หยี่หานเดินร่ำสุรามาตามทางกลับบ้าน หว่าอิ๋งที่กำลังทำกับข้าวอยู่มองเห็นเขาจากไกลๆ นางรีบวางมีดในมือลงแล้วรีบวิ่งไปประคองเขาให้เข้ามานั่งในบ้าน
“ปล่อยข้า” เขาโวยวายแล้วสะบัดตัวออกจากการช่วยเหลือของนาง
แต่หว่าอิ๋งไม่ละความพยายาม นางพาเขาไปนั่งพักในบ้าน พยายามแย่งไหสุราในมือแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงเอาห่อผ้าแพรที่เขาซื้อมาไปเก็บ แล้วกลับมานั่งข้างๆ เขา
นางมองเขาที่ดื่มสุราอย่างกับน้ำเปล่า ก่อนจะนึกเป็นห่วงจึงเข้าครัวไปทำอาหารต่อแล้วนำมาเป็นกับแกล้มให้เขา อย่างน้อยก็ให้มีกับแกล้มรองท้องยังดีกว่าให้ท้องว่างดื่มสุรา เพราะดูท่าแล้วเขาคงไม่ทานอาหารแน่
หว่าอิ๋งเดินไปนั่งมองเขาที่เอาแต่ดื่มสุรา พยายามถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หยี่หานก็ไม่ตอบอันใดแก่นาง
“คุณชายกัว ท่านดื่มมากแล้ว พอก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“ทำไมเจ้ายังอยู่นี่ เจ้าควรไปจากบ้านของข้า เพราะเจ้าแท้ๆ มาอยู่รบกวนจิตใจข้า มันถึงเป็นชะตากรรมที่ทำให้เหว่ยฟางนอกใจข้า นางมีคุณชายตระกูลร่ำรวยมาติดพัน ถ้าเทียบกับบัณฑิตสอบตกอย่างข้าแล้ว คนละชั้นกันอย่างเห็นได้ชัด” หยี่หานพูดทุกเรื่องเหมารวมกันจนหว่าอิ๋งงุนงงกับสิ่งที่เขาพร่ำเพ้อ
เขาทานกับแกล้มพลางร่ำสุราต่อ ไม่สนใจคำทัดทานจากหว่าอิ๋งเลยสักนิด
นางได้แต่นั่งฟังเขาพูด พอจับใจความได้ว่าเขาต้องการให้นางไปจากที่นี่ เพราะไม่อยากให้เหว่ยฟางรู้แล้วไม่สบายใจ
อีกทั้งตอนนี้นางมีลูกชายเศรษฐีมาชอบพอ และดูเหมือนว่ากำลังจับปลาสองมือ ระหว่างเขาและชายผู้นั้น รวมไปถึงการที่นางโกหกเรื่องผ้าเช็ดหน้า ที่หว่าอิ๋งจำได้ว่ามันคือฝีมืองานปักของนาง
นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเหว่ยฟางจึงต้องโกหกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ด้วย
**********************
เมื่อสุราหมดและหยี่หานเริ่มหมดฤทธิ์แล้ว หว่าอิ๋งช่วยพยุงร่างเขากลับไปนอนที่ห้องนอนด้วยความยากลำบาก ก่อนจะที่มาเก็บโต๊ะอาหาร แล้วจึงนำอ่างน้ำเข้าไปเช็ดเนื้อตัวให้เขาเพื่อให้นอนหลับสบาย
หยี่หานยังคงพูดพร่ำถึงแต่เหว่ยฟางด้วยความน้อยใจ พลางพูดเรื่องที่เขาอยากขับไล่หว่าอิ๋งให้ไปจากเขา เพราะไม่อยากมีนางมารบกวนจิตใจของเขา
หว่าอิ๋งรู้สึกดีที่เขาพูดเหมือนว่ากลัวใจตนเองจะปันใจให้นาง จึงอยากให้นางไปจากเขา ไม่ใช่เพราะรังเกียจนาง แต่เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองต่างหาก
“หากมีวาสนาข้าก็อยากเป็นหญิงที่ท่านรัก แต่ชาตินี้ข้าคงไม่มีวาสนานั้น” นางพูดพึมพำขณะที่เช็ดใบหน้าให้กับเขา
หยี่หานมองหน้านาง แล้วจับมือนางเอาไว้
“เจ้าจะไปจากข้าหรือไม่”
“ถึงท่านจะไล่ข้าไปสักกี่หน ข้าก็ไม่มีวันไปไหน”
“ใจหนึ่งข้าก็อยากให้เจ้าอยู่ อีกใจข้าก็อยากให้เจ้าไป ทำไมเจ้าถึงได้ทำดีกับข้าเช่นนี้” บัณฑิตที่กำลังเมามายเอ่ยถามนาง สายตาจับจ้องดวงหน้างามที่เฝ้าเอาใจเขามานานแรมเดือน
“ข้าไร้ที่พึ่ง ได้ท่านช่วยให้ที่พักอาศัย แล้วยังเคยช่วยข้าไว้จากโจรป่าพวกนั้น บุญคุณเหล่านี้ ยากที่จะทดแทนได้หมดในชาตินี้” นางกล่าวอย่างถ่อมตน
มือเรียวเล็กนั้นปลดเชือกมัดเสื้อของเขาออกแล้วคลายสาบเสื้อ ล้วงเข้าไปเช็ดที่แผงอกกว้างของเขาอย่างตั้งใจ
หยี่หานดึงมือนางจนล้มเข้าหาตัวของเขาแล้วสบตาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
บัณฑิตหนุ่มรั้งท้ายทอยของนางให้เข้ามารับจูบจากตน กลิ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสุรานั้นทำให้หว่าอิ๋งสั่นสะท้านไปทั้งตัว
นางยินยอมให้เขาจุมพิตนางต่อไปโดยไม่ขัดขืน แล้ววางผ้าเช็ดตัวของเขาลงไปก่อนจะถูกอีกฝ่ายรั้งร่างมานอนกอดเอาไว้แล้วพลิกกายขึ้นมาทาบทับ
หยี่หานพรมจูบนางไปทั่วใบหน้าและลำคอ ซุกไซ้ดมกลิ่นกายสาวที่หอมละมุนนั้น
อาภรณ์ของนางถูกเขาถอดออกไปทีละชิ้นทั้งชั้นนอกและชั้นใน รวมถึงของตัวเขาเอง ที่หยี่หานสลัดมันลงพื้นอย่างไม่ไยดี
ทั้งสองร่างกอดกระหวัดรัดกัน ไม่มีช่องว่างให้ลมพัดผ่าน เนื้อหนังที่ชุ่มด้วยเหงื่อนั้นบดเบียดเข้าหากันเป็นจังหวะ
บัณฑิตหนุ่มเลื่อนตัวลงไปบีบเคล้นหน้าอกที่งามดั่งสะพรั่งดั่งดอกบัวตูมขนาดเต็มไม้เต็มมือ ก่อนจะใช้ปากงับเม็ดบัวที่อยู่ปลายยอด ดูดเม้มอย่างหื่นกระหาย พร้อมๆ กับดมกลิ่นกายที่หอมละมุนนั้นเต็มสูด
“คุณชาย ข้า...อื้ม” หว่าอิ๋งยังไม่ทันได้ทักท้วงอันใดออกมา ก็ถูกหยี่หานเลื่อนตัวขึ้นไปจูบปิดปาก ใช้ชิวหาของตนหยอกล้อชิวหาของนาง แล้วจับแท่งร้อนในมือกดลงไปท่ามกลางกลีบบุปผาสีหวานตรงกลางกายของหว่าอิ๋งอย่างเต็มรัก
หญิงสาวจิกข่วนแผ่นหลังของหยี่หานด้วยความเสียวซ่านที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ความรู้สึกที่แท่งร้อนนั้นแทรกตัวเข้ามาทำลายเยื่อพรหมจรรย์ทำให้นางน้ำตาซึมออกมาเมื่อรู้ได้สิ่งที่หวงแหนถูกพรากไปด้วยน้ำมือของชายที่นางด้วยความเต็มใจของนางเอง
“เหว่ยฟาง ข้า...อื้ม” หยี่หานรู้ตัวว่ากำลังนอกใจคนรัก เขาตั้งใจจะเอ่ยขอโทษนาง แต่กลับทำให้หว่าอิ๋งเข้าใจว่าตอนนี้เขากำลังนึกว่ากำลังร่วมรักกับคนรักของเขาอยู่
นางร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ หากแต่เป็นความสุขของหยี่หาน นางจึงยอมให้เขาเคลื่อนไหวเข้าไปในร่างกายของนางอย่างช่ำชอง
หยี่หานเคลื่อนสะโพกอย่างหนักหน่วง บดจูบริมฝีปากนางขณะที่ดันแท่งลำอันแข็งแกร่งเข้าออกในร่องกลีบบุปผานั้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงครางกระเส่าของทั้งคู่ดังประสานกันราวท่องทำนองเสียงเพลงที่บรรเลงขับกล่อมในยามค่ำคืน ก่อนที่ความหฤหรรษ์ที่เกิดขึ้นเพราะความมึนเมาของหยี่หานจะจบลงไป
บัณฑิตหนุ่มรั้งดึงร่างกายของนางไปกกกอดเอาไว้ด้วยความเปรมปรีดิ์ ขณะที่หว่าอิ๋งนั้นยิ้มทั้งน้ำตา ทั้งมีความสุขจากการกระทำของเขา และรู้สึกใจหายที่ทุกอย่างนั้นเขาทำลงไปเพราะคิดว่านางคือเหว่ยฟาง
**********************
ในยามเช้าหว่าอิ๋งลุกมาให้อาหารเป็ดแล้วเก็บไข่เป็ดสีขาวมาเข้าครัวทำอาหารรอเขา ก่อนจะออกไปรดน้ำผักในสวน แล้วกลับเข้ามาอีกครั้งในตอนสาย
หยี่หานที่ทานอาหารเสร็จแล้วมองหน้านางด้วยความรู้สึกผิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อคืนนี้เขาได้ล่วงเกินนางไปเพราะความขาดสติ
“เมื่อคืนนี้ข้า...”
“เมื่อคืนคุณชายเมามากเจ้าค่ะ อาเจียนเต็มพื้นข้าเช็ดถูทั้งคืนเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชายถึงเมามายได้ขนาดนั้น” นางพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนว่าเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
หยี่หานขมวดคิ้ว พลางนึกว่าเมื่อคืนนี้เขาไม่ได้ฝันไปแน่ ทุกอย่างมันเหมือนจริงจนเขายังรู้สึกตราตรึงในความทรงจำ อีกทั้งคราบโลหิตด่างดวงที่อยู่บนเตียงของเขา เพียงแต่หว่าอิ๋งแกล้งทำไม่ยอมรับ นางอาจรู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์นี้ก็เป็นได้
“ข้าขอตัวไปซักผ้าปูที่นอนของคุณชายนะเจ้าคะ เมื่อคืนนี้แย่งไหเหล้าจนมันบาดนิ้วของข้า เลือดหยดเปื้อนเตียงของท่าน แต่ท่านนอนทับอยู่จึงยังเอาออกมาซักไม่ได้” นางบอกเขาอย่างที่วางแผนเตรียมคำพูดเอาไว้แล้ว
มันก็เหมือนข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก สิ่งที่นางเสียไปให้เขาไปแล้ว ไม่สามารถเรียกคืนมาได้ หว่าอิ๋งจึงอยากให้เขาลืมมันไป ให้คิดว่ามันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อเหว่ยฟาง ไม่ต้องมาคิดกับเรื่องของนางจนทำให้ขาดสมาธิตอนอ่านตำรา
หยี่หานรู้สึกสับสน หากโลหิตด่างดวงบนที่นอนนั้นเกิดจากบาดแผลของนาง เขาอาจจะฝันไปจริงๆ ก็เป็นได้
‘ใช่สิ หญิงอันใดกัน เสียพรหมจรรย์แล้วยังทำหน้าระรื่นอยู่เช่นนาง ข้าคงฝันไปจริงๆ’ เขานึกในใจ
ในเมื่อนางพูดให้เขานึกอย่างนั้น เขาก็ไม่ควรคิดเป็นอื่นให้ต้องเปลืองความคิด แม้ลึกๆ จะลังเลอยู่มากก็ตาม
**********************