เจียนตาย

1500 คำ
พสุธากับอนุชาผู้ซึ่งเป็นแม่และพ่อของอนุชิตและศันสนีย์ผู้ที่เป็นแม่ของสรินยานั่งมองอนุชิตที่กำลังหลับใหลไปด้วยฤทธิ์ยาสลบและถูกพันธนาการทั้งร่างกายเอาไว้กับเตียงของโรงพยาบาลสลับกับมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นดี "เกิดอะไรขึ้น" นฤเบศน์ที่ตามเข้ามาสมทบทีหลังหลังจากที่ได้ส่งตัวลูกสาวกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วเป็นที่เรียบร้อยเอ่ยขึ้น "มีเรื่องอะไรกัน" "ฉันสิต้องถามพี่ เกิดอะไรขึ้นที่ห้องพักของยัยแซนเมื่อวานนี้ตาเฟียสถึงได้ควบคุมสติของตัวเองไม่ได้ถึงขนาดนั้น ยัยแซนไปดื้ออะไรกับตาเฟียสเขาอีก" ศันสนีย์ว่าอย่างเริ่มหวั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะได้คำตอบจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน "คือ" อันที่จริงนฤเบศน์ก็ตระเตรียมคำพูดในเรื่องของลูกสาวเพื่อนำมาจับเข่าคุยกันกับภรรยามาบ้างแล้ว แต่มันไม่ใช่กับสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็ลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องบอกกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าพ่อและแม่อนุชิต แม้ทั้งคู่จะเป็นเพื่อนสนิทของพวกเขาก็ตามที ที่เรียบเรียงคำพูดเอาไว้ก่อนหน้าพังลงไม่เป็นท่า... "แซนดี้บอกพี่ว่า ว่า..." "เป็นอะไร ทำไมไม่พูด กลัวดอกพิกุลมันจะร่วงออกมาจากปากหรือไงกัน ทำไมพี่ถึงไม่พูดออกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น" "ลูกบอกพี่ว่าลูกกับเฟียสต้า" นฤเบศน์สูดลมหายใจหนักๆเข้าปอดก่อนจะกลั้นใจพูดออกไปจนจบ "มีอะไรกัน" "และลูกก็บอกว่าถ้าหากลูกท้อง ลูกจะขอเลี้ยงลูกคนเดียวและไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรกับเฟียสต้า ลูกบอกว่าเขาคงทนไม่ได้ที่จะต้องแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ...คนที่ลูกไม่ได้...รัก" "..." ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลังได้ยินประโยคดังกล่าวจากปากนฤเบศน์ แน่นอนว่าพวกเขาที่เป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้มีปัญหาหากเด็กนั้นรักกันขึ้นมาจริงๆ แต่ปัญหามันติดอยู่ที่ระหว่างสรินยาและอนุชิตเป็นเพียงแค่ความพลาดพลั้งเผลอไผล หาใช่ความรักไม่ และสำคัญไปกว่านั้นก็คือสรินยาไม่ได้มีใจรักอนุชิตเลยแม้แต่เสี้ยวหนึ่ง นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นปัญหาถ้าหากสรินยาเกิดตั้งท้องขึ้นมาจริงๆ "อ๊ากกกกกก" เสียงโวยวายดังลั่นที่ดังขึ้นทำให้สี่ชีวิตที่ปรึกษาหารือกันอยู่สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจจนแทบจะลมจับเมื่อรับรู้ได้ว่าอนุชิตนั้นได้ยินประโยคก่อนหน้าที่นฤเบศน์เอ่ยออกมาจนหมดสิ้น "เฟียส พ่อเองลูก พ่อเฟิส์ตนะลูก" อนุชาเดินเข้าไปหาลูกชายที่กำลังโวยวายด้วยความเป็นห่วงก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกสามชีวิตออกไปจากห้องก่อน "เกิดอะไรขึ้นกับตาเฟียสกันแน่" สิ้นคำถามของนฤเบศน์ พสุธาและศันสนีย์ก็หันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนศันสนีย์จะพยักหน้าให้เพื่อนเบาๆเชิงว่าจะขอเป็นคนเล่าให้สามีฟังเอง ย้อนกลับไปเมื่อเที่ยงวันของเมื่อวานนี้... "คนดี พ่อบอกหรือยังว่าพ่อผิดหวังในตัวหนู ก็ไม่จริงไหม ที่พ่อบอกลูกแบบนั้นก็เพราะอยากให้ลูกรู้ว่าไม่มีอะไรที่มันจะป้องกันได้แน่นอนหรอกนะลูก แต่ไม่ใช่ว่าพ่อจะรับไม่ได้ที่ตัวเองกำลังจะมีหลาน" เฟียสต้าที่ย้อนกลับมาเพราะลืมมือถืออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาหลังจากได้ยินประโยคนั้นออกมาจากปากของพ่อของหญิงสาว เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาพึ่งกระทำต่อคนน้องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งแต่ก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่พ่อของหญิงสาวไม่ได้มีท่าทีจะกีดกัน "ถ้าแซนดี้ท้อง แซนดี้ก็ต้องแต่งงานกับคนที่แซนดี้ไม่ได้รัก แซนดี้ทนอยู่กับครอบครัวที่ไม่มีกระทั่งความรักต่อสามีภรรยาไม่ได้จริงๆ ค่ะ มันอาจจะฟังดูเอาแต่ใจแต่ถ้าหากแซนดี้ท้องขึ้นมาจริงๆ แซนดี้...ไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตแซนดี้และลูกค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม" มาถึงตอนนี้มือไม้แกร่งที่กำลังจับลูกบิดประตูหวังจะเปิดเข้าไปก็เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาจนลูกบิดประตูนั้นเหนอะหนะไปด้วยคราบเหงื่อ "หนูก็รู้ใช่ไหมว่าหนูทำอย่างนั้นไม่ได้ เฟียสต้าเขาไม่ได้ผิดอะไร" ช่างน่าเห็นใจที่ในตอนนี้สมองของอนุชิตไม่สามารถซึมซับประโยคที่ออกมาจากปากของพ่อเธอได้เลย สมองเขากลั่นกรองเข้าไปในหัวใจได้แค่คำพูดที่ว่า 'เธอไม่ต้องการเขา' "ก็ได้ค่ะ หากถึงวันนั้นแซนดี้จะเปิดโอกาสให้เขาได้ทำหน้าที่พ่อ แต่ขอบอกเอาไว้ตรงนี้นะคะว่าแซนดี้ก็คงไม่คิดที่จะเปิดใจให้เขามาทำหน้าที่สามี เพราะแซนดี้ไม่ต้องการ แซนดี้ไม่ได้รักเขา แซนดี้ไม่เคยรักเขา" ไม่รัก เธอไม่รัก ไม่เคยรัก ไม่เคยรักเขา เมื่อความคิดจากสมองมันสั่งการออกมาแบบนั้นร่างกายแกร่งก็ถึงกับเซกลับหลังอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง เขาผิดอะไร เขาไม่ดีตรงไหน ทำไมเธอถึงเกลียด ทำไมเธอถึงไม่รัก ไม่แม้จะอยากให้โอกาสเขาได้ใช้คำว่าพ่อถ้าหากเธอตั้งท้องขึ้นมา 'แซนดี้ไม่ต้องการ แซนดี้ไม่ได้รักเขา แซนดี้ไม่เคยรักเขา' ประโยคร้ายก้องขึ้นมาหลอกหลอนอีกครั้งจนหัวใจในทรวงอกเริ่มบีบรัดขึ้นมาจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก "อ๊ากกกกกก" เสียงจากปากคมลากยาวด้วยความเจ็บปวดดังมีเข็มนับพันทิ่มแทงหัวใจ สองเท้าย่ำไปตามทางเดินอย่างทุลักทุเลสองมือปัดป่ายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าดั่งคนไร้ซึ่งสติ โครม! ก่อนร่างนั้นจะล้มตึงลงและดิ้นเร่าไปมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป มือเท้าเกร็งงอเข้าหากันช้าๆ น้ำลายฟูมออกมาจากช่องปากเป็นฟองฝอยก่อนฟันคมจะขบลงกับลิ้นของตัวเองอย่างแรงจนเลือดสาดกระจาย "หมอ พยายบาล รปภ. ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ ตาเฟียสลูก ตาเฟียส ทำใจดีๆเอาไว้ลูก อย่ากัดลิ้นตัวเองลูก" ศันสนีย์ที่เดินทางมาถึงโรงพยาบาลแล้วปะกับภาพตรงหน้าพอดีก็ทุ่มกระเช้าส้มสายน้ำผึ้งที่ตั้งใจซื้อมาให้ลูกสาวลงกับพื้นและวิ่งโร่เข้าประคองร่างใหญ่ของอนุชิตในทันที นิ้วเล็กที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลายัดลงในปากของเด็กหนุ่มเพื่อหวังให้เขาหยุดกัดลิ้นของตัวเอง แม้นั่นจะทำให้ตัวเองถูกกัดจนนิ้วมือเกือบขาดก็ตามที "รับสิอีฟ้ารับสิวะ" หลังจากอนุชิตถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปศันสนีย์ก็ควานหามือถือเพื่อต่อสายหาแม่ของเด็กหนุ่มในทันที 'เออว่าอีซันนี่' 'อีฟ้าบินลงใต้เดี๋ยวนี้ตาเฟียสเป็นอะไรก็ไม่รู้อยู่ดีๆก็ชักตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน' หลังจากพสุธาวางสายไปศันสนีย์ก็เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกหวาดผวาจนอกแทบจะระเบิด "ออกมาสักทีสิหมอ ออกมาสักทีจะได้ไหมนานแล้วนะ" สองมือยกขึ้นเหนือหัวอย่างวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ผ่านไปนานนับสองชั่วโมงที่อนุชิตถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินนั้น "ถ้าหมอยังไม่ออกมา ออกมาอีกทีฉันจะกลายเป็นอีกคนที่นอนอยู่ในนั้นไปอีกคนแล้วนะหมอ ได้โปรดออกมาสักทีเถอะนะหมอ" ศันสนีย์เริ่มคิดมากไปต่างๆนาๆจนน้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยความหวาดกลัวว่าอนุชิตจะเป็นอะไรไป เพราะเด็กหนุ่มเป็นคนดีมีสัมมาคารวะอีกทั้งยังขยันขันแข็งจึงทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้มากเป็นพิเศษ และเธอคงจะอยู่ต่อไปไม่ไหวถ้าหากได้รับข่าวที่ไม่ดีในทันทีที่หมอออกมาจากห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล "ญาติคุณอนุชิต ศิระศิลป์ธิญพลครับ" ในที่สุดการรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุดลงเสียที เมื่อแพทย์หนุ่มคนหนึ่งได้เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา "ฉันเป็นน้าของคนไข้ค่ะหมอ คนไข้อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ" -ตัด- คำบางคำคนพูดไม่เคยจำแต่คนฟังจำไม่เคยลืม มัลลิกา (เขียน)
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม