ตอนที่ 6 เพียงดาวพราวแสง

1974 คำ
เพียงดาวพราวแสง ณ โรงแรมเพียงวิมาน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ “ดาวทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิลูก” แม่เลี้ยงดาราวัลย์บอกลูกสาวคนเล็กที่เหม่อมองเหมือนโลกทั้งใบไม่มีความสดใสทั้งที่วันนี้นางพาลูกสาวมาพักผ่อนแท้ๆ จะว่าไปนางก็รู้สึกว่าหนึ่งอาทิตย์มานี้พราวดาวดูเหมือนคนที่หมดอาลัยในชีวิตมากมาย... “ก็นี่ดีแล้วนะคะ” ทำท่าเซ็งที่มารดาเอาแต่เตือนให้ทำหน้าดีๆ บ้าง ทั้งที่ก็ไม่รู้จะปั้นไปทำไม ตอนนี้เธอกับมารดานั่งอยู่ที่ลอบบี้ของโรงแรมเพื่อรอเซ็กอิน พอมีเวลาเธอก็มักจะเหม่อตลอดจนมารดาทักหลายรอบแล้ว “ดีที่ไหน หน้ายู่ คิ้วขมวดอยู่อย่างนี้หา” มือขาวๆ อวบอูมยื่นมากดไล้หน้าผากของลูกสาวตนเอง พลางบ่น “หรือว่าเครียดเรื่องที่ต้องเตรียมตัวเรียน แม่บอกแล้วว่าไม่ได้บังคับ จะมาอยู่บริษัท แล้วเรียนเทียบเอาก็ตัดสินใจเอง” อาการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ลูกสาวบอกว่ารู้ผลประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยจากส่วนกลางแล้ว พราวดาวบอกว่าสอบได้มหาวิทยาลัยใจกลางเมืองในคณะที่เจ้าตัวต้องการเรียนเพราะว่าอยากไปสัมผัสความรู้สึกของการรับน้องและขึ้นสแตนเชียร์ของนักศึกษาในช่วงปีหนึ่ง เพราะถ้าไม่เลือกเรียนคณะนี้แล้วทำกิจกรรม โอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยทั่วไปก็ไม่มีอีกง่ายๆ แล้ว “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ ดาวได้ทำแบบที่ตั้งใจแล้วเรื่องเรียน ไม่ได้เครียด” บอกมารดา แล้วก็ก้มหน้ามาจัดแจงเครื่องดื่มเพราะไม่อยากให้มารดาเห็นว่าเธอไม่ค่อยสบอารมณ์ทั้งที่มาพักผ่อนตากอากาศอยู่ “แม่ก็คิดมาก มานี่ค่ะ มาดื่มชาอัญชันมะนาวแก้กระหายดีกว่า” “เปลี่ยนเรื่องเชียว แม่ไม่ซักก็ได้แต่รู้ใช่ไหมว่าเครียดเรื่องอะไรก็บอกแม่ได้ทุกเมื่อ” ก็มันเป็นเรื่องหัวใจคงไม่กล้าปริปากบอกมารดาได้หรอก นี่ก็ยังไม่ได้กล้าเล่าให้ใครฟังเลยนอกจากคุยกับนภัสเพียงสองคน... แค่คิดถึงแล้วก็เศร้าและท้ออย่างบอกไม่ถูก เคยดีใจและย่ามใจมาตลอดว่าเธอทำให้เขาเผลอใจได้ เขาก็มองเธอเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง และถ้าสำเร็จการศึกษาแล้ว เขาอาจจะมองในอีกแบบใหม่ เธอมีความหวังค่อนข้างมากเพราะเคยรู้มาว่าตอนนี้เขาก็ยังไม่มีใคร แต่พอได้รู้ว่าในหัวใจของเขามีใครอยู่แล้ว และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ยอมมีใครอีก คงเป็นรักที่ฝังใจเขามานาน... พราวดาวเศร้าเล็กน้อยเมื่อคิดว่าการหาทางแทรกเข้าไปในหัวใจเขาจะเป็นเรื่องยาก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมแพ้หรอก... เธอโตมาทำอะไรมาก็มากมายไม่เคยทำไม่สำเร็จ ตอนนี้การเป็นภรรยาเขาคือเป้าหมายเดียวที่เธอมี... ดังนั้นรู้ว่าเสี่ยงแต่พราวดาวก็ต้องขอลอง... “แน๊ ยายดาวเหม่ออีกแล้ว ดูซิ พี่ๆ เราเดินมาโน่นแล้วยังไม่ยอมมอง” ผู้เป็นมารดาตีแขนพราวดาวเลยเงยหน้ามองผู้มาใหม่ เธอกับมารดาเพิ่งมาถึงโรงแรมและนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้กำลังดื่มเวลคัมดริงก์รอพี่สาวกับพี่เขยมาต้อนรับอยู่ เพียงดาวกับอินทร คือพี่สาวกับพี่เขยพราวดาว ทั้งคู่เป็นเจ้าของโรงแรมเพียงวิมานซึ่งเป็นที่ที่เธอกับมารดามักมาพักผ่อนเสมอยามว่าง เพียงดาวเป็นพี่สาวที่อายุห่างจากเธอหลายปีแต่ดวงหน้าและรูปร่างก็แทบไม่แตกต่างจากพราวดาวนัก ใครๆ ก็บอกว่ายังเหมือนฝาแฝดกันอยู่เลย แม้ว่าเพียงดาวจะมีลูกสาววัยเกือบสิบขวบแล้วแต่ความงามเหมือนสาวแรกแย้มยังคงทนแม้อายุขึ้นเลขสามไปหลายปีแล้ว “คุณยาย น้าดาว....” เจ้าเด็กสิบขวบที่ว่าคือเด็กหญิง อินทิรา ลูกสาวสุดรักสุดหวงของเพียงดาวและอินทร... เด็กหญิงวิ่งแซงพ่อแม่โผล่มากอดผู้เป็นยายทีและกอดน้าสาวที แม้จะอยู่ไกลถึงเชียงใหม่ แต่ว่าความสนิทสนมก็ไม่น้อยเพราะน้องจากจะบินไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แล้ว ยังวิดีโอคอลกันตลอดอินทิราจึงคุ้นเคยกับญาติฝั่งมารดามาก “เป็นไงยายตัวแสบไม่เจอกันไม่กี่เดือน โตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” “ก็ต้องโตสิคะน้าดาวก็ แม่บอกว่าอีกหน่อยก็โตเท่าน้าดาวแล้ว หนูอยากโตไวๆ เบื่อโรงเรียนจะแย่” “ต๊ายยย” ผู้เป็นยายทำท่าจะเป็นลม... “เบื่อโรงเรียนแล้วจะทำอะไรล่ะยายหนูอิน” “ก็ทำเหมือนอาดาวไงคะ... ทำงานช่วยคุณยายตั้งแต่เด็กๆ ไม่ต้องไปโรงเรียน” “เรียนๆ ไปเถอะ... ไม่อย่างนั้นจะเสียดาย อาของหนูอินยังเสียดายเลย ตอนนี้ขอกลับไปเรียนไปใช้ชีวิตเด็กมัธยม เพราะรู้สึกขาดหาย มาทำงานเร็วไป หนูอินใช้ชีวิตในโรงเรียนกับเพื่อนๆ ให้สนุกดีกว่านะยายว่า” ลูบหัวหลานสาวอย่างเอื้อเอ็นดู ศาสตราจารย์ดอกเตอร์พงศ์สามีของนางแม้เสียชีวิตไปแล้วแต่ยีนความอัจฉริยะของเขายังตกทอดมาสู่ลูกและหลานได้อย่างเต็มเปี่ยม พราวดาวและอินทิรามีสิ่งที่เหมือนกันคือ ความฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เกินวัยพัฒนาการทิ้งห่างเด็กวัยเดียวกันเป็นสิบๆ ปี สามารถสอบเทียบให้จบปริญญาที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่ยอมรับเด็กอัจฉริยะให้จบปริญญาตรีในช่วงประถมยังได้โดยไม่ลำบากเลยถ้าเทียบระดับไอคิวและพัฒนาการแล้ว แต่ว่าตอนพราวดาวบิดาขอร้องให้เรียนตามเกณฑ์ปรกติเพื่อพัฒนาด้านอีคิวเพราะผู้เป็นบิดาศึกษาชีวิตของเด็กอัจฉริยะหลายๆ คนที่โตมาไม่ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขหรือประสบผลสำเร็จ ปัจจัยหนึ่งคือความสุขในวัยเด็กขาดหาย เขาเลยให้ลูกลองเรียนตามเกณฑ์ แม้พราวดาวจะบ่นว่าเบื่อทุกวันเพราะสิ่งที่เรียนมันง่ายเกินไป จนตอนพราวดาวจบชั้นประถมสามีเสียชีวิตและงานด้านบริหารบริษัททัวร์ของนางไม่มีคนช่วยเพราะว่าช่วงนั้นลูกสาวคนโตก็แต่งงานกับสามีมาอยู่ทางเหนือพักหนึ่งแล้ว เลยยอมตามใจให้พราวดาวสอบเทียบม.ต้นไว้แล้วมาทำงานสองปี จนบริษัทเข้ารูปเข้ารอยเพราะการจัดการของพราวดาว แต่ว่าตอนชั้นมัธยมปลายพราวดาวก็ขอกลับไปเรียนอีกครั้งเพราะคิดว่าอยากใช้ชีวิตนักเรียนเนื่องจากมันสนุกดี แล้วเจ้าตัวก็ติดลมมาจนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยและขอเรียนจนถึงปีหนึ่ง เพราะอยากสัมผัสกิจกรรมรับน้อง จากนั้นพอขึ้นปีสองแล้วจะลาออกหลังหน่วยกิตที่ลงเรียนไว้ในมหาวิทยาลัยเปิดจะครบและเจ้าตัวจะเรียนจบปริญญาตรีพอดี... “คุณแม่ก็บอกค่ะว่า น้าดาวยังทนเรียนได้จนจบประถม... แต่หนูอินไม่รู้จะทนได้หรือเปล่าค่ะ” เด็กสาวที่อายุสมองโตแล้ว แต่ร่างกายยังเท่าเกณฑ์อยู่ทำปากยู่ย่น คนเป็นแม่และยายเห็นพ้องกันว่าท่าจะแก่แดดเหมือนน้าสาว แต่คนเป็นพ่อนั้นยังไม่ชินกับความฉลาดเกินตัวของลูกสาวตัวเองนัก.. “นี่ก็แอบหนีไปนั่งเรียนกับพี่ป. หกอยู่เรื่อยเลย ตัวเองเรียนแค่ป. หนึ่ง” เพียงดาวว่าลูกสาว “ตอนอาเราเรียนก็ไปนั่งอ่านหนังสือของเด็กมัธยมเหมือนกันยายหนูอิน... เวลาเรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน แต่เวลาเล่นกับเพื่อนก็สนุกเหมือนกันนะ ถ้าไม่คุยเรื่องวิชาการกันน่ะ อดทนไปก่อนถือว่าอย่างน้อยก็ได้เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันเพื่อเป็นการพักผ่อนนะ...” ลูบหัวหลานสาวอย่างเข้าอกเข้าใจ... ถ้าข้ามมาใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่เลย พอโตขึ้นก็อยากย้อนวัยเหมือนที่เธอเป็น บิดาคงเข้าใจและมองการณ์ไกลไว้ถึงบังคับให้เธอเรียนจนจบประถมและย้ำเสมอว่าให้ทำในสิ่งที่ชอบที่อยากทำ เธอก็เลยทำตามความต้องการของตัวเองทุกอย่างทั้งเรื่องเรียนและการใช้ชีวิต “ลองดูก่อนสักปีก็ได้นะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะให้สอบเทียบ” “เมืองไทยยังใหม่กับเรื่องแบบนี้มาก แต่ที่อินเดียกับอเมริกามีหลายมหาวิทยาลัยที่รองรับ... ถ้ายายหนูอินไม่อยากเรียนตามเกณฑ์อายุตัวเอง เราก็คงต้องมาวางแผนกันใหม่อาจจะต้องพาไปเรียนในแบบที่เหมาะกับเค้าแบบที่เค้าต้องการ” อินทรบอก “ไว้ถ้าตัดสินใจกันปีหน้า ดาวก็ว่างแล้วมาดูแลโรงแรมให้ก็ได้นะคะ” พราวดาวรีบออกตัว เผื่อว่าถ้าเรื่องพิชิตใจอาคีทไม่สำเร็จจริงๆ หากพี่สาวกับพี่เขยต้องพาลูกไปเรียนต่างประเทศ เธอจะหนีมาหลบเลียแผลใจที่นี่... “ขอบใจมากเลยนะจ๊ะ ไว้ปีหน้าถ้าต้องให้ช่วยจะเลือกดาวเป็นตัวเลือกแรกแน่ๆ จ้า” เพียงดาวเดินเข้ามากอดน้องสาวแน่นๆ แทนคำขอบคุณ แม้อายุจะห่างกันถึงสิบห้าปีแต่ความฉลาดเกินตัวของน้องสาวทำให้คุยกันรู้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรเลยสนิทกันมาก “ผมว่าพวกเราไปห้องพักกันเถอะครับ เอากระเป๋าไปเก็บกันก่อนดีกว่า ผมนัดครูสอนทำอาหารเหนือไว้ให้ดาวอีกสองชั่วโมงเดี๋ยวไปพักผ่อนรอเวลา” “ดีเหมือนกันจ้ะ... พักก่อนก็ดีเดี๋ยวแม่ตัวร้ายจะหาข้ออ้างว่าเหนื่อยเดินทางไม่อยากเรียนแล้ว” คนที่ไม่รู้ว่าร้อยวันพันปีลูกสาวคนเล็กที่ไม่เคยสนใจเรื่องงานครัวเลยอยากนึกเรียนทำอาหารเหนือขึ้นมาเสียอย่างนั้น “นี่ถ้ามีแฟนก็คิดว่าอยากออกเรือนแล้วนะ เห็นอาทิตย์ก่อนบอกว่าไปซื้อจักรเย็บผ้าพร้อมคอร์สเรียนด้วย” พี่สาวเย้า “อืมใช่... น่าคิดนะ” มารดาก็เริ่มคิดตามด้วย “ไว้ดาวทำเก่งครบทุกอย่างเหมือนพี่เพียง ดาวจะรีบหาแฟนมาแต่งงานด้วย” แทนที่จะเขินอาย แต่คนมั่นใจในตัวเองสุดๆ กลับยิ้มแป้นยอมรับว่ากำลังทำอะไร... “ต๊ายยย ยายลูกสาวคนเล็กรู้หน้าที่ดีจริงๆ หาแฟนเอง ไม่ต้องให้แม่กลุ้มใจรีบหาให้เหมือนลูกคนโต” แม่ผู้เป็นห่วงเรื่องคู่ครองของลูกสาวที่สุดเอ่ยกับลูกสาวที่เป็นลูกหลงติดตลก “ลูกคนโตก็แต่งงานกับคนที่หาเองนะคะ ไม่ได้แต่งกับคนที่แม่หาให้สักหน่อย” เพียงดาวบอกมารดายิ้มๆ หันไปมองอินทรด้วยสายตาเปี่ยมรัก... “เอาเป็นว่าน่ารักทั้งสองคนล่ะลูกแม่... ทำให้แม่ภูมิใจจริงๆ” แม้จะเสียดายอดีตคู่หมั้นของเพียงดาวที่นางหมายมั่นปั้นมือว่าจะจัดงานแต่งงานให้ตั้งแต่ทั้งคู่ยังคบหากัน แต่เพราะลูกสาวไม่ได้รักเขาเท่าอินทร ก็เลยต้องแยกกันไป จนตอนนี้ยังเสียดายไม่หาย เพียงดาวเล่าให้ฟังครั้งสุดท้ายก็ตอนแต่งงานกับอินทรแล้วว่าเขายังเรียนต่ออยู่ต่างประเทศ ไม่ได้ติดต่อกันอีก เลยไม่รู้เลยว่าป่านนี้... เขาจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าคงแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้วล่ะ นางคิดไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนึกถึงอยู่นั้นกำลังจะตามมาเช็กอินโรงแรมเพียงวิมานไล่หลังตนเองเพียงไม่นาน...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม