ที่โรงเรียน
นี่พวกแกฟังรึยังเพลงใหม่ของคิริวน่ะ เพราะมาก
จริงด้วย เพราะสุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะร้องแนวนั้นออกมาได้ดีขนาดนี้
นั่นสิ แถมให้สัมภาษณ์ ว่าคนแต่งเพลงให้เป็นคนพิเศษด้วยนะ แหมน่าอิจฉาจัง
แล้วตัดภาพมาที่ฉันตอนนี้ สายตาทั้ง 5 คู่ 10 ตาก็มองมาที่ฉันเหมือนพร้อมจะขย้ำ และอยากได้คำอธิบาย
“นี่ คนที่แต่เพลงให้หมอนั่นคือเธอใช่มั้ย ดูจากการให้สัมภาษณ์นั่น หมอนั่นกระดี๊กระด้าน่าดูเลย” เจ้าแทนรีบชิงพูดก่อน
“นี่เซลลี่ ไหนว่าจะแต่งเพลงให้ฉันร้องแค่คนเดียวไง ตอนนี้ในใจเธอเปลี่ยนไปแล้วหรอ คนหลายใจ” ฉันยังไม่เคยพูดแบบนั้นเลยนะยัยแพร
“พี่คะ หนูไม่เอาพี่เขยนะคะ ถ้ามีพี่เขยหนูจะสั่งอุ้มฆ่าแน่นอนค่ะ หึหึ” โอ๊ยยัยเด็กโหดนี่นะ
“นี่ๆ เซลลี่ แล้วทำไมถึงไปแต่งเพลงให้หมอนั่นหรอ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” สเตฟาน คะยั้นคะยอ
“นั่นสิ ปกติเธอมีอะไรก็จะบอกพวกเราเสมอไม่ใช่หรอ เดี๋ยวนี้พวกเราไม่สำคัญขนาดนั้นแล้วใช่มั้ย” ฮารุทำหน้าหงอย
“ป่าวทุกคน ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนนะ พอดีฉันรับปากทำให้เขากะทันหัน แล้วไอเดียในหัวมันก็พลุ่งพล่านตามค่าจ้างน่ะ ฉันก็เลยเผลอตัวไปหน่อย ขอโทษจริงๆน้า ที่ไม่ได้บอกก่อน ไม่มีข้อแก้ตัวจ้า แต่มีข้อแก้ไข นี่ไงเพลงใหม่ของพวกเรา ฉันเองก็แต่งให้พวกเธอเหมือนกันนะ อิอิ”
ทุกคนตาลุกวาวหลังจากหยิบกระดาษแผ่นนั้นไป รอยดินสอที่ถูกลบแล้วลบอีก แสดงออกถึงความตั้งใจในการแต่งและเรียบเรียง ทุกคนทำตาซึ้งมองมาที่ฉัน แต่มันชวนขนลุกชะมัด ฮ่าๆ
(ตรงนี้ผู้แต่งขอข้ามรายละเอียดเพลงนี้ไปก่อนนะ ตอนนี้ยังแต่งไม่ออกค่ะ แต่อาจจะมีเพลงนี้อยู่ในบท ตอนไหนสักตอน)
“ว่าแต่เซลลี่ เธอได้เซนต์สัญญากับค่ายหรือเปล่า ฉันสงสัยน่ะ เพราะเห็นเธอพูดว่าค่าจ้างดีไม่ใช่หรอ” สเตฟานนี่รอบคอบเสมอเลยแฮะ
“ป่าวหรอก เหมือนจะเป็นสัญญาปากเปล่าน่ะ พี่เขาก็จ่ายมาให้ส่วนหนึ่งแล้วฉันก็แต่งส่งไปส่วนหนึ่ง ฉันว่าฉันจะทำแค่เป็นงานอดิเรกน่ะ ไม่อยากกดดันตัวเอง เลยคุยกันว่า ฉันแค่แต่งเนื้อร้อง แล้วให้ทีมงานเขาไปเรียบเรียงเอา ถึงแม้ว่ารายได้จะไม่เยอะเหมือนที่คุยกันไว้ตอนแรก แต่ฉันก็พอใจแล้วแหละ”
“สมเป็นเธอดีนะ” ฮารุกะพูดขึ้นนิ่งๆ
“ใช่ พี่จ๋า พี่เก่งที่สุด เก่งรอบด้าน เก่งทุกอย่าง” ยัยเด็กตุ๊กตาอวยไม่หยุด
“แล้วสรุปเรื่องเธอกับพี่เขาละเป็นไง” แทนคุณถามจี้
“หืม เป็นยังไงอะไรหรอ” ฉันถามไปแบบงงๆ
“กะ ก็ เขาให้สัมภาษณ์ว่าเธอเป็นคนพิเศษไง แบบนั้นน่ะ” แทนคุณพูดเองหน้าแดงเอง
“คนพิเศษ ก็หมายถึงคนพิเศษที่มาแต่งเพลงให้ ไม่ใช่หรอ แล้วฉันต้องเป็นยังไงด้วยล่ะ” ฉันตอบแบบงงๆ อีก
“ฮ่าๆๆๆ การที่เธอไม่ฉลาดเรื่องแบบนี้ ฉันว่ามันก็น่าโล่งใจไปอีกแบบนะ” สเตฟานพูดพลางหัวเราะ
“อะไรของพวกนายละนั่น ฮ่าๆๆๆ”
แต่เสียงหัวเราะมันก็อยู่ได้ไม่นาน ตามหลักของนิยายล่ะนะ
“นี่พวกเธอดูสิดูนั่นสิ เห็นหมู่นี้พวกแก๊งเทพนั่น จะอยู่กับยัยเด็กนั่นบ่อยขึ้นนะ ยัยเด็กไม่มีคนคบนั่นน่ะ”
“นั่นสิพวกแก จากกลุ่มที่มีอิมเมจดีๆ พอเพิ่มยัยนั่นเข้าไป อิมเมจตกไปเลย ใครๆ เขาก็ลือกันประวัติยัยนั่นเลวร้ายขั้นสุด”
“ใช่ๆ ตอน ม.ต้นฉันเรียนที่เดียวกับเด็กนรกนั่นแหละ นิสัยเข้าขั้นเลวร้ายสุดๆ ไม่มีใครคบเลย แถมครอบครัวยังเป็นเหมือนพวกนักเลงอีก ไม่รู้ว่าโตมาแบบไหน”
“อืม เห็นว่าเป็นพวกค้ายาเลยน่ะ อย่าพูดเสียงดังไปนะ เดี๋ยวโดนจับเผานั่งยาง”
ยัยพวกนี้เหมือนพยายามพูดให้เบานะ แต่ก็อยากให้พวกเราได้ยิน โลกนี้มันมีคนแบบนี้เยอะสินะ หันกลับมามองเด็กสาวร่างบางที่หน้าตาสวยเหมือนตุ๊กตา นั่งสั่นจนไหล่สะท้าน น้ำตาอาบแก้ม คงเจอมาหนักสินะเด็กนี่ บาดแผลลึกน่าดู ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยพวกขี้นินทาแบบนี้ไป ฉันตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปหากลุ่มคน 4-5 คนตรงนั้น
“เหอะ นี่พวกเธอน่ะ คิดว่าพูดจาแบบนั้นแล้วมันเท่ดีงั้นหรอ การเอาจุดอ่อนกับเรื่องครอบครัวคนอื่นมาพูดในที่สาธารณะแบบนี้มันเป็นการเสียมารยาทนะ เอาเวลาที่นั่งพูดเรื่องของคนอื่นไปทำตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ เผื่อจะเป็นจุดสนใจแบบคนอื่นบ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งอิจฉาคนอื่นจนต้องมานินทาเขาแบบนั้นไง”
“ทำไมฉันต้องอิจฉาเด็กแบบนั้นด้วยล่ะ” เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“นั่นสิน้าาา อิจฉาทำไมนะหรอ ถ้าไม่อิจฉาการมายุ่งเรื่องของคนอื่นแบบนี้เขาเรียก เผือก ดีมั้ยนะ การที่พวกเธอแสดงออกกันมาแบบนั้น ไม่เรียกอิจฉาจะให้เรียกว่ายังไงอีกล่ะ”
“เซเลน่า ฉันแค่เป็นห่วงพวกเธอนะ คบเด็กนั่นมีแต่จะทำให้พวกเธอดูแย่”
“แล้วนั่นใครตัดสินล่ะ ครอบครัวยัยนั่นเลือกเกิดมาเองได้ที่ไหน ถึงแม้เด็กนั่นจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ แต่เด็กนั่นก็ได้พยายามแล้ว พยายามที่จะยืนอยู่บนสังคมเลวร้ายแบบนี้ เด็กตัวเล็กๆ แค่นั้น มือเล็กๆ แค่นั้นที่พยายามอยู่ เธอจะรู้บ้างมั้ยว่าเด็กนั่นต้องเจออะไรมาบ้าง คนแบบพวกเธอน่ะ ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินนะ”
ฉันโมโหขั้นสุด อีกนิดจะนอตหลุดแล้วแหละ ดีนะยัยพวกนี้เดินหนีกันไปก่อน
ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะ เด็กน้อยยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด
“โอ๋ๆ มานี่มา” ฉันดึงตัวเด็กนั่นขึ้นมากอด
“ฮือๆๆๆ พี่คะ”
.
.
หลังจากนั้นเด็กนั่นก็ไม่มาโรงเรียนไป 1 สัปดาห์ ฉันเป็นห่วงเลยมาตามหาเด็กนั่นที่นี่ โดยมีไมเคิลมาเป็นเพื่อน
ฉันไม่กล้าบอกกับเพื่อนๆ ฉันว่าจะมาที่นี่เพราะถ้าพวกนั้นรู้ต้องห้ามหรือไม่ก็ยกโขยงตามกันมาแน่ ไม่อยากให้เด็กนั่นอึดอัด แถมไม่ได้บอกพี่ชายคนอื่นเพราะน่าจะเป็นกังวลกันเว่อวังอีกตามสไตร์ของบ้านฮาร์ฟ จะมีก็แต่ไมเคิลนี่แหละ ที่พอคุยกันรู้เรื่องและไม่ค่อยเรื่องมาก จะว่าไปก็นิสัยคล้ายฉันมากสุด ยกเว้นความเจ้าชู้นั่นแหละนะ
“นะ นี่ เซเลน่า ฉันก็พอจะรู้อยู่นะว่ามาบ้านเพื่อนรุ่นน้อง แต่นึกไม่ถึงว่าจะน่ากลัวขนาดนี้”
“นะ นะ นั่นสิ น่ากลัวชะมัด นี่บ้านหรือคุก รั้วนั่นมันอะไรกัน เหมือนเอาคนต่อกันขึ้นไปสามคนยังปีนไม่พ้นเลย”
“กลับกันเถอะเซลลี่” ไมเคิ้ลคว้าแขนฉัน แล้วกำลังจะเดินหันหลังกลับ
“มีธุระอะไรหรือครับ” เสียงผู้ชายตัวสูงท่าทางเหมือนยากุซ่า เอ่ยถามขึ้นมา สายตาคือแบบพร้อมฆ่าได้ทุกเมื่อ
ฉันทำใจดีสู้เสือตอบไป
“เอ่อ ฉันชื่อเซเลน่าค่ะ คือ ฉันเป็นเพื่อนของมายด์นะคะ พอดีฉันเห็นเธอไม่ไปโรงเรียนนานมากแล้ว เลยเป็นห่วงค่ะ ถึงลองมาหาดู”
“งั้นหรอ คุณหนูเล็ก งั้นหรอ เดี๋ยวผมถามข้างในเพื่อความแน่ใจก่อน พวกคุณรอตรงนี้” ว่าแล้วเขาก็ไปคุยโทรศัพท์ แล้วให้ชายร่างยักษ์อีก 2 คนมายืนเฝ้าฉันกับพี่ชาย
คือบรรยากาศของคนพวกนี้ต่างจากคนของบ้านเจ้าแทนอย่างสิ้นเชิง สายตาเย็นชาน่ากลัวพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ ไม่สงสัยจริงๆ คำที่ยัยมายด์เคยบอกว่า ธุรกิจมืดอย่างเต็มรูปแบบต้องประมาณนี้สินะ
คุยโทรศัพท์จบเขาก็หันกลับมา
“คอนเฟิร์มแล้วครับ เข้าไปได้ ขออภัยที่เสียมารยาทครับ ทางเราต้องตรวจสอบให้ดีว่าไม่ใช่สายของตำรวจ”
“อะ เอ่อ ขอบคุณค่ะ” โอ๊ยนี่ฉันคิดถูกมั้ยนี่ที่มาที่นี่ จะได้กลับไปแบบครบ 32 มั้ย แงงง
ฉันเดินผ่านประตูเหล็กใหญ่เข้าไปในบ้าน บรรยากาศในบ้านแตกต่างจากข้างนอกมาก มีการตกแต่งอย่างอบอุ่นและเรียบง่าย บ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านสไตร์โมเดิร์น ฉันเดินผ่านสระว่ายน้ำเข้าไปยังตัวบ้าน แล้วคนนำทางก็หยุดอยู่หน้าประตูห้องสีขาวใหญ่
“คุณหนูคะ เพื่อนมาแล้วค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมเคาะประตู
“เข้ามาเลย” เสียงสดใสเหมือนเดิมแหะ ไม่น่าจะต้องเป็นห่วงมาก
ฉันกับไมเคิล เข้าไปในห้อง เด็กร่างบางก็กระโดดเข้ามากอดฉัน
“พี่จ๋า พี่มาหาหนูถึงบ้านเลยหรอ ดีใจจัง”
“อืม ฉันเป็นห่วงเธอน่ะ เห็นไม่ไปโรงเรียนตั้งนาน เป็นอะไรหรือเปล่ามายด์”
“หืม ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เมื่อก่อนขาดเรียนนานกว่านี้อีก”
“เห้อ เธอเนี่ยน้า ไปเก็บเอาคำพูดคนพวกนั้นมาใส่ใจไปหมด อันไหนมันบั่นทอนจิตใจก็สลัดมันทิ้งไปเถอะ”
ฉันพยายามพูดปลอบแต่ก็เหมือนไม่เป็นผล ยัยนั่นยิ่งหน้าเศร้าไปอีก
ทันใดนั้นพี่ชายฉัน ไมเคิลก็ฟุ๊ป นั่งบนเตียงสุดหรูแบบถือวิสาสะ
“นี่เธอน่ะ ชื่อมายด์ใช่มั้ย ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าเธอเกิดมาโชคดีหรือโชคร้ายแค่ไหน เพราะเรื่องนั้นเธอเองเลือกไม่ได้"
"แต่สิ่งสำคัญตอนนี้ในชีวิตเธอคืออะไรหรอ เธอพยายามหามันให้เจอแล้วหรือยัง เธออยากทำอะไรในชีวิตเธอต่างหากนั่นเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า
"อย่าพยายามหาว่าทำไมคนพวกนั้นถึงต้องด่าว่าเธอ แต่พยายามหาว่าชีวิตเธอจะทำยังไงให้มีความสุขเถอะ แล้วเธอก็จะไม่ให้ค่าคำพูดเสียดแทงพวกนั้นอีกเลย”
“ถ้าเธอจะจมอยู่กับอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข ไม่ใช่ทุกข์ใจ”
ใบหน้าที่แสนอ่อนโยนของไมเคิลกับดวงตาสีน้ำเงินทอประกาย ยิ้มให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน ราวกับพระอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ เด็กสาวหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หืม ไมกี้ ทำไมวันนี้ พูดดีจังเลยอ่ะ ไม่น่าเชื่อ”
“ช่วงนี้ติดอ่านนิยายน่ะ เลยเผลอเอาคำพูดในนิยายมาใช้ ฮ่าๆๆ”
งั้นพวกฉันไปก่อนนะ รักษาสุขภาพ แล้วก็ไปโรงเรียนด้วยนะ
.
.
(Talk ไมเคิ้ล)
วันถัดมาหลังจากที่ผมเลิกโรงเรียน วันนี้ผมไม่มีถ่ายแบบ แต่ผมก็มาเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวย่านชานเมือง คงเพราะที่บ้านพอหายใจหายคอได้บ้างกับหนี้สิน เลยทำให้พวกเราพี่น้องได้มีเวลาเป็นของตัวเองกันบ้าง
พี่แจ็คกี้ก็มีเวลาให้แฟนบ้างแล้ว เลออนก็ทุ่มสุดตัวกับการคัดตัวนักบาสหน้าใหม่ มัวร์ก็ทุ่มให้กับไวโอลิน ส่วนเซเลน่าน้องเล็กก็หาเงินเองได้ด้วยพรสวรรค์ต่างๆ ที่มีติดตัวมาตามฉายา ลูกรักพระเจ้าสินะ
แล้วผมล่ะ ตอนนี้ผมกำลังอยากทำอะไรสักอย่างมั้ยนะ มีอะไรที่อยากทำมั้ยนะ ในสมองว่างป่าวเหมือนกำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือผมจะยึดอาชีพนายแบบนี้หากินไปตลอดชีวิตดีมั้ยนะ
แล้วทำไมเหมือนชีวิตมันขาดอะไรไปสักอย่าง ผมคิดแบบนั้นจนมานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
เห้อ/เห้อ เสียงถอนหายใจพร้อมกันของผมกับเด็กสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งเดียวกัน พวกเราหันขวับมองหน้ากัน
อ้าวเธอ/อ้าวพี่ชายของพี่จ๋านี่
“แล้วมานั่งทำอะไรตรงนี้” เสียงของทั้งคู่เอ่ยขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“ฉันเลิกเรียนแล้ว พอดีไม่มีงานถ่ายแบบน่ะ ก็เลยมาเดินเตร่คิดอะไรไปเรื่อย ว่าแต่เธอเถอะ นี่เลิกเรียนแล้วหรอ จะว่าไป ไม่ใส่ชุดนักเรียนแบบนี้คือ ไม่ได้ไปโรงเรียนใช่มั้ย ให้ตายเถอะ” ผมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ได้อยากตำหนิอะไรเธอนะ แต่แบบนี้มัน…
เด็กสาวทำหน้าหงอย แล้วก้มหน้า น้ำตากำลังจะเอ่อล้นออกมา เห้อให้ตายเถอะ สาวน้อยกับน้ำตา ทำเอาผมรู้สึกแย่
“ปะ ป่าว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรเธอ” แล้วผมก็นึกไม้เด็ดออกมาได้ ยัยนี่แคร์เซลลี่มากนี่หน่า
“ที่ฉันพูดไปฉันแค่เป็นห่วงเธอน่ะ แล้วเซลลี่ก็ต้องห่วงเธอมากแน่ๆ เพราะยัยนั่นเอ่ยปากเองเลยนะ ว่าเธออยู่ในความดูแลของเขา แล้วคนแบบเซลลี่ต้องรู้สึกผิดมากๆ กับการไม่สามารถดูแลเธอได้ เธออยากเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของยัยนั่นหรอ”
เด็กสาวส่ายหน้า
“ใช่ๆ นั่นไง งั้นพรุ่งนี้เธอก็ไปโรงเรียนซะนะ”
“ได้ค่ะ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ วันนี้พี่ต้องมาเดตกับหนูก่อนกลับบ้าน”
“หา เดตหรอ”
“ใช่ค่ะเดต หรือว่าพี่ไม่เคยเดต เลยไม่กล้าหรือเปล่า”
“นี่อย่ามาดูถูกเทพแห่งการเดตนะ สาวๆ มาขอเดตฉันเป็นว่าเล่น ฉันนะปรมาจารย์แห่งการเดตเลยแหละ”
งั้นไปกันสิคะ/อะ อื้อ
เธอหิวหรือยัง งั้นเริ่มจากไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ย ผมเอ่ยถาม
“ค่ะ” เด็กสาวหน้าตุ๊กตานั่นตอบเสียงใสแล้วยิ้ม หืมตอนยิ้มก็น่ารักดีนี่
ในร้านอาหาร
“นี่เธอน่ะ ไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากเจ้าพวกนั้นเลยหรอ”
“อืม ฉันน่ะ” เด็กสาวเล่าพร้อมกับหน้าเศร้าๆ
“ตั้งแต่ตอน ม.1 ฉันน่ะถูกเมินมาตลอด ด้วยประวัติครอบครัวที่ไม่ค่อยดีเลยไม่ต่อยมีใครอยากคบ ฉันถึงย้ายโรงเรียนมากะทันหัน แต่มันก็ไม่เคยพ้นเรื่องพวกนี้เลย คำพูดแย่ๆ ท่าทางพวกนั้น สังคมแบบนั้น ทำให้ฉันกลัวการเข้าสังคม"
"ฉันเคยคิดว่าลองคบพวกผู้ชายดู เผื่อจะช่วยให้รู้สึกเหมือนกับว่าได้รับความรักมากขึ้น แต่ฉันก็ยังรู้สึกอ้างว้าง ผู้ชายที่เข้ามาก็มีแต่มาหาผลประโยชน์ แต่ฉันก็ไม่ว่าอะไรพวกเขาหรอก เพราะตัวฉันเองต่างหากที่เลือกแบบนั้น”
“ถึงแม้พวกพี่เซลลี่จะยอมรับฉันเข้ากลุ่ม แต่ฉันก็ยังหยุดคิดไม่ได้อยู่ดีว่า ฉันจะเป็นคนดึงภาพลักษณ์ของพวกพี่เขาลงมาจริงๆ มั้ยนะ ฉันหยุดเอาคำพูดพวกนั้นมาคิดไม่ได้จริงๆ” เด็กสาวพูดพร้อมสะอึกสะอื้น ขี้แยจังนะเด็กคนนี้
“แล้วพวกนั้นเคยพูดมั้ยว่าเธอเป็นคนดึงภาพลักษณ์พวกเขาให้ตกต่ำ”
เด็กสาวส่ายหัว
“เธอน่ะ คิดมากไปเองกว่าตัวของเจ้าพวกนั้นอีก เจ้าพวกนั้นไม่ใช่เด็กน้อยที่จะมาอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้หรอก ถ้าพวกนั้นคิดแบบนั้นจริงจะมาคบกับเธอทำไม หยุดคิดมากเถอะ แล้วทำตัวให้สมกับที่พวกนั้นอยากดูแลซะ”
“ขอบคุณนะคะ” เด็กสาวหน้าแดง
“ถ้ามีอะไรก็ไลน์มาหาฉันได้ นี่ไอดีไลน์ฉัน” ผมส่งไอดีไลน์ให้เด็กนั่น แบบเก้ๆ กังๆ
การเดตจบลงอย่างสนุกสนานแล้วผมเองก็ส่งเธอจนถึงหน้าบ้าน
“อะไรกันไมกี้ ทำหน้าตากรุ้มกริ่มแบบนั้นน่าขนลุกชะมัด” ยัยเซเลน่าเอ่ยขึ้นมาหลังจากเห็นหน้าผมที่กำลังออกมาจากห้องแบบเปลือยท่อนบน
“นั่นสิทำไมทำหน้าตาน่าขนลุกแบบนั้น” มัวร์พูดขึ้นมานิ่งๆ หมอนี่ใช่คนอ่อนโยนจริงหรอ วาจาเชือดเฉือนชะมัด
“หน้าแบบนั้น หน้าของคนกำลังมีความรักไม่ใช่หรอ” แจ็กสันพูดมาอีก
“ความรักอะไรกันล่ะอย่างฉันน่ะ….” ยังไม่ทันพูดจบเสียงไลน์ก็ดังขึ้น ตริ้ง ผมรีบลุกลี้ลุกลนเปิดดู
“นั่นแนะ แบบนี้พิรุทชัดๆ รอข้อความสาวแบบนี้ แฟนใหม่หรอ” เลออนพูดเสียงห้าว
“โอ๊ยพวกนายเนี่ย ไม่เอาแล้วฉันเข้าห้องดีกว่า” ผมหลบความเขินของตัวเองเข้าห้อง
“อ้าว แล้วไม่กินข้าวรึไง ไอ่พี่คนนี้” ได้ยินเสียงเซเลน่าบ่นมาไกลๆ
แต่ผมไม่สนแล้ว ทันทีที่ผมเปิดอ่านข้อความ หน้าผมก็แดงก่ำ 0//0
ไลน์จากเด็กสาวที่มีรูปโปรไฟล์ หน้าเหมือนตุ๊กตา
⇢ เข้าบ้านปลอดภัยดีค่ะ อาบน้ำแล้วค่ะ กำลังเตรียมตัวเข้านอน ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ ฝันดีค่ะ พี่ไมเคิล
หน้าผมแดงมากๆ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่ผมได้แต่ฮึบอาการไว้แล้วตอบไปนิ่งๆ
⇢ ฝันดีครับ
ถัดจากนั้น 2-3 วันที่บ้านฮาร์ฟ
“หมู่นี้นายติดมือถือนะ เห็นเช็กมือถือบ่อยมาก เมื่อก่อนบอกว่ารำคาญไม่ใช่หรอ ชอบบ่นว่าสาวๆ ไลน์ตามตัว”
“หืม ติดเติดอะไร ฉันก็ปกติดี ว่าแต่นายเถอะ เห็นไปเคลียร์กับเซลลี่มาพักใหญ่แล้ว ไม่คิดมีแฟนใหม่หรอ”
“อืม ยังลืมไม่ได้น่ะ ก็ชอบมาเป็น 10 ปีขนาดนั้น”
ไอ้ชินยิ้มอ่อนโยนจังเวลาพูดถึง เซเลน่า ผมจะฝึกยิ้มแบบมันบ้างได้มั้ยวะ ทำไมผมยิ้มทีไร ต้องมีคนบอกว่ารอยยิ้มผมมันเจ้าเล่ห์ด้วยก็ไม่รู้
“พวกนายสองคนนี่มันยังไงวะ ใจตรงกันแต่ไม่ลงเอยกัน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”
“ฉันผิดเองแหละที่ไม่ได้บอกออกไปก่อน พอคิดว่าถึงเวลาที่จะบอกมันก็สายไปหมดแล้ว ฉันไม่ได้อยู่ในใจเธอแล้ว คงมีแต่ต้องทำใจ แค่ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้น่ะ” นั่นมันยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
“ที่ว่าทำใจไม่ได้น่าจะเพราะส่วนหนึ่ง เพราะต้องมานั่งหมกอยู่กับนายด้วยแหละ ก็หน้าตาพวกนายยังกับแกะกันออกมา แล้วหมู่นี้นายก็ตามฉันมาอยู่ด้วยบ่อยจัง ฉันเลยสงสัยน่ะว่านายเป็นอะไรหรือเปล่าหรือเป็นเพราะเรื่องของเด็กสาวที่นายชอบไปเจอตอนเย็นนั่น”
เจ้าชิน เจ้าหมอนี่เห็นแบบนี้ก็เซนส์ดีแฮะ เห็นเป็นคนเงียบๆ แต่ฉลาดน่าดู
“ก็นิดหน่อยน่ะ พอดีฉันกับเด็กนั่น มีเรื่องให้ต่างคนต่างไปคิดทบทวนอยู่น่ะ ก็เลยว่าจะลองห่างๆ กัน แล้วลองต่างคนต่างมาคิด ว่าจะเอายังไงต่อดี”
“หืม ไมค์ ตั้งแต่ฉันเป็นเพื่อนนายมา ไม่เคยเห็นนายต้องมากังวลเรื่องแค่เด็กคนเดียวเลย นายไม่เคยแคร์ด้วยซ้ำว่า ใครจะคิดแบบไหนกับนาย แค่นี้มันยังไม่บ่งบอกอีกหรอ ที่นายนั่งรอเธอติดต่อมาเนี่ย มันยังไม่ชัดเจนอีกหรอ”
“ใครบอกละโว้ย ว่ารอยัยนั่นติดต่อมา ฉันก็แค่ดูมือถือแก้เซ็งเท่านั้นแหละ นายอย่ามามั่ว”
“เหรออออ” ชินกรเอ่ยด้วยหน้าตากวนๆ ทำเอาผมสะอึก หมอนี่แม่งฉลาดฉิบหาย
คิดอยู่ไม่ถึง 5 นาที ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เซเลน่าเข้ามา พร้อมกับเด็กสาวร่างบาง ที่มีใบหน้าตุ๊กตาแสนหวานสุดคุ้นเคยเดินตามมา แต่ทำไมวันนี้หน้าตาหมองจังนะ เกิดอะไรขึ้นกับยัยนี่อีกหรอ ผมได้แต่คิดและไม่กล้าถามออกไป แต่ก็แอบดีใจที่ได้เจอเธอ ถึงแม้จะแค่ไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอเธอ ใจผมก็ว้าวุ่นไปหมด
“เอ้าพี่ชิน มาหมกอยู่กับหมอนี่อีกแล้วหรือคะ ช่วงนี้หมอนี่รบกวนพี่ไว้เยอะสินะคะ ขอโทษแทนพี่ชายเฮงซวยของฉันด้วยค่ะ” ยัยนี่มันใช่น้องฉันจริงๆ หรือเปล่าว่ะเนี่ย
“นี่ยัยน้องเฮงซวย ยัยปากไม่รักษาน้ำใจ” ผมโวยวายเซลลี่
“เอ่อ ลืมบอก มายด์จะมาพักบ้านเราสัก 2-3 วันนะ” เซเลน่าเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
“เฮ้ย ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ” ผมตกใจสุดขีดแต่ก็แอบดีใจ
“อืม พอดีมีปัญหากับที่บ้านนิดหน่อยน่ะ ฉันเลยลากมาที่นี่ เพราะถ้าไม่พามาก็ไม่รู้จะไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนอีก”
“เฮ้ย อะไรกันทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ นี่เธอน่ะ ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอ ว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้ไลน์หรือโทรมาหาผมน่ะ แล้วทำไมถึงไม่ทำหะ ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงไปถึงไหนกัน” ผมพูดเสียงดังขึ้นมาอย่างโมโห
ชินกรที่กำลังนอนสบายใจบนโซฟาดีดตัวขึ้นมาดึงแขนผม พร้อมกับตบบ่าพูดเบาๆ ว่า
“เก็บอาการหน่อยเซลลี่ยังไม่รู้เรื่องของพวกนายไม่ใช่หรอ”
“ไอ้ไมค์ ไอ้พี่เฮงซวย ฉันก็พอรู้นะว่านานน่ะมันเฮงซวย แต่มาตะคอกเด็กผู้หญิงแบบนี้มันถูกหรอว่ะ ไอ้….”
ก่อนที่เซลลี่จะด่าจบ เสียงใสก็เอ่ยขึ้นห้าม
“พี่เซลลี่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ หนูผิดเอง” เด็กสาวโค้งตัวก้มหัวให้ผมทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกว่า
“ขอโทษนะคะ พี่ไมเคิ้ล หนูทำให้พี่ลำบากใจอีกแล้ว หนูเป็นแบบนี้ทุกทีเลยสินะคะ แค่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขสบายใจยังทำไม่ได้เลย เหมือนจะทำอะไรออกมาก็ผิดไปหมดเลย ฮ่าๆ แย่จริงๆ” เด็กสาวพยายามฮึบน้ำตาไว้
“ไปกันเถอะมายด์ เข้าห้องกัน อย่าไปใส่ใจพวกปากไม่มีหูรูด” นี่ฉันเป็นพี่เธอนี่นะเซลลี่ พูดแล้วเซลลี่ก็พาเด็กสาวเข้าห้อง
“รู้ว่านายเป็นห่วง แต่ควรคิดก่อนพูดให้มากกว่านี้นะ” ชินกรเอ่ยนิ่งๆ
“เออ รู้แล้วก็มันหงุดหงิดนี่หว่า ” ผมตัดบทแล้วเดินหนีก่อนจะหลุดปาก
ในห้องของเซเลน่า
“นี่ พี่ก็พอจะรู้มาแหละว่าสนิทกับไมกี้ แต่อยากรู้ว่าทะเลาะอะไรกันหรอ เห็นช่วงนี้พวกเธอไม่ค่อยลงรอยกัน ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าอยากพูดให้ใครสักคนฟังพี่ก็อยากเป็นคนนั้นน่ะ”
“ค่ะพี่จ๋า หนูจะเล่าให้ฟังค่ะ”