บทที่26) ตัดบัวเหลือใย…ตัดใจเหลือเธอ
ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
นานหลายวันผ่านไปกับเขียนหนังสือสัญญาซื้อขายและโอนย้ายกรรมสิทธิ์ ในที่สุดบ้านหลังเก่ากลางใหม่ตรงหน้าก็กลายเป็นของเธอโดยสมบูรณ์
แม้ในตอนแรกลูกสาวของเบญจมาศจะมีท่าทีอิดออดไม่อยากจะขายบ้านให้กับเธอเพราะคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า หากแต่ในที่สุดหลังจากที่เธอโอนเงินเข้าบัญชีของหล่อนไปแปดล้านถ้วนไม่มีต่อรอง หล่อนก็รีบจัดแจงเรื่องสัญญาซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับเธอในทันที
และแล้วก็ผ่านไปได้ด้วยดี...
"ถ้าเทียบกับเงินที่จ่ายไป แม่ว่านี่มันคุ้มมากเลยหนูว่าไหม"
แซนดี้ในสภาพเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้น รองเท้าแตะธรรมดาๆมีกระเป๋านักเรียนสะพายติดหลังสอดส่องสายตามองบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นตรงหน้าที่ถูกดีไซน์ให้กลืนและเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว บริเวณหน้าบ้านมีคลองน้ำใสไหลผ่าน รายล้อมไปด้วยเหล่าแมกไม้ร่มรื่น
บ้านแห่งการเริ่มต้นใหม่ของเธอเป็นบ้านสามชั้น มีเนื้อที่150ตารางวาและพื้นที่ใช้สอย240ตารางเมตร ห้องนอนสี่ห้องที่เธอคิดว่าคงต้องสลับกันนอนเพื่อความคุ้มค่ากับราคาที่ตัวเองต้องจ่ายไป สามห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องทานอาหารและอีกหนึ่งห้องครัวกับหนึ่งลานซักล้าง
ภายนอกมีลานจอดรถที่จอดรถได้สองคัน ภายในบ้านมีแอร์ทั้งหมดสี่ตัว เฟอร์นิเจอร์บิวท์อินครัวครบวงจร มีปั๊มน้ำบ่อบาดาล แท้งค์น้ำและเครื่องทำอุ่น
ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ตู้เย็น ทีวี ไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า เตาอบ เตาแก๊สครบวงจรไม่ขาดเหลืออะไร หรือจะขาดก็เพียงแค่อินเทอร์เน็ตบ้านเพราะคุณป้าเจ้าของเดิมใช้อินเทอร์เน็ตมือถือแบบรายเดือนนั่นเอง
"เงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน ปลอดภัยสำหรับลูกของแม่ที่สุด" แซนดี้ทิ้งตัวลงนั่งบนศาลาที่อยู่บริเวณลานหน้าบ้านเพื่อพักเหนื่อย
"นับว่าโชคดีที่ตากับยายของลูกมีให้แม่ทุกอย่าง และโชคดีที่หนูมีแม่ขี้เหนียว เงินในบัญชีก็เลยพอต่อการซื้อบ้านหลังนี้ได้อย่างสบายๆ"
“คิดถึงคุณตาคุณยายแล้วก็อดเศร้าไม่ได้ นี่ฉันโกรธผัวจนถึงขั้นใจกล้ามาบิ่นมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง
"แต่คิดไปคิดมาเราไม่ใช่ผัวเมียกันสักหน่อย" น้ำตาใสๆหล่นเผาะลงบนหลังมือเล็กๆของเด็กสาววัยเพียงสิบหกปี ที่หนีก็เพราะอยากจะให้เขาตาม อยากจะให้เขาง้อทั้งๆที่...ทั้งๆที่เธอเองนี่แหละที่เป็นคนเลือกที่จะทิ้งเขาไปตั้งแต่แรก
แปะ!
"เห็นป้ามาศบอกว่ากลางคืนจะมีหิ่งห้อยบินมาให้ดูถึงที่บ้าน แต่ยุงชุมขนาดนี้ฉันคงต้องพับแผนที่จะมานั่งดูหิ่งห้อยตรงศาลาใส่กระเป๋าก่อนแล้วละ"
ออกปากบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะเลื่อนตัวจากที่นั่งในศาลาและเดินเข้าไปในตัวบ้านเก่ากลางใหม่ไม่ใหญ่ไม่เล็กที่อยู่ตรงหน้าอย่างอ้อยอิ่ง
"เงียบจัง" อยู่ๆเธอก็เริ่มรู้สึกเหงาขึ้นมา ถ้าหากยังอยู่ที่บ้านในตอนนี้เธอคงกำลังนั่งทานอาหารเย็นกับคุณพ่อคุณแม่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไปแล้ว แต่ต่อจากนี้วิถีชีวิตของเธอมันคงจะต่างออกไปเพราะในตอนนี้เธอไม่มีใครอีกแล้ว ไม่ว่าจะพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งผู้ชายที่เธอเกลียดขี้หน้าอย่างเฟียสต้า
จากนี้มีแค่เธอและลูก...
"ขี้เกียจเดินจัง" แซนดี้เหลือบมองบันไดขึ้นไปชั้นสองและแอบถอนใจออกมาอย่างขี้เกียจ
"นอนในห้องนั่งเล่นดีกว่า ไม่ต้องเดิน ฮ่าๆ"
"ดูอะไรดีละ ฉันไม่เคยดูแกมานานหลายปีละเนี่ย" บ่นไปเรื่อยขณะกดรีโมทเลื่อนหาช่องดูไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
"หาว~ อือ ง่วงจัง" เพราะการเดินทางที่แสนยาวนานบวกกับการจัดการเรื่องซื้อขายบ้านหลังนี้ จึงทำให้เธอไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเท่าที่ควรจะเป็น อาจจะเพราะกำลังตั้งท้องอ่อนๆจึงทำให้เธอรู้สึกเพลียง่ายมากกว่าปกติ
"ฝันดีนะเจ้าฟาสต์" ปากเล็กๆพึมพำทั้งๆที่ยังไม่ทราบเพศลูกเสียด้วยซ้ำ แต่เธอก็เชื่อเหลือเกินว่าตัวเองกำลังจะได้ลูกชาย สัญชาตญาณบางอย่างมันบอกเธอมาแบบนั้น และเธอก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง...
ดวงตาคู่หวานนั้นค่อยๆปรือลงทีละน้อยจนว่าที่คุณแม่ตัวน้อยได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
อากาศยามเช้าในบ้านหลังใหม่ช่างเย็นสบายเสียจนคนที่นอนอยู่บนเตียงสำรองในห้องนั่งเล่นถึงกับไม่อยากตื่น แต่หากจะให้นอนต่อเธอก็คงจะนอนไม่หลับอยู่ดีเพราะในตอนนี้เป็นเวลาหกโมงสามสิบนาที อันเป็นเวลาตื่นนอนประจำในทุกๆวันของเธอนั่นเอง เธอไม่เคยนอนตื่นสายและไม่ชอบนอนตื่นสาย เพราะรู้สึกเสียดายเวลาชีวิตเกินกว่าจะนอนจมอยู่กับเตียงจนดวงตะวันสายโด่ง
"ต้องเพลียขนาดไหนเนี่ย" แซนดี้กดปิดทีวีที่เปิดทิ้งไว้หลายชั่วโมงอย่างนึกเสียดายไฟฟ้าที่ใช้ไป ก่อนจะตรวจเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งในกระเป๋าที่เตรียมมาว่ามันยังอยู่ดีไหม
"โอเค ยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์" เสียงหวานว่าอย่างโล่งใจก่อนจะสาวเท้าไปอาบน้ำที่อยู่ในชั้นล่างของบ้าน วันนี้เธอกะว่าจะปั่นจักรยานไปเที่ยวสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ที่อยู่ห่างจากบ้านไปเพียง900เมตรเพื่อเป็นการผ่อนคลายเสียหน่อย
"คุณนาย ได้โปรดอย่าขายบ้านเลยนะคะ คุณนายขายบ้านแล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนละคะ ได้โปรดนะคะคุณนาย"
"คุณนายครับ โปรดเมตตาผมกับคุณแม่และน้องสาวด้วยครับ ถ้าหากคุณนายขายบ้านตอนนี้พวกเราทั้งสามคนก็คงจะไม่มีที่คุ้มกะลาหัว คุณนายครับ"
"พวกคุณเป็นใครกัน" หญิงสาวรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าที่บุคคลปริศนาสามคนกำลังขย่มรั้วบ้านของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
"มาผิดบ้านหรือเปล่าคะ?"
"คุณนายเขาคงขายบ้านไปแล้ว" เด็กหญิงใบหน้าหวานน่ารักจิ้มลิ้มวัยประมาณ9ขวบแบะปากออกคล้ายว่ากำลังจะร้องไห้
"เราจะทำยังไงกันดีครับแม่" เด็กชายสูงโปร่งวัยประมาณ20ปีเอ่ยถามหญิงวัย40กลางๆที่เธอคิดเอาไปเองว่าคงจะเป็นแม่ของเด็กทั้งสองคนก่อนหน้า
"ขอโทษที่รบกวนค่ะ พอดีดิฉันและลูกๆไม่ทราบมาก่อนว่าบ้านหลังนี้มีเจ้าของใหม่ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ขอโทษจริงๆค่ะ ไปกันเถอะลูก" เสียงคนแม่เอ่ยอย่างละห้อยขณะออกแรงดันหลังให้บุตรทั้งสองเดินตามเธอไป
เดิมทีทั้งสามเป็นคนเรร่อนที่ได้ความเมตตาจากเจ้าของบ้านคนก่อน พวกเขาได้ที่ซุกหัวนอนกับอาหารประทังชีวิตแลกกับการดูแลปรนนิบัติเจ้าของบ้าน
หากแต่วันดีคืนดีคุณนายก็เดินมาแจ้งข่าวร้ายที่ว่าเธอกำลังจะขายบ้านหลังนี้เพื่อที่จะย้ายไปอยู่กับลูกสาวที่ภาคเหนืออย่างถาวรและขอให้พวกตนนั้นย้ายออกไปโดยที่คุณนายจะให้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อที่พวกเขาจะได้นำไปสร้างหลักปักฐานเสียใหม่
พวกเขาไม่อยากจะรับเงินจำนวนนั้นแม้มันจะมากสักแค่ไหน เพราะทั้งสามเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่เด็กชายอายุ11ขวบและเด็กหญิงที่อยู่ในวัยแบเบาะ พวกเขาจึงรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้เป็นพิเศษแม้หลายปีที่ผ่านมาจะได้หลับนอนอยู่แค่ในกระต็อบท้ายสวนของคุณนายก็ตาม
"เข้ามาข้างในก่อนสิคะ"
-ตัด-
ทิ้งเขาเกลียดเขาแต่อยากให้เขาง้อ เกลียดแบบใดฤาออเจ้า ????
Mallikar
(เขียน)