“พี่คิดอะไรอยู่ถึงได้จะหมั้นกับยัยทับทิมนั่น”
วิชญ์ถามญาติผู้พี่ที่เอาแต่นั่งหน้าเครียดตลอดเวลาในร้านอาหารมีชื่อที่เพิ่งเปิดให้บริการ สายตาของวิชญ์ลอบมองผู้ช่วยของเขาไปพลาง หงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าเพียงใจ คิดผิดหรือไม่ที่รับเอาผู้ช่วยที่บิดาสรรหามาให้มาช่วยงานเขา ก่อนจะหันไปทางธรรศอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากตอบอย่างเนือยๆ
“ไม่ได้คิดอะไร แค่เคยรับปากเสี่ยไว้ว่าจะดูแลลูกเขา”
“เขาให้ดูแล คงไม่ได้ให้เอาลูกเขาทำเมียมั้งพี่”
“ยังไงทับทิมก็ต้องแต่งงานอยู่ดี”
ธรรศพูดจบยกแก้วเบียร์ขึ้นสาดของเหลวสีอำพันเข้าลำคอด้วยความหนักใจ
“นั่น เสี่ยณุพาสาวที่ไหนมาอีกวะพี่ ท่าทางหงิมๆ เงียบๆ แต่สวยชะมัดเลย”
วิชญ์เรียกให้ธรรศดู แล้วก็เห็นใบหน้าของญาติผู้พี่คล้ายกรุ่นไปด้วยความโกรธ เลยถามขัดอารมณ์ร้อนๆเอาไว้ก่อน
“เออ แล้วสรุปพี่จะให้ผมช่วยเรื่องอะไร”
ธรรศหันกลับมามองหน้าญาติสนิท ยกแก้วที่พนักงานเพิ่งรินเครื่องดื่มเติมขึ้นจิบจนหมดแล้วอธิบายถึงเรื่องที่ต้องการให้ช่วยเหลือ สายตาดำดุก็เอาแต่มองหญิงสาวหงิมๆเงียบๆที่มากับวิษณุไม่วางตา จนวิชญ์ผุดรอยยิ้มออกมาในที่สุดเมื่อคลับคล้ายคลับคลาว่าหญิงสาวคนนั้นคือใคร
“ติดต่อตามเบอร์นี้ ถามทางนั้นว่ายังขายอยู่ไหม แล้วนัดวัน เตรียมเช็คไปให้พร้อมเลย”
วิชญ์สั่งการรวดเดียวจบ เมื่อแยกออกมาจากธรรศเพื่อกลับขึ้นรถของตนเอง เพียงใจรักษาความเร็วในการตามและระยะห่างระหว่างนายจ้างกับตนเองได้แม่นราวกับใช้ไม้บรรทัดวัด จนวิชญ์อดเหลือบตามองด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เลิกงานแล้ว จะกลับบ้านเลยก็เชิญ แยกกันตรงนี้”
“แต่คุณลุงบอกให้ส่งคุณจนถึงบ้านก่อนค่ะ ถึงกลับได้”
วิชญ์เบือนหน้าขรึมๆของเขามาถาม แม้ไม่ได้ตะคอกตะคั้นแต่น้ำเสียงนั่นฟังรู้ว่าไม่สบอารมณ์อยู่พอควร “ต้องอาบน้ำ ป้อนนม กล่อมนอนด้วยไหม”
“ก็ถ้าคุณต้องการ”
วิชญ์ปรายตามองหญิงสาวอย่างให้รู้ความนึกคิดของตน หากเป็นคนอื่นคงหน้าชาไปแล้วกับสายตาของเขา เพราะวิชญ์นั้นขึ้นชื่อนักกับการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางมากกว่าจะใช้คำพูดกระโชกโฮกฮาก แต่เขาที่ว่าเก่งแล้วกลับมีคนที่ทำท่าจะเหนือกว่า จะใคร ก็อย่างยัยเด็กเส้นของพ่อเขานี่ไง
เพียงใจมองตอบมาอย่างที่ปิดเร้นความรู้สึกได้เก่งกว่าเขาเปิดเผยออกไปเสียอีก
วิชญ์ต้องสูดลมหายใจระงับความดันโลหิตที่ค่อยๆทะยานขึ้นมาเพราะคนตรงหน้า แล้วเปิดประตูรถหรูของตนที่มีเพียงสองที่นั่งขึ้นขับ ออกตัวพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าทันที โดยไม่สนใจว่าผู้ช่วยหน้าเดียวของเขาจะกลับอย่างไร
เพียงใจขยับแว่นตามองตามไฟท้ายรถสีส้มแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสาย รายงานกับคนทางนั้นจนเรียบร้อย ถึงมองซ้ายขวาหาทางพาตัวเองกลับบ้าน โชคดียังเป็นของเธออยู่บ้าง ก็พอดีได้เจอกับอิทธิที่เดินออกมาจากด้านในร้าน
“ไง...เที่ยวที่แบบนี้ด้วยหรือเรา” คนทักทักอย่างคนคุ้นเคยกันดี
อิทธิเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทของเพียงใจ อายุห่างจากพวกเธอหลายปีพอควร แถมบ้านยังอยู่ละแวกเดียวกันอีกด้วย เขาเป็นคนอัธยาศัยดีพูดคุยเข้าใจง่ายอยู่พอตัว
“มาทำงานน่ะค่ะพี่อิทธิ” เพียงใจตอบไปตามความจริง
“ห้าทุ่มห้าสิบเนี่ยนะ ทำงาน”
“ค่ะ งาน” ยิ้มน้อยๆก่อนบอกเสียงเนือยๆ
“แล้วนี่จะกลับยังไง”
“เพียงขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ”
“มาสิ”
ใบหน้าติดเรียบเฉยมีเพียงมุมปากที่ขยับยกขึ้นหน่อยหนึ่งให้ดูรู้ว่ายิ้มแล้ว ค่อยตรงไปเปิดประตูรถขึ้นนั่งข้างกับอิทธิออกตัวไปจากลานจอดในเวลาต่อมา คนที่วนรถกลับมาอีกรอบงึมงำอยู่คนเดียวในห้องโดยสาร เมื่อเห็นว่าร่างเล็กๆกำลังปีนขึ้นรถโฟร์วีลอยู่พอดี
“หึ! หน้าตาแบบนั้นหาคนไปส่งได้ด้วย เด็กคุณนนท์นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เพียงใจกลับถึงบ้านของอรสาตอนที่เลยเที่ยงคืนไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และแปลกใจที่ไฟในบ้านยังเปิดอยู่
หญิงสาวพักอยู่กับอรสา อรสาเป็นพี่สาวแท้ๆของมารดาของเธอ
มารดาผู้มีร่างกายอ่อนแอเสียชีวิตไปเมื่อตอนเธอสอบเข้าในมหาวิทยาลัยได้พอดี ท่านปิดบังอาการป่วยและโรคร้ายเสียสนิท ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งพี่สาวอย่างอรสา จนทนต่อความทรมานของโรคไม่ไหวจากไปในที่สุด ไม่ทันได้ยลความสำเร็จที่เธอจบการศึกษามาได้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเสียด้วย บิดานั้น จำได้ว่าเคยถามหาเมื่อตอนเด็กๆครั้งเดียว ท่านว่าเขาไปมีครอบครัวใหม่แล้ว หลังจากนั้นเธอก็ไม่ถามถึงอีกเลย ดีที่มารดามีเงินประกันจากการเสียชีวิตของท่านมากพอจะส่งให้เธอได้เรียนจนจบโดยไม่ลำบากใครๆ โดยมีอรสาเป็นผู้ปกครองของเธอหลังจากสิ้นมารดา
“กลับมาเสียดึกเชียว”
เสียงดังมาจากโซฟาตัวเดียวที่กลางบ้านตอนที่เพียงใจปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว
คนทักเป็นหญิงอายุย่างห้าสิบปี ที่ยังดูสวยเจ้าหล่อนรักษาทรวดทรงได้อย่างดีเยี่ยม ใบหน้ายังดูสาวสด ทายอายุที่สามสิบปลายๆถึงสี่สิบต้นๆก็ยังได้ อย่างไม่น่าเกลียดเสียด้วย
เคล็ดลับของท่านเวลาคนถามก็คือไม่มีสามีไม่มีลูกไม่มีครอบครัว
ทำให้ไม่ต้องคอยครุ่นคิดเครียด กับใครจึงไม่แก่
เพียงใจมองผ่านแว่นตอบผู้เป็นป้า “เพิ่งเสร็จงานค่ะ”
“งานอะไรของแกดึกป่านนี้” ท่านละมือจากการสครัปที่ข้อศอกขึ้นมามองหน้าเธอ อรสายิ้มมุมปาก มือขัดวนที่ข้อศอกก่อนเอ่ยปากตามใจคิด “หรืออีตาคุณวิชญ์อะไรนั่นยังไม่เลิกแยกเขี้ยวใส่แกอีก”
ได้ยินความคิดของคนเป็นป้า ทำเอาเพียงใจอ่อนอกอ่อนใจกับความคิดของอีกฝ่าย “ป้าสาคะ…”
“ทำไมยะ”
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
“เฮอะ ทำงานงกๆ แก่ตายก็ไม่รวย ทำไมแกไม่ประจบเก่งๆ เขาจะได้รักแกเอ็นดูแก...เสียแรง ฉันอุตส่าห์”
เพียงใจคร้านจะฟังต่อ “เพียงไม่ได้อยากรวยนี่คะ”
“คิดอะไรเด็กๆ นี่แกเรียนจบ มีงานมีการทำแล้วนะ แกต้องคิดเผื่ออนาคตด้วย ว่าจะอยู่แบบไม่ลำบากได้ยังไง”
“แบบที่ป้าสาทำน่ะหรือคะ”
“ฉันทำอะไร”
“หนูขอล่ะค่ะ ป้าอย่าไปสนิทกับคุณลุงอานนท์นักจะได้ไหมคะ คนไม่รู้จะเอาไปพูดกันได้”
“พูดว่ายังไง”
“หนูว่าป้าสารู้แก่ใจดีนะคะ เรื่องนี้”
“เช๊อะ ทำมาสำบัดสำนวนกับฉัน” อรสาสะบัดหน้า ไม่พอใจที่เพียงใจมายุ่งเรื่องของตน เพียงใจเองก็ใช่ว่าจะดูไม่ออก เธอเข้ามานั่งใกล้ๆอรสาแล้วว่าเสียงอ่อน
“เพียงสงสารภรรยาคุณลุงหรอกค่ะ ไม่อยากให้ใครมาว่าป้าสาด้วย”
“ทำไม ยัยนั่นเป็นอะไร แกถึงต้องไปสงสาร” อรสาไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีห่วงใยตน แต่กลับถามไปถึงบุคคลที่สามเสียนั่น
“ก็เห็นว่าเข้าโรง’บาลค่ะ เพียงรู้แค่นั้น”
“ฮึ ดี สม” สามคำสั้นๆจากปากอรสา บ่งบอกถึงความคิดที่มีต่ออีกฝ่าย เพียงใจอดเรียกรั้งคนเป็นป้าเอาไว้ไม่ได้ “ป้าสาคะ”
“อะไรของแกอีกยัยเพียง”
“หนูขอนะ อย่าไปยุ่งกับสามีคนอื่น มันบาป”
อรสาไม่ได้รับปากหลานสาวของตน ทั้งยังคิดไว้ในใจคนเดียวว่าต้องหาโอกาสไปเยี่ยมคนที่ป่วยอยู่บ้างเสียแล้ว เข้าโรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ ป่วยหนักๆเข้าวัดไปเลยยิ่งดี!
“รับข้าวต้มสักหน่อยนะคะคุณสำลี เดี๋ยวม้อยจะพาออกไปนั่งเล่นข้างนอก”
คนกล่าวเป็นหญิงที่วัยแก่กว่า เจ้าตัวรับใช้คุณสำลีมานานตั้งแต่ยังเป็นคุณหนูตัวน้อย จนออกเรือนมีบุตรก็ตามมารับใช้ไม่ห่างหายกันไปไหน ทั้งยังจงรักภักดี ห่วงหา อาทรกันมากกว่าเก่าเสียอีก
ชะม้อย หญิงรับใช้มองร่างผอมบางในชุดสวมใส่เบาสบายที่เอาแต่นอนเงียบ อยู่บนที่นอน ไม่ปริปากพูดกับใครสักคน จะกินหรือก็น้อยลงทุกวัน เข้าๆออกๆโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น นี่ก็เพิ่งกลับมาเมื่อคืนวาน หากยังนอนนิ่งๆแบบนี้อีกวันหรือสองวัน ดูท่าจะต้องได้กลับเข้าไปในโรงหมอโรงพยาบาลอีกรอบแน่
“นะคะคุณ” ชะม้อยยังคงรบเร้าผู้เป็นนายไม่เลิก แต่ก็ดูท่าจะไร้ผล จึงเดินไปหยิบถ้วยข้าวต้มในถาดบนโต๊ะที่จัดวางไว้ใกล้ๆ เพื่อนำมาป้อนผู้เป็นนาย ยังไม่ทันได้หยิบถ้วยก็แว่วเสียงตึงตังและประตูห้องถูกกระชากเปิดออกพร้อมเสียงของคนมาใหม่
“คุณสำลีไม่สบายหรือ ฉันมาเยี่ยมคุณแน่ะ”
ชะม้อยละมือจากถ้วยตรงหน้าลิ่วออกมาดูคนมาใหม่ทันที
“ออกไป!” เสียงจากคนที่นอนนิ่งบนเตียง เค้นออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งปนไปด้วยความเกลียดชังอยู่ในที
“ยังมีแรงไล่อยู่เลย แสดงว่าอาการไม่หนักเท่าไรนี่คะ”
“เธอต้องการอะไร...อรสา” เสียงแหบแห้งถามเบาหวิวมาจากบนที่นอนกว้างขาวสะอาดตา
“โถ ฉันไม่ได้ต้องการอะไรหรอกค่ะคุณ ฉันมีทุกอย่างเหมือนๆกับคุณนั่นแหละ อ้อ...อาจจะมากกว่าด้วยนะคะ นี่ได้ยินว่าไม่สบายเลยอยากมาดูว่าหนักแค่ไหน”
“เห็นแล้วก็กลับไป!” เสียงที่กลั้นใจเปล่งออกมานั้นแหบแห้งด้วยว่าจวนเจียนสิ้นเรี่ยวแรงเต็มที
“ไปแน่ค่ะ ไม่ต้องไล่กันหรอก”
อรสาเข้ามาจนชิดเตียงก่อนจะโน้มหน้าลงไปจนใกล้คนป่วยกระซิบบอกบางอย่างด้วยที่ทำเอาคนที่อ่อนแรงอยู่แล้ว ตาเบิกกว้างหายใจตื้นถี่กระชั้นและหมดสติลงในนาทีถัดมา
วิชญ์จอดรถลงที่บริเวณบ้านของเป้าหมายในเวลาเกือบเที่ยง เมื่อเพียงใจรายงานไปว่าเธอนัดเจ้าของบ้านเอาไว้แล้วในวันและเวลานี้ ทันทีที่เขาดับเครื่องยนต์ที่เสียงกระหึ่มเล็กน้อย เพียงใจก็เปิดประตูก้าวลงไปยังลานบ้าน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอคาดว่าน่าจะใช่มัชฌิมา จึงออกปากถามเป็นเชิงทักทายออกไป
“คุณอุ่นนะคะ”
เจ้าของชื่อรับคำแล้วถามกลับมา “ใช่ค่ะ ติดต่อธุระอะไรคะ”
“เห็นประกาศขายบ้านคราวก่อน ขายไปแล้วหรือยังคะ”
“อ้อ...ยังไม่ได้ขาย”
เพียงใจถามต่อทันที“เท่าไรคะ”
“สามล้านค่ะ”
ได้ยินราคา จึงหันไปสบตากับวิชญ์ พอเห็นเขาพยักหน้าให้ จึงหันไปตกลงกับเจ้าของที่ทันที“ตกลงซื้อค่ะ คุณอุ่นสะดวกรับเป็นเช็คไหมคะ”
ท่าทางของหญิงสาวเจ้าของบ้าน ดูตกใจเล็กน้อย คงแปลกใจที่ซื้อขายกันง่ายดายและว่องไวเหลือเกิน แล้วจึงได้ยินทางนั้นตอบกลับมา
“ค่ะ ไม่มีปัญหาค่ะ”
ตกลงกับเรียบร้อย ก็กลับไปขึ้นรถดังเดิม “ที่จริงมาคนเดียวก็ได้นี่นะ” เขาว่าเหมือนกับว่าธุระเมื่อครู่นี้เสียเวลาของเขา
“ค่ะ” รับคำเขาสั้นๆอย่างเคย เพราะเธอก็คิดเอาไว้แบบนั้นเช่นกัน แต่เขาเองที่บอกว่าจะมาด้วย ไม่ใช่เธอที่เสนอความเห็นในเรื่องนี้เสียหน่อย ออกรถมาครู่เดียวก็มีเสียงดังที่เป็นโทรศัพท์ส่วนตัวของวิชญ์ เขารับสายตรงที่โชว์เบอร์จากที่บ้านของมารดาในทันทีกรอกเสียงขรึมๆลงไป “ครับ” เงียบฟังปลายสายเพียงครู่ก็ได้ยินเขาถามกลับ
“ว่ายังไงนะครับ”
เขาวางสายลงด้วยดวงตาแดงกล่ำแข็งกร้าว เพียงใจเห็นกรามของเขาบดอัดกันจนแน่นราวกับโกรธใครหรือโกรธอะไรอยู่อย่างนั้น… และใครกันที่ชะตาขาดขนาดที่ทำให้คนอย่างวิชญ์โกรธได้ ก่อนจะเห็นว่าสายตาของเขาตวัดมองที่เธอชั่วขณะแล้วรถก็ทะยานพุ่งไปข้างหน้าด้วยความแรงของรถบวกกับอารมณ์ที่ดูเหมือนว่ากำลังเดือดจัดของวิชญ์ คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยอย่างเธอได้แต่ลอบเป่าลมออกจากปาก ขอให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก็พอ