TWO TWINS (PATRY & MAX)
2
เสียงเพลงดังกระหึ่มไปทั่วผับในตอนนี้ หลังจากที่นัดพวกเสือมาที่ผับ K เพื่อฉลองที่ฉันได้งานทำ แน่นอนว่าฉันกลับไปที่คอนโดและอาบน้ำแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเอง และมานั่งกินเหล้ารอเพื่อนๆ ฉันมองปลายสายที่ยังเงียบ ไม่มีแม้แต่เบอร์ของเพทายที่โทรเข้ามาเลยสักนิด เหอะ คนอย่างเขามันเคยสนใจอะไรฉันบ้างไหมเนี่ย
ตุ้บ
“เฮ้ย!”
“ฮ่าๆ ตกใจหรือไงวะแม็ก”
“เสือ พิม แข็ง” ฉันมองกล่องของขวัญตรงหน้าและมองพิมที่ยื่นกล่องขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ รวมถึงแข็งที่โยนตุ๊กตาหมีมาใส่หน้าฉัน
“อะไรของพวกแกเนี่ย!”
“ก็ของขวัญสำหรับแกที่ได้งานแล้วไง พวกฉันอุตส่าห์ไปเลือกมากับมือเลยนะ ขนาดแข็งถือตุ๊กตาหมีมา ยังโดนมองไปทั่วเลย” พิมหันไปขำโดยที่แข็งก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับยกเหล้าที่ชงอย่างเข้มข้นดื่ม ส่วนเสือไม่ต้องพูดถึง รายนั้นเดินหายไปกับสาวแล้วล่ะ
“ขอบใจพวกแกมากเลยนะ”
“อืม ว่าแต่เพทล่ะ ไม่มาเหรอ?” ฉันที่กำลังยกเหล้าขึ้นดื่มก็มองสบตากับพิมที่เอียงคอมองและพยักหน้ารับ ช่างหมอนั่นเหอะ ถึงไม่มีเขาฉันก็ยังมีเพื่อนที่น่ารักอยู่นี่นา
“เออว่าจะถามแกเรื่องพี่ขุนทัพ แกรู้จักกับพี่เขาได้ไง?”
“เออใช่ ว่าจะถามด้วยเหมือนกัน!”
“ถอยหน้าออกไปไกลๆ ฉันเลยนะไอ้เสือ” พิมผลักใบหน้าของเสือที่จู่ๆ ก็โผล่หน้ามาใกล้เพื่อฟังฉันเล่าเรื่องพี่ขุนทัพ ฉันเม้มปากตัวเอง มองสบตากับเพื่อนทั้งสามคนที่อยากรู้อยากฟัง แต่เว้นแข็งไว้คนหนึ่งนะที่รายนั้นไม่สนใจอะไร
“ก็รู้จักผิวเผินเคยบอกแล้วไง แล้วก็งานที่ฉันได้ก็เป็นบริษัทของพี่ขุนทัพด้วย”
“ห้ะ! จริงเด่ะ”
“จะตกใจอะไรกันนักหนา ปัญญาอ่อน” แข็งโพลงขึ้นมา จนเสือหันไปตบศีรษะหมอนั่น แต่มีเหรอว่าแข็งจะยอม ถีบเสือจนหน้าทิ่มลงกับตักของฉัน
“หึย ไอ้แข็ง ไอ้เวร!”
“หึ”
“หยุดเลยนะเว้ยแกสองคน ฉันจะฟังแม็กเล่าเรื่องพี่ขุนทัพ แล้วไงต่ออะ?” ฉันเลยเล่าเรื่องที่เจอกับพี่ขุนทัพวันนี้ให้พวกมันฟัง ซึ่งทั้งสามคนก็มึนงงมากที่ฉันกับพี่ขุนทัพดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อน โดยที่พวกมันไม่รู้ ใช่ไม่มีใครรู้หรอก นอกจากตัวของฉันกับพี่ขุนทัพสองคน ฉันนั่งจิบเหล้าและมองไปที่เคาน์เตอร์บาร์ก็เห็นบุคคลที่ถูกพูดถึงกำลังยืนมองบรรยากาศในผับอย่างนิ่งเฉย ในมือของเขาก็ยกขวดเหล้าขึ้นดื่ม
“พี่ขุนทัพนี่ อะไรวะ ตายยากจริงๆ คนอะไร”
“แต่แปลกนะที่คนอย่างแม็ก แม่งรู้จักกับพี่ขุนทัพ ซาตานร้ายคนนั้นด้วย”
“ถึงภายนอกจะดูซาตานร้าย แต่จริงๆ แล้วพี่ขุนทัพเป็นคนที่ใจดีมากนะ”
“หือ?” เสือมองสบตากับฉันอย่างมึนงง แต่เป็นฉันมากกว่าที่ยิ้มออกมา ก็เพราะว่าถ้าไม่เจอเขาในวันนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไงนะ
ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ปีหนึ่ง
ตอนนั้นฉันจำได้ดีว่าฉันเพิ่งจะขึ้นปีหนึ่งและอยู่กับพวกเพทาย แต่ต้องเช่าหอเนื่องจากว่าหอพักหญิงเต็ม ดังนั้นฉันเลยจำเป็นต้องเช่าหอนอกอยู่ และต้องหาที่ใกล้มหาลัยมากที่สุด ฉันและเพื่อนๆ ร่วมกิจกรรมรับน้องกันตามปกติ แต่ทว่าวันนั้นเลิกดึก เพราะว่าฉันถูกพี่รหัสดึงตัวไว้ทำความรู้จัก และแน่นอนว่าฉันเดินกลับหอที่อยู่ในซอยเปลี่ยว แต่เนื่องจากฉันไม่ได้สนใจอะไรมากนักบวกกับว่าต้องการถึงที่พักให้เร็วที่สุด ก็เลยจ้ำอ้าวเดินอย่างเร่งรีบ แต่ทว่า...
“เฮ้ น้องสาวกลับคนเดียวไม่เหงาเหรอ?” มีวัยรุ่นสองคนที่ยืนดักหน้าฉันไว้สองคน และนั่นแหละทำให้ฉันรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง และถอยหลังเพื่อหนีคนพวกนั้นแต่ทว่าก็ถูกคว้าข้อมือไว้และกระชากเข้าไปใกล้ๆ
หมับ
“อึก ปล่อยฉันนะ!”
“ตัวหอมวะมึง เอาไงดี”
“หึ ก็เอาทำเมียไง รออะไรล่ะ!”
“ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้!” ฉันพยายามเรียกร้องให้คนช่วย แต่ทว่าซอยเปลี่ยวแบบนี้มันไม่มีใครมาช่วยฉันหรอก นอกจากตัวของฉันเองเท่านั้น ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดผลักชายคนนั้นและหมุนตัวจะวิ่งหนีแต่ทว่าฝ่ามือของชายคนนั้นก็คว้าผมฉันไว้และกระชากไปอย่างแรง
“กรี๊ดดด จะ เจ็บ!”
“ฤทธิ์เยอะนักนะ ลากเข้าข้างทางเลย!”
“ไม่นะ ปล่อยฉัน ปล่อย!” ชายคนนั้นกระชากหนังศีรษะของฉันอย่างแรงให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา บอกเลยตอนนี้ฉันหวาดกลัวเป็นที่สุด ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน น้ำตามากมายไหลออกมาและพยายามจิกนิ้วลงกับฝ่ามือของชายคนนั้นที่จิกผมฉันอยู่
“โอ๊ย! แม่งเอ่ย จิกกูเหรอ สงสัยอยากโดนตบก่อน กูจัดให้!” ฉันมองฝ่ามืออีกข้างของชายคนนี้ที่ยกขึ้นเพื่อตบฉัน แต่ทว่าฉันหลับลงและรอแรงกระทบจากฝ่ามือแต่ก็ต้องอึ้งไปที่มันเงียบมาก จนฉันลืมตาขึ้นมา
“คิดจะทำอะไรของมึง?”
“มะ มึงเป็นใครวะ!” น้ำเสียงเข้มแหบพร่าของผู้ชายคนหนึ่งคว้ามือของชายคนนั้นไว้ เขาคีบบุหรี่เข้าปากและปล่อยควันที่อยู่ในปากพ่นใส่หน้าชายคนที่จิกหนังศีรษะของฉันอยู่
“ไม่ต้องรู้ รู้แค่ว่าเพื่อนมึงตายแล้วล่ะ...” ฉันมองเพื่อนของชายคนนั้นที่นอนสลบอยู่ และดูจากลักษณะคนที่มาช่วยฉันเขาสวมชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกับฉันเลย วัยรุ่นคนนี้กลืนน้ำลายลงคอ อาจจะเพราะว่ารุ่นพี่คนนี้มีหน้าตาที่น่าเกรงขาม และดูหล่อมากจนฉันเองก็อึ้งไปเหมือนกัน
“มึงจะปล่อยผมเธอได้ยัง หรือต้องให้กูดึงออกเอง”
“มะ ไม่!” ชายคนนั้นปล่อยมือออกจากศีรษะฉันและวิ่งพยุงร่างของเพื่อนตัวเองไป ฉันถึงกับนั่งทรุดลงกับพื้นเก็บของมาไว้ในอ้อมแขนและปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ก่อนจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ยื่นมาอยู่ตรงหน้า
“เช็ดน้ำตาซะ อีกอย่างหอที่ไม่ได้อยู่ในซอยเปลี่ยวมีอยู่หน้ามหาลัย ลองไปดู... แถวนี้ไม่ปลอดภัย”
“ฮึก” ฉันรับผ้าเช็ดหน้าสีดำมาไว้และมองร่างสูงที่เดินจากไป แต่ทว่าฉันกลับหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินล้วงกระเป๋ากำลังเดินไปอย่างช้าๆ
“พี่คะ!”
“ว่าไง?”
“ขอบคุณนะคะ” ร่างของเขาหยุดชะงักและเดินหายลับไป ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์วันนั้น ฉันเล่าให้เพทายฟังเขาเลยหาหอพักให้ฉันใหม่และเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้หมดทุกอย่าง มันคือจุดเริ่มต้นที่ฉันเริ่มรู้สึกดีๆ กับเพื่อนสนิทอย่างเขา และได้รู้ว่าใครคนนั้นที่ช่วยฉันไว้ เขาคือ...
“เฮ้ย ขุนทัพ เข้ากิจกรรมได้นะมึง หายหัวตลอด!”