบบชัด ๆ แต่พอเหลือบมองตรงไปอีกฝั่งหนึ่ง ฉันก็ต้องสะดุดกับสายตาดุดันของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องพิจารณคดีเป็นคนสุดท้าย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา ขอบตาดำคล้ำ ตัดกับสีผิวขาว ๆ ของเขา และเพียงแค่สบตากัน ฉันก็จำได้ทันทีว่าเขาคือสามีของผู้หญิงที่เสียชีวิตคนนั้น คนที่ขู่จะฆ่าฉันทันทีที่เจอหน้ากันอีก "เฮือก.." ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเผลอสบสายตาดุดันคู่นั้น แต่ความตกใจของฉันถูกกลบด้วยเสียงเคาะเบา ๆ ของผู้พิพากษา ก่อนที่พี่เวย์จะจับมือของฉันให้ยืนขึ้นเพื่อฟังคำตัดสิน "ตามคำพิพากษามีดังนี้ เนื่องจากจำเลยขับรถโดยประมาทจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท" เสียงของผู้พิพากษาประกาศลั่นห้องอย่างชัดเจน "เนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน อีกทั้งกระทำไปโดยไม่ได้เจตนา ไม่หลบหนี และสารภาพผิด ถือเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี" "ศาลจึงตัดสินให้โทษจำคุกรอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี แต่คุมประพฤติ 4 ครั้ง ในเวลา 1 ปีตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านคำพิพากษา และทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 48 ชม. และให้ชำระค่าปรับแก่ศาลจำนวนเงิน 10,000 บาท " "รับทราบค่ะ" ฉันเอ่ยตอบไปตามที่ทนายบอกให้พูดทุกอย่าง "เรารอดแล้ว...รอดแล้วนะฟ่าง" พี่เวย์หันมาบอกกับฉัน พร้อมกับดึงฉันเข้าไปสวมกอดและร้องไห้ออกมาในทันที ฝ่ามืออบอุ่นของพี่ชายลูบหัวของฉันอย่างปลอบโยน แม้ว่าในตอนนั้นสมองของฉันมันว่างเปล่าไปหมด ฉันยืนนิ่งอยู่แบบนั้นเกือบ ๆ ห้านาทีได้หลังจากที่ทุกอย่างจบลง ซึ่งพอพี่เวย์คลายอ้อมแขนออกมา พอหันกลับไป ฉันก็ไม่เจอกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเดินออกไปตอนไหน เมื่อไร แต่ภายในใจของฉันทำได้แค่ภาวนาซ้ำ ๆ ว่า... ‘อย่าให้ฉันได้เจอเขาอีกเลย’ [ ข้าวฟ่่าง : END ] หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ณ โรงเรียนวัดแห่งหนึ่ง "ถ้าไม่ได้ครูฟ่าง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ สุดท้ายก็คงไม่มีใครติวหนังสือให้เด็ก ๆ สอบใหญ่แน่ ๆ " ครูใหญ่พูดขึ้นพร้อมกับยื่นเอกสารเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์คืนให้กับเธอ "เด็ก ๆ ที่นี่น่าสงสารมากนะ...อุปกรณ์การเรียนก็ไม่ครบเหมือนที่อื่น ๆ ครูคนหนึ่งก็ต้องแบ่งสอนหลายชั้น หลายวิชา แต่เวลาสอบใหญ่ ๆ ทีก็ต้องใช้ข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศ...บอกเลยว่าเด็ก ๆ ที่นี่เรียนจบประถมศึกษาได้ก็เก่งมากแล้ว" ครูใหญ่พูดตัดพ้อขึ้นอย่างสงสารเด็ก ๆ ในโรงเรียนยากจนแห่งนี้ "ความเหลื่อมล้ำของประเทศเรา...มันน่ากลัวจริง ๆ ค่ะ" ข้าวฟ่างพยักหน้าตามอย่างเข้าใจคำพูดของครูใหญ่ เพราะโรงเรียนวัดแห่งนี้ แตกต่างจากโรงเรียนในเมืองมาก ๆ และครูคนหนึ่งก็ต้องทำงานหนักมากเช่นกัน "แต่ยังไงฟ่างต้องขอบคุณทางโรงเรียนมาก ๆ เลยนะคะ ที่ให้โอกาสฟ่างได้มาบำเพ็ญประโยชน์ที่นี่" หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้คุณครูใหญ่อย่างอ่อนน้อม "ครูก็ต้องขอบคุณครูฟ่างแทนเด็ก ๆ ด้วยเหมือนกันนะ...ที่เข้ามาเป็นจิตอาสาได้ทันเวลาพอดีเลยแถมยังทำงานเกินเวลาอีกต่างหาก" ครูใหญ่ถอนหายใจและเดินออกมาส่งข้าวฟ่างถึงด้านหน้าของโรงเรียน "ครูอังกฤษคนเก่า พอได้งานโรงเรียนเอกชนที่ใหม่ ก็มาเก็บของและยื่นใบลาออกกะทันหันเลย...เขาไม่ได้สนใจเลยว่าเด็ก ๆ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน" ครูใหญ่ระบายความทุกข์ใจของเธอให้ข้าวฟ่างฟัง "หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย" ครูใหญ่บ่นพร้อมกับทอดสายตามองไปยังลานกว้าง ๆ ของโรงเรียน ที่ว่างเปล่า เพราะวันนี้เป็นวันปิดเทอมวันแรกของพวกเด็ก ๆ เลยทำให้โรงเรียนวัดแห่งนี้เงียบเหงามาก ๆ กริ๊ง... เสียงกระดิ่งบอกเวลาเลิกเรียนยังคงดังขึ้นซ้ำเวลาเดิมทุก ๆ วัน "เดี๋ยวครูต้องขอตัวก่อนนะครูฟ่าง พอดีวันนี้วันเกิดคุณสามีที่บ้านน่ะ ต้องรีบกลับไปเตรียมเค้กให้สักหน่อย" "ค่ะครูใหญ่ ตามสบายเถอะนะคะ เดี๋ยวฟ่างขอเดินเล่นรอบ ๆ โรงเรียนสักหน่อย แล้วอีกสักพักก็จะกลับแล้วค่ะ" ข้าวฟ่างเดินไปส่งครูใหญ่ขึ้นรถพร้อมกับยกมือไหว้ท่านด้วยความเคารพ "ได้จ้ะ ๆ ยังไงถ้าเหงา หรือคิดถึงเด็ก ๆ ครูฟ่างกลับมาเยี่ยมโรงเรียนเราได้ทุกเมื่อเลยนะ" ครูใหญ่รับไหว้และบีบไหล่ของเธอด้วยความเอ็นดู ก่อนจะขับรถออกไปช้า ๆ หลังจากที่ครูใหญ่ขับรถออกไปไกลสุดสายตาแล้ว ข้าวฟ่างก็เดินไปหยิบไม้กวาดมายืนกวาดลานหน้าอาคารเรียน ที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ปลิดปลิวหล่นลงมามากมาย ‘ทุกความดีที่ฉันได้ทำ...ฉันขอให้มันส่งไปถึงคุณด้วยนะคะ...คุณแพรชมพู’ ในตอนที่ข้าวฟ่างยืนระลึกถึงหญิงสาวคนนั้น จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของเครื่องยนต์รถที่เร่งเครื่องหนักมากขึ้น มันเริ่มใกล้เข้ามา ๆ มากขึ้นทุกที และ... บรื้น... พอจังหวะที่เธอหันหน้ากลับไปทางเสียงนั้น...เสียงคำรามของรถก็อยู่ตรงหน้าของเธอ "มะไม่!" หญิงสาวร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ เมื่อรถสีดำคันหรูขับพุ่งตรงเข้ามาหาเธอเหมือนตั้งใจจะชน... ตุ้บ! ร่างบางเสียหลักล้มลงกับพื้น รถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาเกือบปะทะเข้ากับร่างของเธอ และ... เอี๊ยด... เสียงล้อรถบดกับพื้นหินดังสนั่น ภาพสุดท้ายที่เธอมองเห็นเป็นเพียงแค่ไฟรถที่ส่องเข้ามาในตาของเธอ ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มพร่ามัวและเบลอ ๆ เหมือนสติของเธอมันใกล้จะวูบดับลงไปทุกที ร่างบางหงายหลังล้มลงไปนอนกับพื้น นัยน์ตาของเธอมองเห็นเป็นท้องฟ้าที่เลือนรางก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าสีส้มแดงในยามเย็น ก่อนที่จะมีใบหน้าของชายคนหนึ่งชะโงกเข้ามาตรงหน้าของเธอ และเขาก็คือ...สามีของคุณแพรชมพู "ในเมื่อกฎหมายทำอะไรเธอไม่ได้...ฉันเนี่ยแหละจะพิพากษาเธอเอง!" ร่างสูงย่อตัวนั่งลงข้างเธอ และพูดออกมาด้วยแววตาที่อาฆาตแค้น "คะ...คุณ" ข้าวฟ่างขมวดคิ้วมองไปทางเขา ก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไปหลังจากนั้น "อย่าเพิ่งตาย...นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น!"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม