- 5 -
เรื่องใหญ่
เสียงกุกกักจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำทำให้คนตัวเล็กที่นอนจมอยู่บนเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แววตาหวานกวาดมองจนกระทั่งหยุดอยู่ที่ร่างสูงของแฟนหนุ่ม ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพหลังอาบน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันรอบเอวไว้เท่านั้น แผ่นหลังกว้างพานทำให้เธอนึกจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน อยู่ ๆ ใบหน้าหวานก็ออกสี เผลอไผลจนกัดปากตัวเองแน่นอย่างคนลืมตัว
"หื่นนะเรา...เตรู้น่าเมลว่าเตเซ็กซี่ แต่เมลช่วยเก็บอาการหน่อย"
เตโชได้ยินเสียงขยับตัวจากเตียงกว้างก็ทำให้เขาหันหน้าไปมอง เห็นแฟนสาวมองมาที่เขาไม่วางตา แถมสายตาก็หวานเชื่อมจนอดแซวไม่ได้
"บะ...บ้า! เก็บอาการอะไร เมลยังไม่ได้ทำอะไรเลย"
หญิงสาวเฉไฉหันหน้าหนีเพื่อหลบใบหน้าขัดเขินทั้งที่รู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าจะให้บอกตรง ๆ ก็เป็นอย่างที่เขาว่า เมื่อกี้เธอกลายเป็นยัยโรคจิตจอมหื่นจริง ๆ!
"วันนี้เมลมีงานรึเปล่า ออกไปพร้อมเตไหม"
ร่างสูงหันกลับไปยังตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อเชิ้ตสีสุภาพมาสวมใส่ หลังจากนั้นก็จัดการฉีดน้ำหอมกลิ่นโปรดประทินด้วยครีมบำรุงเล็กน้อย ตามด้วยการเซ็ตผมง่าย ๆ แต่กลับทำให้คนที่มองถึงกับใจอ่อนระทวย
"เตรีบไหม เมลขอล้างหน้าล้างตาแป๊บนึง"
"ไม่รีบ วันนี้เตมีนัดคุยกับลูกค้าสิบโมงโน่นแหละ มีเวลามากพอที่จะพาแฟนไปกินข้าวเช้า"
เตโชมองดูนาฬิกาบนข้อมือเล็กน้อยและยิ้มบาง ๆ ให้กับหญิงสาว ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าเขายังเหลือเวลาอีกมากก่อนที่จะต้องรับศึกหนักในการทำงาน
"เตหยิบผ้าขนหนูให้เมลหน่อยสิ ตรงนั้นน่ะ" ใบหน้าหวานพยักพเยิดไปยังบริเวณข้างตู้เสื้อผ้าที่มีผ้าขนหนูพับไว้อย่างเรียบร้อย ตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าที่มีเพียงผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างกายไว้อยู่เท่านั้น จะให้เดินทั้งที่ถูกลอกคราบก็คงจะใจกล้าเกินไป
"เขินเหรอ"
เขาเห็นสีหน้าแดง ๆ ของเธอมาตั้งแต่ต้นก็พอจะรู้ แต่ยังไงก็ยังอยากแกล้งเธออยู่ดี คนตัวโตสาวเท้าก้าวเข้าไปหาพลางวางมือลงที่เรือนผมนุ่มอย่างแผ่วเบา
จนกระทั่ง...
"ว้าย! เตทำอะไร! เต!"
ร่างบางลอยหวือเหนือพื้นเมื่ออยู่ ๆ ก็ถูกวงแขนแกร่งช้อนร่างของเธอเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว ผ้าห่มที่คลุมกายก็หลุดไปกองอยู่บนเตียงก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังห้องน้ำและวางเธอลงที่เคาน์เตอร์อ่านล้างหน้าและโน้มใบหน้าลงจนแนบชิดกันและกัน
ลมหายใจอุ่นเป่ารดข้างแก้มใสที่เบี่ยงออก เธออยากจิกอยากข่วนคนตรงหน้าให้เจ็บเคืองแต่ความเขินอายกลับมากล้น จึงทำได้เพียงการหลบเลี่ยงสายตาคมของเขา
"เตแกล้งเมลเหรอ"
"เวลาเขินแล้วเมลน่ารักดี" เตโชไม่ปฏิเสธแถมยังกดจมูกลงที่แก้มใสแรง ๆ อย่างนึกมันเขี้ยว
คงจะมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้เห็นมุมน่ารักแบบนี้ของเธอ เพราะเวลาอยู่หน้ากล้องหรืออยู่บนโซเชียลเธอก็จะกลายเป็นเมลบีที่มีความมั่นใจและมีความเฉี่ยวตามภาพลักษณ์ที่ได้สร้างไว้
"พอแล้วเต ออกไปได้แล้วเมลจะอาบน้ำ"
"แล้วมีชุดเปลี่ยนเหรอ"
"ก็ใส่ชุดเดิมนี่แหละ เดี๋ยวเมลก็กลับไปที่บ้านแล้ว ป่านนี้พ่อกับแม่ก็คงออกไปส่งของแล้วแหละ"
พอนึกถึงคนที่บ้านก็ทำให้เห็นใบหน้าเป็นกังวลของเธอ เรื่องเมื่อวานยังคงเป็นแผลสดที่ทำให้เธอรู้สึกเกิดความบาดหมางกับผู้เป็นแม่อย่างไม่เคยเป็น ทั้งที่ยังหาคำตอบไม่ได้แต่ก็ต้องเลิกคิดเพราะไม่อยากให้แฟนหนุ่มต้องพลอยกังวลตามไปด้วย
"เมลย้ายมาอยู่กับเตไหม"
เตโชค้ำแขนทั้งสองข้างให้อยู่ระหว่างร่างเล็ก ขณะนั้นก็โน้มใบหน้าลงแนบชิดหวังใช้ความอ่อนโยนออดอ้อนให้เธอโอนอ่อน
"แหนะ หยุดเลยนะเต เลิกแกล้งเมลได้แล้ว"
"เตไม่ได้แกล้ง เตแค่ถามเองว่าย้ายมาอยู่กับเตไหม"
คนตัวโตถามอย่างเอาคำตอบ เขามั่นใจว่าเขาอยากอยู่กับเธอ อย่างน้อย ๆ ตื่นมาก็ได้เห็นหน้าเธอเป็นคนแรกในเช้าวันใหม่ หากเป็นเช่นนั้นก็คงมีความสุขไม่น้อย
"เตอยากให้เมลมาอยู่ด้วยเหรอ"
ใบหน้าหวานเชยขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยแววตาใสแจ๋ว เธอเองก็รู้สึกดีแต่ก็กลัวว่าการย้ายมาอยู่กับเขาจะเป็นการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเกินไปหรือเปล่า
เมลบีมักจะมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง และเธอเองก็คิดว่าเขาเองก็ต้องการเช่นนั้น หากเธอย้ายเข้ามาอยู่กับเขาที่นี่ก็เท่ากับว่าเวลาชีวิตในแต่ละวันเธอจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้
"อยาก แล้วเมลโอเครึเปล่า"
"เมลโอเค แต่เมลกลัวเตอึดอัดน่ะสิ เตไม่รู้หรอกว่าเมลเป็นพวกสกินชิพมากแค่ไหน แต่บางทีเมลก็มีโลกส่วนตัวเกินกว่าใครจะเข้าใจ เมลกลัวเตรับไม่ไหว"
เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอ มือหนาลูบเบา ๆ ที่เรือนผมนุ่มก่อนจะรั้งเธอเข้ามากอดแนบอก
ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่ จริงอยู่ที่เตโชไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแต่พอเป็นเมลบีกลับทำให้ความคิดเหล่านั้นหายไป หากวันไหนที่เขาทำตัวไม่ดีไม่น่ารักเขาก็หวังว่าจะมีเธอคอยอยู่ข้าง ๆ เป็นที่พักพิงคอยปรับปรุงและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
"เตโอเค ไม่อย่างนั้นเตไม่ชวนมาอยู่ด้วยกันหรอก ดีซะอีกเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น"
"แล้วถ้าเราสองคนทะเลาะกันล่ะ"
"วันไหนที่เมลโกรธเตเมลก็กลับไปนอนที่บ้านก็ได้ แต่เดี๋ยวเตจะตามไปง้อถึงที่เองโอเคไหม"
คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากแฟนสาวได้เป็นอย่างดี วงแขนเล็กโอบคอหนาเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับที่กลีบปากอย่างบางเบาและผละออก
"เต..."
ดวงตาฉ่ำปรือของเธอบ่งบอกความต้องการได้เป็นอย่างดี
"เฮ้อ...เป็นแฟนกันได้วันเดียวเมลก็ใช้งานเตหนักเหมือนกันนะเนี่ย"
"ไม่ต้องเลยนะ สายตาเตมันฟ้องว่าเตก็อยากเหมือนกัน"
มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นก็กดริมฝีปากอย่างดูดดึงและรั้งเอวบางเข้าหาตัวจนแนบชิดที่แผงอกแกร่งเพื่อเริ่มต้นกิจกรรมรักในยามเช้า
"ถ้าไปทำงานไม่ไหวอย่ามาโทษเตแล้วกัน!"
รถยนต์เอสยูวีขับมาจอดที่ลานจอดรถสำหรับหัวหน้างานประจำฝ่าย วันนี้เขามีคุยงานกับลูกค้าที่บริษัททำให้ไม่ต้องเข้างานตามเวลาที่กำหนดในตอนแปดโมง หลังจากที่ออกจากคอนโดฯ มาพร้อมกับเมลบีเตโชก็ไปส่งเธอที่บ้านและขับรถตรงมายังบริษัท ในมือก็ถือกระดาษแปลนม้วนใหญ่สองม้วน ส่วนมืออีกข้างก็ถือแก้วกาแฟร้านประจำที่จอดซื้อระหว่างทาง
ขายาวก้าวฉับตรงไปยังโต๊ะทำงานที่มีโซนส่วนตัว แต่ก่อนจะไปถึงที่หมายก็ไม่วายต้องถูกสแกนจากสายตาของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปอย่างนึกจับผิด
สองสถาปนิกหนุ่มเมื่อเห็นสีหน้าแช่มชื่นของหัวหน้างานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนก็รีบตรงปรี่เข้ามาล็อกตัวเอาไว้หวังจะเค้นถามให้ได้ความก่อนจะยอมปล่อยตัว
"ล็อกมันไว้! ล็อกมันไว้ให้แน่น ๆ เลยไอ้นิค"
"มึงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นไอ้เตเพื่อนรัก ตอบคำถามมาซะดี ๆ แล้วกูจะยอมปล่อย"
วิทและนิคล็อกตรึงทั้งแขนขาหวังจะเค้นถามอะไรบางอย่างให้รู้ความชัดแจ้ง ผิดกับคนที่ถูกพันธนาการที่ตอนนี้กำลังกลอกสายตาไปมาอย่างนึกรำคาญแถมยังไม่มีท่าทีตอบโต้อะไรอีกด้วย
"เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้ไอ้พวกเวร อะไรกันวะเนี่ย! ปล่อยกู!"
"มึงคบกับเมลแล้วเหรอวะ"
คำถามแรกที่เอ่ยออกมาทำเอาเตโชถึงกับถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เขาไม่คิดว่าการที่เพื่อนทั้งสองลงทุนมาจับล็อกกลางบริษัทไม่อายผู้คนนั้นจะเป็นเพียงการถามคำถามง่าย ๆ แบบนี้
"พวกมึงลงทุนเกินไปป้ะวะ ตั้งใจจะถามแค่นี้อะนะ?"
"ก็เออดิ! สรุปคบกันแล้วจริง ๆ ใช่ไหมวะ"
"แล้วมึงรู้ได้ไง"
เตโชขมวดคิ้วยุ่งมองเพื่อนทั้งสองคนที่รู้ข่าวไวยิ่งกว่าอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งตัดสินใจขอเป็นแฟนเมื่อวานนี้เท่านั้น แต่เพื่อนตัวดีกลับตื่นรู้ไวจนน่าตกใจ
"ก็เมื่อวานกูเห็นพ่อกับแม่เมลพอดี แล้วด้วยความที่กูขี้เสือก กูก็เลยแอบฟัง ได้ยินว่าแม่เมลโกรธเมลมากที่พาแฟนมาเปิดตัว กูก็เลยเดาว่าต้องเป็นมึงนี่แหละ"
นิคเอ่ยพลางวิเคราะห์สถานการณ์ที่เป็นไป เขาอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเมลบี รู้จักชิดเชื้อกันมาก็หลายปี แถมในตอนนี้เพื่อนสนิทก็ยังคบหาดูใจกันในฐานะแฟนอีก พอได้ยินแบบนั้นก็ทำให้สงสัยจนแทบนอนไม่หลับ
"มึงนี่มันขี้เสือกจริง ๆ เลยนะไอ้นิค พ่อแม่ตัวเองก็ไม่ใช่ กูขอมอบโล่จอมเสือกให้เลย!" เตโชสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมและเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานอย่างไม่คิดสนใจในคำถาม แต่ไม่นานก็ถูกดักหน้าเอาไว้พร้อมกับสายตามุ่งมั่นที่ต้องการคำตอบอย่างถึงที่สุด
"มีเรื่องอะไรวะ ทำไมแม่เมลถึงไม่ชอบมึง" เป็นวิทที่เอ่ยถาม ตัวเขาเองก็นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย หน้าที่การงานก็ถือว่ามั่นคงและเติบโตไปได้สวย เงินเดือนก็ครึ่งแสนที่ถือว่าเยอะเกินมาตรฐานมาหลายเท่า เขายังมองไม่เห็นถึงข้อบกพร่องในตัวเพื่อนคนนี้เลย
"เขาบอกว่ากูเป็นพนักงานธรรมดา ส่วนเมลเป็นถึงนางเอก"
เสียงถอนหายใจหนัก ๆ ดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ทรงใหญ่ พอนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกหนักใจขึ้นมา เตโชไม่ได้รู้สึกโกรธแต่กลับคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ดีพอหรือไม่คู่ควรกับคนอย่างเธอ เพราะเข้าใจดีว่าใคร ๆ ก็อยากให้ลูกของตัวเองเจอคนที่ดีทั้งนั้น
"มึงก็บอกไปเลยดิวะว่ามึงเป็นลูกชายของ...อื้อ!"
เมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทจะพูดอะไรก็ทำให้เตโชรีบดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้และยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะหลุดพูดคำใดออกมาจนเกิดเรื่อง
การที่เตโชเป็นลูกชายของประธานใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าว่าเป็นเจ้าของบริษัทนั้นนับว่าเป็นความลับที่เขาไม่ต้องการให้ถูกเปิดเผยโดยเด็ดขาด นั่นก็เป็นเพราะการทำงานในตอนนี้ที่เขาอยากใช้ฝีมือพิสูจน์ว่าตัวเขาเองก็ดีพอสำหรับตำแหน่งที่ได้รับ หากมีใครรู้ว่าเขาคือลูกชายของประธานบริษัทก็กลัวว่าพนักงานคนอื่น ๆ จะครหาและเอาไปพูดต่อได้
"มึงจะปิดไปถึงไหนวะไอ้เต กูว่าถ้ามึงบอกไปมันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอวะ เป็นถึงลูกชายประธานมันไม่ดีตรงไหน กูยังอิจฉาเลย"
"ไม่ใช่ไม่ดี แต่กูไม่อยากบอกใครไงมึงเข้าใจไหม ไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมเดี๋ยวกูก็จะบอกเองนั่นแหละ" เสียงเข้มบอกปัด ๆ อย่างไม่จริงจังในคำพูดเท่าไหร่นัก จริงอยู่ที่ว่าวันหนึ่งเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดเผย แต่มันก็ต้องไม่ใช่เร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน เขาเองก็อยากทำงานในตำแหน่งนี้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องแบกรับคำว่าลูกชายของประธานใหญ่ให้เกิดความบั่นทอน
"เฮ้ย ๆ พ่อมึงมาว่ะไอ้เต เชี่ย...เกิดอะไรขึ้นวะ ประธานใหญ่ถึงกับมาที่บริษัทเนี่ย"
ทว่า...แรงสะกิดของวิททำให้บทสนทนาต้องหยุดชะงัก เตโชหันไปมองยังระดับสายตาของเพื่อนสนิทก็พบว่าเป็นพ่อของตัวเองที่กำลังเดินเข้ามาในบริษัทพร้อมด้วยเลขาส่วนตัวและผู้ติดตามที่คอยดูแลความปลอดภัยถึงสามคน
"มีอะไรวะทำไมพ่อมึงถึงมาที่นี่ กูว่าต้องมีเรื่องใหญ่แน่เลยว่ะ"
"กูก็ไม่รู้เหมือนพวกมึงนั่นแหละ สัสเอ๊ย...กูว่างานใหญ่กำลังเล่นงานพวกเราแน่เลยว่ะ!"
อยู่ ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก การที่ประธานบริษัทมาที่นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยก็ว่าได้ ส่วนมากจะมาตรวจเอกสารหรือพบกับลูกค้าคนสำคัญเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นพ่อที่เคร่งเครียดมาตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาก็ทำให้นึกหวั่นใจเพราะพอเดาสถานการณ์ได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ ๆ
"กูว่ามึงไม่ต้องไปคุยกับลูกค้าแล้ว ไปหาพ่อมึงดีกว่า กูว่าเกิดเรื่องแน่เลยว่ะ!"