“ยัยนั่นทำตัวระริกระรี้กับเพื่อนที่แคนทีน”
“ดูยัยหัวเชื้อเพลิงนั่นสิ โคตรไม่เจียมตัวเลย”
“จริง กล้าดียังไงไปชอบพี่เหมันต์”
“น่ารังเกียจมาก”
“หน้าแบบนั้นพี่เหมันต์ไม่สนใจหรอก ไม่ดูสารรูปตัวเองเลย”
ได้ยินเสียงด่าทอพร้อมสายตาดูถูกพวกนั้นก็ทำให้ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวเดินมาที่ตึกกิจกรรมแทนที่จะไปห้องเรียน
หลังจากที่หมิวพยายามลากฉันไปหาพี่เหมันต์ที่แคนทีน ทุกคนก็พากันเดาว่าฉันคงชอบพี่เหมันต์ หลายคนจึงพากันพูดจิกกัดและมองด้วยสายตาประณามให้ฉัน โดยส่วนมากก็ด่าฉันว่าไม่เจียมตัว ไม่ดูสารรูปตัวเอง บางคนก็เบะปากทำเป็นหมั่นไส้ให้ฉัน โดยที่ฉันไม่เคยทำอะไรให้คนพวกนั้น และคำพูดที่ฉันเจ็บจี๊ดมากที่สุดก็คงเป็นคำว่า ‘หัวเชื้อเพลิง’ ที่ตอกย้ำปมด้อยและมันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ จนอยากหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ต้องพบเจอสายตาของคนพวกนั้น
ฉันขึ้นบันไดมาเรื่อย ๆ ก่อนเท้าของฉันจะหยุดชะงักกึกอยู่หน้าห้องศิลปะ ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นบันไดมาอีกชั้นเมื่อเปลี่ยนใจอยากไปอีกสถานที่หนึ่งแทน
หวังว่าจะไม่มีคนอยู่บนนั้นนะ
เมื่อขึ้นมาถึงดาดฟ้า ฉันก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเมื่อไม่เห็นมีใครก็เดินมาเกาะราวระเบียงไว้แล้วยื่นใบหน้าออกไปเล็กน้อยปล่อยให้สายลมแรง ๆ พัดมาตีใบหน้าของตัวเองให้รู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลาย หวังให้มันช่วยชะล้างความเจ็บปวดในใจออกไปและล่องลอยไปกับสายลม
ฉันทำผิดมากเลยเหรอ?
ฉันแค่ชอบพี่เหมันต์ แต่ทำไมทุกคนต้องมาด่าว่าให้ฉันด้วย ทำเหมือนตัวเองเดือดร้อนแทนพี่เหมันต์ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของพวกคนเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ
แอร๊ดดด...
เสียงเปิดประตูดึงสติที่ลอยไปไกลของฉันให้กลับมา ฉันรีบหันไปมองก็เห็นร่างสูงแสนคุ้นตายืนอยู่ตรงประตู ฉันจึงโค้งหัวให้พี่เหมันต์เล็กน้อย และพึงตระหนักได้ว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ เพราะมันคือที่ประจำและยังเป็นที่ลับของพี่เหมันต์ด้วย
“ไม่ต้องไป”
ขณะที่ฉันกำลังจะเดินตรงไปที่ประตูเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เสียงของพี่เหมันต์ก็พูดบอกขึ้น ทำให้ฝีเท้าของฉันหยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่เหมันต์ด้วยความแปลกใจ
“อยู่ตรงนี้แหละ พี่ไม่ว่าอะไรน้องหรอก” พี่เหมันต์พูดบอกก่อนจะเดินมาหยุดยืนเกาะราวระเบียงอีกด้านซึ่งไม่ไกลจากฉันมากนัก ค่อย ๆ หันมามองฉันด้วยแววตาอ่านไม่ออก จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทำเอาหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ว่าแต่ท่าทางแบบนี้ของพี่เหมันต์มันหมายความว่ายังไงกัน แล้วพี่เหมันต์จะรู้เรื่องที่ฉันแอบชอบหรือยังนะ?
“......”
“เพื่อนคนที่ลากน้องตอนอยู่ที่โรงอาหารชื่ออะไรเหรอ?”
คำถามของพี่เหมันต์ทำฉันชะงักไปเล็กน้อยก่อนคิ้วจะขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจที่พี่เหมันต์อยากรู้ชื่อของหมิว แต่ก็ยอมตอบไปแบบพยายามไม่คิดอะไร “หมิวค่ะ”
“อ้อ” พี่เหมันต์ครางรับก่อนจะเงียบไป ฉันแอบเหล่ตามองก็เห็นพี่เหมันต์เหม่อมองไปไกลคล้ายกำลังคิดอะไรไปเรื่อย และเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าโดนแอบมอง หันมาฉีกยิ้มและหยักคิ้วให้ฉัน “แอบมองพี่?”
“ปะ..เปล่าค่ะ!”
พี่เหมันต์ขำเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวมามองจ้องหน้าฉันแบบตรง ๆ โดยเอาหลังพิงราวระเบียงไว้ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “น้องแอดเฟซบุ๊กพี่มา ไม่เห็นทักมาหาเลย”
“......” ฉันไม่รู้จะตอบอะไรพี่เหมันต์ไป หรือจะเรียกว่าตอบไม่ถูกก็ได้ หัวใจเต้นระส่ำระสายอธิบายไม่ถูก เหมือนสมองไม่สั่งการอีกแล้ว
“พี่แค่สงสัย”
“......”
“ทำไมไม่ตอบพี่ หืม?” เมื่อเห็นฉันไม่ยอมตอบก็เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าแปลกใจปนสงสัย ฉันจึงต้องพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วพูดออกไป
“หนูกลัวพี่รำคาญค่ะ”
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันคล้ายไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ก็พยายามใจเย็นถามฉัน
“นะ..หนูคิดว่าคงมีคนทักพี่ไปเยอะแล้วค่ะ ไม่อยากเพิ่มภาระ พี่คงจะขี้เกียจตอบค่ะ”
“อย่าคิดแทนพี่”
ดวงตาคมกริบมองจ้องฉันอย่างจริงจัง สะกดฉันให้สบตาค้างไว้เนิ่นนาน ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่กล้าสบตาหรือมองหน้าพี่เหมันต์เกินสามวินาทีซะด้วยซ้ำ
“ทักมาได้เสมอ พี่พร้อมตอบน้องขนมฟูครับ”
“......”
“มองหน้าพี่แบบนี้หมายความว่ายังไง?” เอียงคอถามฉันอย่างประหลาดใจ ฉันจึงหลุบตาต่ำเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกไปตามที่รู้สึก
“หนูแค่แปลกใจค่ะ”
“ทักพี่มาเถอะ แล้วน้องจะรู้ว่าพี่ไม่ได้ขี้เกียจตอบ” พี่เหมันต์พูดพลางส่งรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนมาให้ฉัน ดวงตาเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างในนัยน์ตาคู่นั้น หากแต่ฉันอ่านไม่ออก และพอได้เห็นรอยยิ้มของพี่เหมันต์แล้วก็ทำให้ฉันกล้าที่จะค่อย ๆ คลี่ยิ้มส่งกลับไปให้พี่เหมันต์ด้วย จากปกติที่แทบจะไม่กล้ายิ้มเพราะกลัวว่ามันจะดูประหลาด
ไม่รู้ว่าทำไมพอได้รับการยืนยันอีกครั้งจากพี่เหมันต์เมื่อกี้นี้ หัวใจของฉันก็กระหน่ำเต้นรัวแรงด้วยความรู้สึกดีใจไม่น้อย พี่เหมันต์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉันในตอนนี้ช่างเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและอ่อนโยนมาก แถมยังน่ารักอีกต่างหาก แล้วแบบนี้ฉันจะเลิกชอบพี่เหมันต์ได้ยังไงกันนะ