บทที่ 4.3
เธอคือภรรยาของฉัน
หรือแท้จริงแล้วเทียบกับคนแซ่อี้ผู้นั้นเขาไม่มีน้ำหนักในใจจือหลินเลย
“เขาอยู่นั่น คุณรีบไปดูเขาเร็วเข้า”
กู้เหยียนมองชายหนุ่มที่ดูดีทั้งหน้าตาแล้วรูปร่างแล้วขบกรามแน่น แววตาที่มักอบอุ่นอ่อนโยนต่อคนไข้เสมอ เวลานี้กลับดุดัน น้ำเสียงก็แข็งกระด้างอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ถอดเสื้อด้วยครับ”
“กระสุนแค่ถากไปนิดเดียวไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องทำแผลก็ได้”
คนบาดเจ็บพูดอย่างไม่ใส่ใจ หากแต่ไม่รู้เพราะอะไรทว่าคำพูดทุกคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากลับทำให้กู้เหยียนรู้สึกหงุดหงิดโมโหอย่างไร้เหตุผล
“เลือดนายออกเยอะขนาดนี้ จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง”
น้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของกวงจือหลินที่มีต่อคนเจ็บ ยิ่งทำให้สีหน้าของกู้เหยียนย่ำแย่ลงมากขึ้น มือที่สวมถุงมือเอาไว้กำแน่น ดวงตาคมจดจ้องคนเล่นตัวอย่างไม่พอใจ เน้นย้ำเสียงแข็งอีกครั้ง
“ถอดเสื้อด้วยครับ”
เมื่อเห็นว่ากวงจือหลินคงไม่ยอมถอยง่ายๆ หากเขาไม่ยอมให้ทำแผลอี้เฟิงจึงยอมถอดเสื้อออก และให้ชายแปลกหน้าข้างกายเธอทำแผลอย่างไม่ใส่ใจนัก
“จริงๆ คุณควรจะไปที่โรงพยาบาล ไม่ใช่วิ่งมาทำแผลที่บ้านของคนอื่นแบบนี้”
กู้เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นแข็งกร้าว มือขวาคีบสำลีจุ่มในน้ำเกลือล้างแผล
“ผมไม่ได้จะมาทำแผลที่นี่ แต่ผมมีธุระที่จะพูดคุยกับคุณหนูกวงเป็นการส่วนตัว”
เป็นการส่วนตัว หมายความว่าอย่างไร เขาเป็นสามีของกวงจือหลิน อีกฝ่ายเป็นใครกันถึงกล้าใช้คำว่าส่วนตัวกับเธอ ดังนั้นสำลีที่จุ่มน้ำเกลือล้างแผลในทีแรกจึงเปลี่ยนเป็นชุบแอลกอฮอล์แทน ก่อนที่จะนำมาถูลงบนบาดแผลบนต้นแขนของอี้เฟิงอย่างหนักมือขึ้น
“บาดแผลไม่อันตรายแต่ต้องทำให้ดีจะได้ไม่ติดเชื้อในภายหลัง”
คำพูดของกู้เหยียนนั้นคล้ายห่วงใย แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม
อี้เฟิงขบกรามกัดฟันสบสายตากับคุณหมอหนุ่มด้วยความรู้สึกที่อยากจะอธิบาย
“ขอบคุณคุณมากที่ให้คำแนะนำ ครั้งหน้าหากมีเหตุการณ์แบบนี้อีกแน่นอนว่าผมต้องเลือกไปโรงพยาบาลไม่มารบกวนคุณ”
เมื่อได้ยินว่าอาการของสหายไม่มีอันตรายอะไร สีหน้าที่วิตกกังวลของกวงจือหลินก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง เอ่ยเสียงสดใส
“นายไปโรงพยาบาลได้ที่ไหนล่ะ ให้หมอกู้ทำแผลให้น่ะดีแล้ว ลืมไปแล้วหรือว่าเราเป็นอะไรกัน จะเกรงใจกันทำไม”
“โอ๊ย!”
กวงจือหลินพูดจบคนแขนเจ็บก็ร้องลั่น โดยไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้อีก เมื่อคนทำแผลจงใจปิดแผลให้เขาด้วยแรงที่มากกว่าปกติ
“เสร็จแล้ว”
กู้เหยียนพูดเสียงเรียบ ก่อนจะหันมาเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาล แล้วขยับไปนั่งบนโซฟาข้างๆ กวงจือหลินโดยไม่มีทีท่าว่าจะจากไป
“ผมขอคุยกับจือหลินเป็นการส่วนตัว”
สุดท้ายความอดทนของอี้เฟิงก็หมดลงเอ่ยเสียงหนักบอกความต้องการของตนเองออกมา
“แต่เธอคือภรรยาของฉัน ระหว่างสามีภรรยาย่อมไม่มีคำว่าส่วนตัว”
“กู้เหยียน คุณออกไปก่อนเถอะค่ะ”
กู้เหยียนไม่สนใจความต้องการของอี้เฟิง ยิ่งไม่ใส่ใจท่าทีขุ่นเคืองของอีกฝ่าย ทว่าเมื่อเป็นคำพูดของกวงจือหลินเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธขัดใจเธอ ถึงแม้จะทั้งเจ็บปวดและน้อยใจที่เธอเลือกใส่ใจอีกฝ่ายมากกว่าเขา แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงขบกรามกำมือแน่น แล้วเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร
กว่าจะรู้ตัวก็เดินมาหยุดอยู่ในห้องนอนของเขากับกวงจือหลินแล้ว
“อย่างนั้นหมายความว่าคุณสามารถแต่งกับใครก็ได้ ขอแค่ไม่ผูกมัดทั้งทางกายและทางใจใช่ไหมครับ”
“ใช่ ใครก็ได้!...”
คำพูดของกวงจือหลินในวันแรกที่พบกันดังก้องขึ้นมาในความคิดของกู้เหยียน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันตนเอง
เธอก็แค่จำใจแต่งกับเขาเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวาย ส่วนเขายอมแต่งกับเธอเพื่อส่งเสริมสหาย ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงข้อตกลงเพื่อเป้าหมายก็เท่านั้น
....................................................
หลังจากที่อี้เฟิงกลับไป กวงจือหลินก็เรียกคนสนิทที่มีฝีมือเข้าไปในห้องทำงาน กู้เหยียนมองดูประตูที่ปิดกั้นเอาไว้ ทั้งที่เป็นเพียงประตูเล็กๆ บานหนึ่งทว่ากลับทำให้เขารู้สึกว่ามันมีกำแพงหนา ความแตกต่างระหว่างเขากับ
กวงจือหลินดูแล้วคงมากเกินไปจริงๆ
“หมอกู้ มาทำอะไรตรงนี้”
“คุณกวง”
“คุณกวงอะไรกัน นายควรเรียกฉันว่าพ่อเหมือนจือหลินได้แล้ว”
“ครับ”
กวงจือเหลียงมองท่าทีสุภาพ อ่อนโยนของกู้เหยียนแล้วยิ้มกว้าง นับจากวันแต่งงานของกวงจือหลิน เขาก็ใช้เหตุผลอยากพักผ่อนออกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อเปิดโอกาสให้หลานชายตัวน้อยได้มาเกิดเสียที เพียงแต่ลูกเขยคนนี้ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมกลับเป็นลูกสาวของเขาที่คอยแต่ป้องกันไม่ยอมให้โอกาสหลานชายของเขาได้เกิดสักที
หรือเขาควรใช้ไม้แข็งกับคนสองคนนี้
“นายอยากกลับไปเยี่ยมบ้านสักหน่อยไหม”
....................................................
“นี่เป็นรายชื่อสินค้าที่เหล่าจิ้งจะเปิดประมูลครับคุณหนู”
หม่าตงส่งเอกสารในมือให้กวงจือหลิน เธอรับมาเปิดดูริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล งานประมูลที่อี้เฟิงจัดขึ้นครั้งนี้สำคัญต่ออนาคตของเขามาก เธอจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดเป็นอันขาด ทว่าเมื่อเห็นข้อมูลในเอกสารตรงหน้า ใบหน้าที่เคร่งเครียดก็คลายออกเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง
“ดูเหมือนเรื่องนี้จะจัดการง่ายกว่าที่เราคิด ส่งเอกสารนี้ไปให้ผู้พันฉิน”
“พื้นที่ของพวกเราอยู่ในความดูแลของผู้พันซาง หากเอาเอกสารนี้ไปให้ผู้พันฉินพวกเขาจะไม่มีปัญหากันหรือครับคุณหนู”
ก่อนหน้านี้เหล่าตังอี้ก่อกวนสร้างความรำคาญใจให้ตระกูลกวงไม่น้อย หากจะถามว่าคนเช่นนั้นเอาความกล้ามาจากที่ไหน แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้พันซางมอบให้เขา ดังนั้นวันนี้เธอก็จะตอบแทนน้ำใจที่ผ่านมาของผู้พันคนนี้สักเล็กน้อย
“มีปัญหาจึงจะถูกต้อง”
หม่าตงเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนเป็นนายก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายในทันที เกิดการลักลอบค้าของโจรในพื้นที่ที่ดูแล ผู้พันซางให้มีสิบปากก็ยากจะอธิบายว่าตนไม่รู้เรื่อง
“ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุดครับ”
กวงจือหลินถอนหายใจยาว พลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดอย่างผ่อนคลาย ในที่สุดปัญหาของอี้เฟิงก็จัดการได้เรียบร้อยเสียที ต่อไปสหายคนนี้ของเธอก็ไม่ต้องถูกพวกแมลงหวี่แมลงวันพวกนี้ก่อกวนให้กังวลอีก ทว่าบุหรี่ติดไฟแล้ว แต่เธอยังไม่ทันสูบก็คิดถึงคำเตือนของใครบางคน
“บุหรี่ทำลายสุขภาพ ภายหน้าคุณสูบให้น้อยลงหน่อยเถอะนะ”
มุมปากสวยยกขึ้นเล็กน้อย ถอนหายใจยาวกดบุหรี่ดับไฟ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งบุหรี่ทั้งหมดในลิ้นชักลงถังขยะไป พลันเธอก็ตระหนักได้ว่าหลายวันมานี้กู้เหยียนคล้ายจะหายหน้าไป อาจเพราะเธอใช้เวลาส่วนใหญ่วุ่นวายอยู่กับการตรวจสอบและค้นหาประวัติของเหล่าจิ้งเพื่อหาช่องโหว่จัดการเขาจึงละเลยกู้เหยียนไป
“หมอกู้ทำอะไรอยู่”
ทันทีที่ถูกเอ่ยถามถึงกู้เหยียน บรรดาลูกน้องที่อยู่ในห้องก็พลันหน้าเปลี่ยนสี เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า กวงจือหลินเห็นท่าทางเช่นนี้ของลูกน้องก็ขมวดคิ้วเล็ก
“เกิดอะไรขึ้นกับกู้เหยียน”
“เอ่อ... คือ...”
ในใจของกวงจือหลินคล้ายมีลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้น ความกลัวกัดกินในใจตวัดสายตาดุ จ้องมองคนตรงหน้าอย่างคาดคั้น
“เขาอยู่ที่ไหน”
“หมอกู้กลับเมืองเจียงไปแล้ว”
เสียงเข้มของชายที่หนีไปเที่ยวต่างประเทศตั้งแต่เธอแต่งงานดังขึ้นที่หน้าประตูห้องทำงาน
“คุณพ่อ!”
กวงจือเหลียง เดินเข้ามานั่งที่โซฟานุ่มด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ลูกสาวที่แสนดื้อดึง เอาแต่ใจ และหยาบกระด้างคนนี้สมควรโดนสั่งสอนสักครั้ง
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ ทำไมกู้เหยียนถึงกลับเมืองเจียง”
“ในเมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุขเราจะรั้งเขาไว้ทำไม”
อยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุข หมายความว่าอย่างไร หัวใจของกวงจือหลินสั่นสะท้าน สองตาร้อนผ่าวจนแดงก่ำ
“มีความสุขหรือไม่สำคัญอะไรกันเขาแต่งเข้าตระกูลกวงแล้วยามมีลมหายใจนับเป็นคือคนตระกูลกวง ยามตายก็ยังคงเป็นผีตระกูลกวง เซี่ยเว่ยให้คนไปพาหมอกู้กลับมาภายในวันนี้”
ท่าทางไม่ยินยอม และเผด็จการอย่างเอาแต่ใจนี้ของกวงจือหลินน้อยครั้งนักที่จะเผยออกมา เพียงแต่ใครจะมองว่าเธอเป็นคนอย่างไรล้วนไม่สำคัญ กู้เหยียน ผู้ชายคนนี้เธอจะไม่ยอมสูญเสียเขาไป
“ตอนนี้คุณกู้กลับไปทำงานที่สถานพยาบาลแล้ว ผมคิดว่าคงยากจะพาเขากลับมาครับ”
“อย่างนั้นก็ทำให้เขาไม่มีงานทำ สถานพยาบาลอะไรนั่นก็เผาทิ้งซะ”
เมื่อไม่มีงานทำการใช้ชีวิตย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เขาย่อมต้องกลับมาหาเธอ กวงจือเหลียงมองลูกสาวที่มักมีสติ และคิดอ่านอย่างรอบคอบ ตอนนี้กลายเป็นคนหุนหันพลันแล่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ
“จือหลิน! ให้มันน้อยๆ หน่อย นั่นมันสถานพยาบาลของรัฐนะ อีกอย่างหมอกู้ก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง ต่อให้ไม่ทำงานเขาก็ใช้ชีวิตง่ายๆ อยู่ที่บ้านในชนบทที่นั่นได้”
“อย่างนั้นก็เผาทิ้งให้หมด อะไรก็ตามที่ขัดขวางให้เขาไม่ยอมกลับมาจัดการให้หมด”
“จือหลิน! เพื่อให้กู้เหยียนกลับมาอยู่ข้างๆ ลูกถึงกับจะทำลายทุกอย่างของเขาเลยหรือ”
กวงจือเหลียงตะวาดลั่นด้วยท่าทีตกใจ ที่ผ่านมาแม้ลูกสาวคนนี้ของเขาจะเอาแต่ใจ และไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่เคยทำสิ่งใดโดยไร้การไตร่ตรอง หรือขาดสติถึงขั้นเช่นนี้
กวงจือหลินกำมือเล็กแน่น สูดลมหายใจที่ติดขัดของตนเอง ด้วยท่าทีไม่ยินยอมก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างคนหมดแรง ดวงตากลมแดงก่ำ หยาดน้ำไหลอาบลงสองแก้ม
“คุณพ่อ กู้เหยียนเขา...”
กวงจือเหลียงมองหยาดน้ำตาบนแก้มของลูกสาวแล้วปวดหนึบในอก เพื่อให้ทุกคนยอมรับที่ผ่านมากวงจือหลินต้องทำตัวให้เข้มแข็ง พิสูจน์ตนผ่านความยากลำบากมากมายแต่เขาก็ไม่เคยเห็นเธอร้องไห้จนตัวสั่นเช่นนี้
“ไม่เป็นไร คนเขาจากไปแล้วก็ปล่อยเขาไป ลูกเขยคนเดียวพ่อหาให้ลูกใหม่ได้”
ยิ่งได้ยินว่าพ่อจะหาผู้ชายคนใหม่มาให้เธอแทนกู้เหยียนในใจของกวงจือหลินก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเป็นทบทวี
“เอาอย่างนี้... ลูกแต่งกับซ่งรุ่ยหยางดีหรือไม่ หรือจะสหายลับคนนั้นของลูก หรือ...”
“ฉันไม่แต่ง! สามีของฉันมีแค่กู้เหยียนเท่านั้น! แค่เขาคนเดียว!”
....................................................