“อ๊า... คุณวริศ”
“เสียวเหรอ”
“ไม่ อื้อ... เสียวค่ะ” อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อโดนเขากระแทกแรงขึ้น เธอก็จำต้องพูดความจริงว่าเสียวซ่านเพียงใด
ร่างกายของเธอฉ่ำเยิ้มและหยาดน้ำรักไหลหยดไปตามเรียวขาผุดผ่องจากการกระแทกกระทั้นเข้าออกอย่างรุกเร้ารุนแรงของวริศ เขากอบกุมทรวงอกอวบอิ่มของเธอเอาไว้ และหลุดเสียงร้องครางออกมาไม่ขาดสาย เพียงไม่นานเขาก็พาเธอไปสู่ความสุขสมอีกครั้ง
ปาลินเพิ่งเข้าใจคำว่าเข่าอ่อนเป็นยังไงก็ตอนที่วริศปล่อยเธอให้เป็นอิสระ พร้อมด้วยการรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
กว่าจะได้กินข้าวต้มไก่เธอก็ตกเป็นของเขาถึงสองครั้งสองครา ปาลินก้มหน้าก้มตากินไม่กล้ามองสบตาคมเข้มของวริศอีกเลย
“ชามข้าวต้มน่ามองกว่าหน้าของฉันเหรอ” เขาเย้าเบา ๆ ก็เห็นเธอยิ่งก้มงุดเข้าไปอีก
“อุ๊ย!” เขามีวิธีทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา โดยการไล้ขาของเธอเล่น
“คราวนี้ก็เงยหน้าขึ้นมามองกันแล้วนะ”
“จะแกล้งกันไปถึงไหนคะ”
“ฉันไม่ได้แกล้ง ฉันอยากนั่งมองหน้าเธอชัด ๆ เวลากินข้าว” เขาเท้าคางมองหน้าเธอ ดวงตาที่สบกันทำให้ปาลินหลบสายตาเป็นพัลวัน เธอรู้สึกสะท้านทุกครั้งที่ได้สบประกายตาร้อนแรงของเขา
“มื้อกลางวันเธอจะทำอะไรให้ฉันกิน แต่ข้าวต้มสูตรเด็ดของเธออร่อยมากเลยนะ รสมือเหมือนคุณแม่เปะ”
“คุณวริศไม่กลับบ้านตัวเองเหรอคะ”
“ฉันลาพักร้อน ว่าจะมาอยู่กับคุณแม่สักเดือนสองเดือน” ประโยคของเขาทำให้เธอถึงกับตาโต วริศพูดเกินจริงไปนิด เขาไม่ได้จะมาอยู่ถึงสองเดือน แค่อยากแกล้งคนที่ชอบทำหน้าตกอกตกใจเท่านั้น
“คุณวริศจะมาอยู่ถึงสองเดือนเลยหรือคะ”
“ทำไมต้องทำเสียงตกอกตกใจแบบนั้นด้วย ไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่เหรอ”
“ก็มันนานไปไหมล่ะคะ”
“บ้านของคุณแม่ของฉัน ฉันจะอยู่กี่วันก็ได้ หรือเดี๋ยวนี้เธอไม่อนุญาตให้ฉันอยู่” ประโยคคำถามของเขา ทำให้เธอคิดได้ว่าที่นี่มันเป็นบ้านแม่ของเขาก็เหมือนบ้านของเขา เธอเองต่างหากที่เป็นคนนอก เป็นแค่ผู้อาศัยเท่านั้น จะไปพูดเหมือนอยากไล่เขาออกไปจากบ้านไม่ได้
“ใครจะไปกล้าว่าอะไรคุณกันล่ะคะ ลินแค่ตกใจที่คุณพักร้อนตั้งสองเดือน บริษัทไม่ไล่คุณออกจากงานเหรอคะ” พอถามออกไปก็เพิ่งคิดได้ว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัท จะลาทั้งปีก็คงไม่กล้ามีใครไล่ออกจากงานกระมัง นอกจากจะเจ๊งหรือโดนโกง
“เรียนจบแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถามอย่างเป็นงานเป็นการมากขึ้น ทำเอาปาลินตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“ว่าไงล่ะ”
“เรียนจบแล้วค่ะ คุณวริศถามทำไมเหรอคะ”
“มีงานทำหรือยัง”
“ยังค่ะเพิ่งสอบเสร็จ”
“อืม... แล้วคิดหรือยังว่าจะทำงานอะไร”
“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ คิดว่าจะดูแลคุณป้าไปก่อน” เพราะว่ามารดาของเขาก็มีงานให้เธอช่วยทำมากมาย เพราะท่านมีธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง เก็บค่าเช่าที่ในตลาดเอย เก็บค่าเช่าบ้านเอย จัดการเรื่องการเป็นนายหน้าขายที่ดินเอย ท่านต้องเดินทางไปโน่นไปนี่ตลอด บางครั้งก็ไหว้วานให้เธอไปจัดการให้ และไหนต้องดูแลเรือกสวนไร่นาอีกเป็นร้อยไร่ ท่านจึงไม่อยากให้เธอไปทำงานที่ไหน ให้มาช่วยท่านดูแลงานที่บ้าน เพราะวริศนั้นก็เปิดบริษัทของตัวเอง เขาไม่มีเวลามาช่วยดูแลตรงส่วนนี้
“คิดว่าจะเกาะคุณแม่กินไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นเหรอ” เขาแกล้งว่า
“ไม่ใช่สักหน่อยนะคะ” เธอทำปากยื่นใส่เขา วริศชอบว่าเธออยู่เรื่อย
“แล้วยังไงเหรอ”
“ก็คุณป้าไม่มีใคร ท่านเลยอยากให้ลินช่วยงานท่านไปก่อนน่ะค่ะ”
“ก็จริงนะ คุณแม่ไม่มีใคร ถ้าเธออยู่ดูแลก็จะได้ใกล้ชิด ฮุบสมบัติคุณแม่ได้ถนัดหน่อย”
“ลินเปล่าคิดแบบนั้นนะคะ”
“ไม่ได้คิดก็ไม่ได้คิดสิ” เขายิ้มขำสีหน้าแตกตื่นของหล่อน
“แกล้งกันอีกแล้วนะคะ ทำไมชอบแกล้งว่าลินอยู่เรื่อย”
“เอาละ ทีนี้ตอบได้หรือยังว่ามื้อกลางวันจะทำอะไรให้ฉันกิน”
“แล้วคุณอยากกินอะไรล่ะคะ”
“กินเธอ”
“อุ๊ย! ไม่ได้ค่ะ” เธอรีบตอบ ก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของเขา
“คุณวริศแกล้งกันอีกแล้วนะคะ”
“ไม่ได้แกล้ง ถ้าฉันได้กินเธอจริง ๆ ก็ดีสิ”
“เพิ่งกิน อุ๊ย! ไม่ได้ค่ะ” เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ที่เผลอพูดประโยคน่าอายนั้นออกไป
“เอาละ เธอทำอะไรมาให้กิน ฉันก็กินได้หมดนั่นแหละ โดยเฉพาะกินเธอ”
“ไม่พูดด้วยแล้วค่ะ เดี๋ยวลินจะไปเตรียมอาหารกลางวัน” เธอรีบเดินหนี ก่อนจะผุดยิ้มขึ้นมาในหน้า
เธอจำได้ว่าเขาไม่ชอบกินอะไร พอ ๆ กับที่รู้ว่าเขาชอบกินอันใดนั่นแหละ
หญิงสาวมองไปยังรั้วบ้านของตัวเอง ก่อนจะยิ้มกริ่มออกมา ยอดขี้เหล็กกำลังแตกยอดอ่อน หลังจากตัดยอดไปเมื่ออาทิตย์ก่อน มะระก็กำลังงาม เหมาะสำหรับตัดมาทำอาหาร แล้วไหนจะยอดสะเดาที่ยังไม่ได้ลวกอีก ถ้าทำน้ำปลาหวานต้องอร่อยเหาะไปเลย คนคิดเมนูหัวเราะอย่างชั่วร้าย
เธอจัดการตัดยอดขี้เหล็กมาทำแกงขี้เหล็กใส่ปลาย่าง และจืดมะระยัดไส้วุ้นเส้นหมูสับ ลวกยอดสะเดาทำน้ำปลาหวาน เงยห้าไปเห็นฝักลิ้นฟ้าหรือเพกา เธอก็สอยลงมาย่างไฟ เพื่อนำไปกินกับน้ำพริก