บ้านสกุลหลัว
หลังจากหลัวซูหนิงออกจากจวนผู้ตรวจการแล้ว นางก็รีบเข้าบ้าน เรียกท่านพ่อท่านแม่ของนางออกมาที่ห้องโถง บอกกล่าวเรื่องราว
เมื่อหลัวซูหนิงเล่าจนจบ หลัวเหิงตาโตด้วยความประหลาดใจ ถามย้ำว่า “ที่เจ้าพูดมาจริงหรือ?”
“จริงเจ้าค่ะท่านพ่อ ใต้เท้าผู้ตรวจการบอกว่าต้องการให้เหมยเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติ มองจากสายตาแล้ว เขาต้องชอบเด็กสาวซื่อๆ โง่ๆ แบบเหมยเอ๋อร์แน่ แก่แล้วยังตาต่ำ บรื้อ ข้านี่ขนลุกไปหมดแล้วเจ้าค่ะ คนวิปลาสแบบนั้น ดีแค่ไหนแล้วที่เมื่อคืนข้ากับเขาไม่ได้เข้าหอกัน!”
หลัวซูหนิงพอสบโอกาสนางก็ยิ่งใส่สีตีไข่ ทำให้สีเทียนหยางดูแย่ในสายตาของผู้เป็นพ่อ เพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องลงเอยกับสีเทียนหยาง
“จริงหรือซูหนิง” หลัวฮูหยินถามเพื่อความแน่ใจ “ใต้เท้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือลูก”
“จริงเจ้าค่ะท่านแม่”
หลัวฮูหยินมองสามีอย่างขอความเห็น เมื่อหลัวเหิงไม่ได้พูดอะไร หลัวฮูหยินจึงเสนอความเห็นออกมา
“หากมีใครต้องถูกยกให้ใต้เท้าวิปลาสคนนั้น สู้ยกเหมยเอ๋อร์ไม่ดีกว่าหรือท่านพี่ ซูหนิงทั้งสาวทั้งสวย จะให้อยู่กับคนแก่อย่างใต้เท้าสีเทียนหยาง ซ้ำยังน่ากลัวแบบนั้น ข้าไม่เอาด้วยเด็ดขาด แค่ฟังจากที่ซูหนิงเล่า ข้านี่ขนลุกตามนางเลยเจ้าค่ะ ไม่เอาหรอก ข้าไม่ยอมยกลูกสาวให้คนวิปลาสเช่นเขาแน่”
หลัวเหิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ครั้นจะพูดก็ไม่เต็มเสียง
“ฮูหยิน เจ้าลืมแล้วหรือ ที่ดินโรงเผา... นั่นแหละ หากเป็นเหมยเอ๋อร์ ข้าเกรงว่าจะไม่ดีเท่าไร ข้าถึงเลือกซูหนิงอย่างไรเล่า”
หลัวฮูหยินเข้าใจในทันที ยกเว้นหลัวซูหนิงที่ไม่เข้าใจสิ่งที่บิดาต้องการสื่อ
“ท่านพี่ นังเด็กคนนั้นทั้งโง่ทั้งซื่อ ไม่มีทางทำให้บ้านสกุลหลัวเราเดือดร้อนหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่าง ตามหลักแล้วเหมยเอ๋อร์ก็คือลูกสาวของท่านพี่ หากจะใช้นางเรียกร้องผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ย่อมทำได้”
“ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะท่านพ่อ เหมยเอ๋อร์ก็ลูกท่าน ทำไมไม่เป็นนาง” หลัวซูหนิงอ้อนวอน หากมีใครต้องรับเคราะห์ นางอยากให้เป็นเหมยเอ๋อร์ก่อน
เจ้าบ้านทำมือไพร่หลัง ครุ่นคิดกลับไปกลับมาเพื่อหาทางออกของเรื่องนี้
หลัวซูหนิงไม่ยินยอมแต่งงานกับใต้เท้าผู้ตรวจการ ทั้งที่นางเป็นธิดาคนโต สมควรมีสิทธิ์ก่อนเหมยเอ๋อร์ แต่จะว่าไปแล้ว เหมยเอ๋อร์ก็เป็นลูกสาวของเขา หากยกนางให้ใต้เท้าผู้ตรวจการ เขาก็ยังเป็นพ่อตาของใต้เท้าผู้ตรวจการอยู่ดี ถึงเวลานั้น การค้าของเขาย่อมเจริญก้าวหน้าอย่างไม่มีฝ่ายใดรู้สึกสูญเสีย
“ดี ตามนี้ก็ได้” หลัวเหิงสรุปหลัตัดสินใจแล้ว
หลัวฮูหยินและหลัวซูหนิงพอได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ พวกนางเผยยิ้มกว้าง
“แล้วใต้เท้าบอกหรือไม่ว่าจะมาสู่ขอเหมยเอ๋อร์” เพื่อความมั่นใจ หลัวเหิงถามต่อ
หลัวซูหนิงยิ้มแหย “เอ่อ ท่านพ่อ เรื่องนี้... ข้าลืมถามเจ้าค่ะ”
หลัวเหิงขมวดคิ้วเครียด ความหวังเป็นพ่อตาของใต้เท้าผู้ตรวจการกำลังดับสูญ
“นี่เจ้า ทำไมถึงสะเพร่านักนะ...”
“เอาน่า ท่านพี่ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้นี่ อย่างไรเสียคนก็ไปอยู่ที่นั่นแล้ว บุตรสาวตกเป็นของผู้อื่น หากว่าทางนั้นไม่รับผิดชอบ เราก็ฟ้องร้องได้ไม่ใช่หรือ” หลัวฮูหยินเข้ามากอดแขนสามี เสนอวิธีชั่วร้าย
หลัวเหิงพยักหน้าเห็นด้วย ขอเพียงกิจการก้าวหน้า บ้านสกุลหลัวยิ่งใหญ่กว่าตระกูลวาณิชอื่น เขาก็ยินยอมเสี่ยง ยกเหมยเอ๋อร์ให้ผู้ตรวจการสี
จวนใต้เท้าผู้ตรวจการ
สีเทียนหยางนั่งบนขอบเตียง รอคอยให้หญิงสาวเดินเข้ามา แต่จนแล้วจนรอด นางกลับยืนอยู่เรือนส่วนนอก ไม่กล้าขยับเท้าเดินเข้ามาตามคำสั่ง เห็นความขลาดกลัวของนางเขาก็นึกขำ
ผู้หญิงคนนี้ เมื่อคืนนางยังกล้าช่วยเหลือเขาอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้ นางกลับไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ช่างน่าขันสิ้นดี
“เข้ามาข้างในนี่สิ”
สีเทียนหยางตะโกนบอกคนด้านนอก รอคอยอีกชั่วครู่ และเป็นอย่างที่เขาคิด หลัวเหมยไม่ได้เดินเข้ามาในเรือนส่วนในตามคำสั่ง ทว่า สีเทียนหยางไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับชอบสิ่งที่นางเป็นมากกว่า หากลองว่าเป็นหญิงสาวบ้านอื่น คงรีบวิ่งโล่ขึ้นมาบนเตียงของเขาแล้ว นั่นเพราะเขามีทั้งอำนาจและเงินทอง แต่สำหรับหลัวเหมย นางคงไม่ชอบทั้งสองอย่าง
นางช่างเหมือนกับจวินเอ๋อร์จริงๆ
“เจ้าจะไม่เข้ามาจริงๆ ใช่ไหม” สีเทียนหยางจงใจถามนางอีก
หลัวเหมยเหมือนมีรากงอกออกจากฝ่าเท้า ถึงแม้ได้ยินที่สีเทียนหยางเรียก แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยสีหน้าหวั่นวิตก แต่ก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะวิ่งออกจากเรือน แล้วกลับบ้านสกุลหลัว
สีเทียนหยางไหนเลยจะยอมอ่อนข้อให้กับความดื้อรั้นของหลัวเหมย นางไม่เดินเข้ามาหาเขา ใช่ว่าเขาเป็นฝ่ายเดินออกมาหานางไม่ได้
ชายหนุ่มเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากอดอกยืนมองนางใกล้ๆ
“ทำไมรึ เจ้ากล้าขัดคำสั่งของใต้เท้าผู้ตรวจการอย่างข้าหรือไง จะว่าไป มีเจ้าคนแรกนี่แหละที่กล้า”
นางช้อนตามองเขาด้วยแววตาตำหนิ เขาพูดเช่นนี้คิดจะใช้อำนาจข่มเหงนางอย่างนั้นหรือ
“เจ้าตำหนิข้า?” สีเทียนหยางเลิกคิ้วถามอย่างไม่จริงจัง
ทว่าสำหรับหลัวเหมย นางใช้เหตุผลตามหลักความจริง
“ใต้เท้า ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ท่านไม่ควรใช้อำนาจข่มเหงคนไม่มีทางสู้ ยกเลิกคำสั่งและส่งข้ากลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ”
ริมฝีปากหยักได้รูปของสีเทียนหยางเผยอยิ้ม ได้โต้ตอบกันเช่นนี้ ให้นึกชอบใจนางยิ่งขึ้น
“เจ้าก็พูดเกินไป ข้าได้ข่มเหงเจ้าหรือยัง เจ้าพูดเท็จ ระวังข้าจะจับเจ้าส่งทางการไปไต่สวน”
ถ้าไม่นับเรื่องเมื่อคืน สีเทียนหยางพูดถูกอยู่สักหน่อย เขายังไม่ได้ข่มเหงนาง แต่นางกลับตีโพยตีพายไปไกลแล้ว ช่างน่าอายสิ้นดี
“แต่ว่าใต้เท้า ข้าเป็นหญิง ท่านเป็นชาย อยู่ในห้องตามลำพัง เกรงว่า...”
หลัวเหมยพูดไม่ทันจบ สีเทียนหยางแทรกขึ้น
“เจ้ากลัวพ่อเจ้าจะเล่นงานข้าหรือเจ้ากันแน่ ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตามข้ามาข้างในก็พอแล้ว”
ไม่เพียงพูดเปล่า สีเทียนหยางรั้งข้อมือเรียวเล็กของหลัวเหมยไว้ บังคับกลายๆ ให้นางเดินตามเขาเข้าไปในห้องนอนส่วนตัว
พอถูกเขาพูดจี้ถูกจุด นางก็เงียบไปทันที เท้าขาวใต้ชายกระโปรงก้าวตามเขาด้วยความขลาดกลัว
ตอนเดินมาถึงเตียงนอน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง โอบรอบตัวนาง จากนั้นพานางล้มลงบนเตียงหนานุ่ม
ตุบ...
“อ๊ะ!”
ด้วยความหวาดระแวงเป็นทุนเดิม นางหวีดร้องเสียงหนึ่ง มิหนำซ้ำยังพยายามผลักไสเขาให้ออกห่างเอาเป็นเอาตาย
สีเทียนหยางไม่นำพาอากัปกิริยาของนาง เขาสั่งให้นางหลับตาลงอย่างใจเย็น
“หยุดร้องได้แล้ว หยุดดิ้นด้วย นอนเสีย พักผ่อนให้เต็มที่ ตื่นมาค่อยว่ากัน”
ไม่ใช่สักแต่พูด สีเทียนหยางยังกักนางไว้ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของเขาอีกด้วย
“ใต้เท้า?”
หลัวเหมยหดคอหนีอ้อมกอดของสีเทียนหยาง ตอนแรกนางแทบจะหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว แต่พอได้ยินที่เขาพูด นางเปลี่ยนจากหลับตาเป็นเบิกตามองเขาอย่างสงสัย
นี่เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า สั่งให้นางพักผ่อนหรือ นางไม่เข้าใจ เหตุใดเขาถึงดีกับนางเช่นนี้
สีเทียนหยางแสร้งทำเป็นผิวปาก บอกนางว่า “หรือเจ้าต้องการให้ข้าข่มเหงเจ้าก่อน เจ้าถึงจะหลับได้ ดี ข้าข่มเหงเจ้าก็ได้ เริ่มจากตรงไหนก่อนดี”
นางรีบรวบสาบเสื้อสีเขียวอ่อน แล้วส่ายศีรษะรัวๆ
“ไม่อยากถูกรังแก เช่นนั้นก็หลับตาเสีย พักผ่อนมากๆ ล่ะ”
คราวนี้หลัวเหมยหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง เตียงของเขาหนานุ่มกว่าเตียงของนางมากนัก สายลมเย็นเจือกลิ่นอายอากาศบริสุทธิ์พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้นางง่วงงุนมากขึ้น ทันทีที่หลับตา นางก็แทบเข้าเฝ้าเทพแห่งความฝันทันที
เดิมนางก็อ่อนเพลียจากเรื่องเมื่อคืนอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ทำให้คนในบ้านสกุลหลัวสงสัย นางจึงฝืนร่างกายยอมโดนหลัวเหิงด่าว่า ยอมให้หลัวฮูหยินทุบตีโขกสับ และยอมถือของเดินตามหลังหลัวซูหนิงต้อยๆ
กระทั่งได้นอนบนที่นอนนุ่มๆ และอบอุ่น นางถึงเพิ่งพบว่าร่างกายของนางไม่อาจทนฝืนได้อีกต่อไปแล้ว
หลัวเหมยปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งสู่ห้วงนิทราทีละน้อย ในที่สุด นางก็หลับสนิทในอ้อมแขนแข็งแรง
เห็นหญิงสาวนอนหลับสนิทแล้ว สีเทียนหยางยกมือขึ้นลูบดวงหน้าน้อยๆ ของนาง นิสัยของหลัวเหมยคล้ายกับจวินเอ๋อร์มาก ไม่มีส่วนใดไม่เหมือน นางมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เปราะบาง แต่อีกด้านหนึ่งกลับแข็งแกร่งจนน่าทึ่ง นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกนางถูกรังแกจนไม่เป็นผู้เป็นคน
เขาไล่นิ้วมือลงมาบนปกคอเสื้อของนาง ก่อนจะแหวกสาบเสื้อออกกว้าง มองดูร่องรอยฝากรักของเขาเมื่อคืน ผสมกับร่องรอยทุบตี นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงจดจำนางได้ ถึงแม้สถานที่ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังจะมืดสลัวแทบมองอะไรไม่เห็น แต่สำหรับสีเทียนหยาง เขาไม่เคยทิ้งรายละเอียดเล็กน้อย เขาจดจำดวงหน้าขาวผ่อง คิ้วโก่งสวย แพขนตาเรียงตัวงอนยาว จมูกโด่งเล็ก ริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋ม น้ำเสียง รวมทั้งร่องรอยเขียวช้ำออกม่วงทั้งเก่าและใหม่บนเรือนร่างบางได้ดี
สีเทียนหยางก้มหน้าลงสูดกลิ่นกายของนาง แน่นอน กลิ่นหอมกรุ่นบนผิวกายของนางก็เป็นเอกลักษณ์ให้เขาจดจำได้เช่นกัน สตรีในเมืองเฉาหลัวน้อยคนนักจะคลุกคลีอยู่กับหนังสือและน้ำหมึก บนตัวของหลัวเหมยมีกลิ่นหมึกเจือกับกลิ่นกายหอม ซึ่งเขาบอกไม่ได้ว่าหอมแบบไหน แต่ทว่า น้อยนักที่จะได้กลิ่นหอมแบบนี้ สรุปแล้วก็คือ หลัวเหมยคือสตรีที่เขาล่วงเกินเมื่อคืนอย่างไม่ต้องสงสัย
เพื่อตอบแทนนาง เขาจำต้องรั้งตัวนางไว้ที่นี่ อยู่ให้ห่างจากบ้านสกุลหลัวเพื่อไม่ให้ทางนั้นรังแกนางทั้งที่ร่างกายนางบอบช้ำขนาดนี้
“ตั้งแต่นี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว จากนี้เจ้าจะไม่ถูกใครรังแกอีก”
เขาพึมพำ จากนั้นหลับไปพร้อมกับนาง
เรื่องเมื่อคืนไม่เพียงหลัวเหมยที่อ่อนเพลีย สีเทียนหยางที่ออกแรงมากกว่านางย่อมเหนื่อยล้าเป็นสองเท่า พอปิดเปลือกตาลง ก็หลับสนิทเช่นเดียวกัน
ดวงอาทิตย์ด้านนอกทักทอแสงอบอุ่น อาบไล่ให้สองร่างบนเตียงอบอุ่นตาม นั่นอาจรวมถึงหัวใจของพวกเขาด้วย