Chapter 3
“ก็ไม่เห็นจะ... หอมสักหน่อย” เขาย่นจมูกใส่เด็กน้อย เจ้าตัวน้อยเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนต้องการมองหน้า ก่อนจะร้องไห้จ้าออกมาในทันที
วริศแทบก้นจ้ำเบ้าเมื่อเจ้าตัวน้อยแหกปากร้องไห้จ้า จนมารดาที่อยู่ในห้องครัวต้องรีบวิ่งออกมาดูในทันที
“ริศทำอะไรน้องเหรอลูก”
“ผมเปล่านะครับ จู่ ๆ ยายแก้มยุ้ยก็แหกปากร้อง” เขามองปากแดง ๆ ลิ้นแดง ๆ ของเจ้าตัวเล็กที่เผยออ้าออกแล้วแหกปากร้องเหมือนควายโดนเชือดด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก
“โอ๋ ๆ ๆ เป็นอะไรจ๊ะหนูปาลินของป้า หนูร้องไห้ทำไมจ๊ะ” เข็มสรณ์อุ้มเด็กน้อยปาลินขึ้นสู่อ้อมแขน เพียงไม่นานเสียงร้องไห้นั้นก็เงียบลง
“หยุดร้องแล้วครับ สงสัยจะเรียกร้องความสนใจ”
“เรานี่ชอบว่าน้อง” แต่หลังจากวันนั้น ก็กลายเป็นว่าปาลินติดพี่ชายอย่างวริศเป็นอันมาก เวลาเขาจะไปไหน เจ้าตัวน้อยที่นอนเล่นอยู่บนที่นอนก็ทำเสียงอ้อแอ้ในลำคอ ทำท่าจะตามไปเที่ยวด้วย
วริศจำต้องเลี้ยงน้องไปโดยปริยาย เพราะน้องติดเขามาก บางทีเขาขับรถพาไปเที่ยว ให้ปาลินนั่งหน้าเพื่อรับลมเย็น ๆ เจ้าหนูน้อยก็หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจและสนุกสนาน ผมหย่อมน้อยกลางกระหม่อมของน้องก็ปลิวไปตามแรงที่มาปะทะ
“ชอบเชียวนะได้มาขับรถเที่ยว” วริศก้มลงมองเด็กน้อยที่ผูกกับเอาไว้ โอบรัดเอาไว้ด้านหน้า เธอยังพูดไม่ได้ ได้แต่ทำเสียงอ้อแอ้เหมือนกำลังพูดอย่างถูกอกถูกใจ
ไม่พาขับรถเที่ยว ก็ต้องอุ้มพาเดินเที่ยว พอวางให้นอนก็ร้องจ้า จะให้อุ้มไปเที่ยวอย่างเดียว
“ผมเมื่อยมือมากเลยครับคุณแม่” วริศบ่นขึ้นในวันหนึ่ง
“น้องติดลูก ก็อุ้มน้องหน่อยนะ ไม่งั้นจะร้องไม่หยุด”
“ให้อุ้มไม่พอยังกินจุอีก กินนมวันนึงไม่รู้กี่ขวด พุงกลมยิ่งกว่าซาลาเปาแล้วครับ”
“น้องหิวก็ให้น้องกินเถอะจ้ะ”
“แม่ครับผมสอบติดที่มหาวิทยาลัยที่ลงต้องการแล้วครับ” วริศบอกข่าวดีแก่มารดา นั่นทำให้เข็มสรณ์ยิ้มหน้าบาน ดีใจกับลูกชายไปด้วย
“ลูกชายของแม่เก่งที่สุดเลยจ้ะ แม่คิดอยู่แล้วว่าลูกต้องทำได้”
“ผมจะเรียนให้จบเร็ว ๆ นะครับ รับรองจะไม่เกเรเด็ดขาด”
“ลูกชายของแม่ไม่เคยเกเร แม่ไว้ใจลูกจ้ะ เปิดเทอมนี้ริศก็จะได้เป็นนิสิตมหาลัยแล้วนะ แม่ดีใจด้วยจริง ๆ เรื่องตั้งใจเรียนแม่ไม่ห่วงหรอกจ้ะ แต่แม่มีอะไรจะขอริศสักอย่างได้ไหมลูก”
“คุณแม่จะขออะไรครับ”
“ก่อนที่พ่อแม่ของปาลินจะเสียชีวิต แม่เคยไปสัญญาว่าถ้าเขามีลูกสาว จะขอหมั้นเอาไว้น่ะจ้ะ”
“คุณแม่ไปสัญญาแบบนั้นได้ยังไงครับ ยายแก้มยุ้ยนี่ยังนอนกลิ้งอยู่บนเปลอยู่เลยนะครับ แต่ผมโตขนาดนี้แล้ว กว่าจะได้แต่งงานกัน ผมมิแก่ใกล้สี่สิบไปแล้วเหรอครับ”
“แม่เห็นหน้าหนูปาลินแล้วถูกชะตา อยากมีลูกสาวแต่ก็ไม่มี ก็เลยเอ่ยปากไปแล้ว ลูกก็ช่วยทำตามสัญญาของแม่ได้ไหมจ๊ะ”
“ไม่ไหวหรอกครับ ผมไม่ชอบโดนจับคลุมถุงชน เกิดผมเรียนแล้วทำงาน ไปเจอผู้หญิงที่ถูกใจ ผมก็ต้องตัดใจเหรอครับ”
“ไม่หรอกจ้ะ เอาเป็นว่าแม่แค่บอกสัญญาที่แม่มีให้แก่พ่อแม่ของปาลินก็พอ ถ้าถึงตอนนั้นใครได้เจอคนที่ถูกใจและคิดว่าเป็นคนดีอยากจะร่วมชีวิตด้วยก็ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะแม่ยึดคติที่ว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน จะไม่มีการบังคับอะไรจากแม่เด็ดขาด แต่ถ้าลูกยังไม่มีใครจนปาลินโตเป็นสาว ก็ขอให้ลูกแต่งงานกับน้องได้ไหมจ๊ะ” ด้วยว่าเข็มสรณ์นั้นเป็นคนตรง ๆ จึงพูดออกมาตรง ๆ ซึ่งวริศก็นิ่งฟัง
“ก็ได้ครับ” เขาตอบตกลงในที่สุด ไม่ใช่อะไรหรอก เขาคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาต้องเจอผู้หญิงที่ถูกใจเป็นแน่ แล้วเขาค่อยปฏิเสธมารดาก็ไม่เสียหาย แต่ตอนนี้รับปากไปก่อน เพื่อให้ท่านสบายใจ ไม่อย่างนั้นก็จะรบเร้าเขาอยู่แบบนี้เป็นแน่
“พ่อแม่ของหนูปาลินเป็นคนดี แม่เชื่อว่าลูกสาวของพวกเขาก็จะต้องเป็นคนดี เป็นภรรยาที่ดีของลูกในอนาคตอย่างแน่นอนจ้ะ เขาว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นจะมีสุภาษิตที่ว่าดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ทำไมกันล่ะจ๊ะ”
ปาลินค่อย ๆ กะพริบตาตื่นด้วยความรู้สึกมึนงง ร่างกายของเธอปวดเมื่อยไปหมด จนเธอต้องร้องครางออกมา
แต่พอร่างกายขยับก็ไปสัมผัสเข้ากับใครบางคนที่นอนร่วมเตียงกับเธอด้วย นั่นทำให้ปาลินหันขวับไปมองอย่างตกใจ
เธอแทบจะกรีดร้องออกมา ดีที่เอามืออุดปากเอาไว้เสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายตรงหน้า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวริศ บุตรชายคนเดียวของคุณป้าเข็มสรณ์ ผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมา
เขาเรียนจบก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่ที่โน่นหลายปี และกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและติดอันดับนักธุรกิจหนุ่มผู้แสนร่ำรวย เขามีหญิงสาวมากมายล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ไม่เคยมีข่าวว่าคบใครเป็นจริงเป็นจัง นาน ๆ เขาจะกลับมาเยี่ยมมารดาสักที
แล้วเธอมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง เธอกวาดสายตามองรอบห้อง ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ