กนกขวัญเหลือบสายตาขึ้นมองคนนั่งอยู่โซฟาตรงข้ามแล้วหลุบตามองมือเย็นเฉียบของตัวเองที่วางอยู่บนตัก ริมฝีปากเม้มปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ
เธอลอบมองเจ้าของห้องชุดสุดหรู เป็นพักๆ ที่เอาแต่นั่งนิ่งเป็นหินมาร่วมสองชั่วโมง หลังจากกลับมาจากฟังผลจากโรงพยาบาล แล้วก็ต้องเหลือบตามองตามเสียงถอนหายใจอีกครั้ง เธอแอบนับเสียงถอนหายที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
‘ “ผลตรวจระบุว่าแกกับน้องขิมมีความสัมผัสเกี่ยวข้องเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่เพื่อความชัดเจนแกควรให้คุณอามาตรวจด้วยนะวิน” นายแพทย์อ่านผลพิสูจน์ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วเอ่ยกับเพื่อนที่นั่งนิ่งสติหลุดลอยไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้’
ผลตรวจที่ออกมาจากปากของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำให้เธอเองตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่เพราะความมั่นใจที่มีมากกว่าว่าผลจะออกมาในทิศทางไหนจึงเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างแล้ว
“คุณวินคะ” ในที่สุดความอดทนของเธอที่มีต่อบรรยากาศ อันแสนน่าอึดอัดนี้ก็หมดลง
กนกขวัญสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้า เธอจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของคนที่มีสายเลือดเดียวกันอยู่ครึ่งหนึ่งอย่างแน่วแน่
“นะ...หนู”
“เธอชื่ออะไร”
“คะ...คะ” ทว่าขณะที่กำลังจะพูดบางสิ่งบางอย่างตามที่ตั้งใจ เสียงทุ้มที่เงียบไปนานก็ดังขึ้น เธอมองเขาด้วยความงุนงง
“ขิมไงคะ” เสียงหวานเอ่ยชื่อตัวเอง
สายตามองเขาอย่างมีคำถาม เขาก็รู้อยู่แล้ว จะถามอีกทำไม หรือว่าช็อกจนสมงสมองเลอะเลือนไปหมดแล้ว
ทว่าสายตานิ่งเรียบแกมดุของนักแสดงหนุ่มทำเอาเธอ ได้แต่ลอบกลืนคำถามลงคอ
“ชื่อจริง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ในใบนั้นก็มีบอกนี่คะ คุณวะ...วิน...” คนที่กำลังโดนสอบสวนไม่รู้ตัว ชี้นิ้วไปยังกระดาษเอสี่ที่อยู่ในมือหนา ซึ่งเธอมั่นใจว่ามันต้องถูกอ่านมากว่าร้อยรอบแล้วแน่ๆ
ริมฝีปากเล็กที่กำลังอ้าปากต้องรีบงับปิดสนิท ยิ้มแหยๆ
“กนกขวัญค่ะ นางสาวกนกขวัญ พรหมตั้งมั่น”
“นามสกุลของแม่” เขาเอ่ยถาม
“เปล่า นามสกุลของยาย แม่ใช้นามสกุลของตา” เธอตอบไปตามตรง
ตอนเด็กๆ เธอใช้นามสกุลเดียวกับมารดา แต่พอโตขึ้นจึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลยาย ไม่มีเหตุผลที่ต้องใช้นามสกุลเดิม เพราะเธอมียายเป็นญาติเพียงคนเดียว
“แม่เธอเป็นใคร” กวินภพมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวตามหลักฐานที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
“หนู...” กนกขวัญกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “หนูไม่รู้ค่ะ หนูไม่รู้จริงๆ”
กวินภพคิ้วขมวดกับคำตอบของหญิงสาว แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามต่อ เพราะนัยน์ตาคู่สวยวูบไหวอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าน้องสาวต่างมารดากำลังพยายามข่มอะไรบางอย่างไว้อย่างหนักหน่วง
“หนูรู้เรื่องของแม่เพียงผิวเผินตามที่ยายเคยเล่าให้ฟังแค่นั้นค่ะ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา ทว่าเสียงที่ถูกเปล่งออกมานั่นกลับดูมั่นคงและเด็ดเดี่ยวพอตัว
“แม่คลอดแล้วทิ้งหนูไว้กับยาย ตั้งแต่จำความได้หนูไม่เคยเห็นหน้าแม่แม้แต่ครั้งเดียว มียายคนเดียวที่เลี้ยงดูมาจนโต”
“แล้วยายอยู่ไหน” เขาถามถึงผู้ปกครองของหญิงสาว อย่างน้อยก็คงต้องคุยกับผู้ใหญ่ของเด็กคนนี้ให้รู้เรื่องเสียก่อน
นิ้วเรียวเล็กชี้ขึ้นข้างบน “ยายอยู่ข้างบนฟ้า ขึ้นไปเป็นนางฟ้าตั้งแต่เดือนที่แล้ว คงมีความสุขน่าดูเลยค่ะ ไม่เคยกลับมาหาหลานสาวคนนี้เลย”
กวินภพตัวเย็นวาบหลังได้ยินคำตอบซื่อๆ รอยยิ้มบางๆ ถูกส่งมาให้เขา ดวงตากลมโตดูเข้มแข็งจนเขาตกใจ เธอดูไม่ทุกข์ร้อนกับการไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนคนอื่นๆ
“แล้วตอนนี้อยู่กับใคร อยู่ที่ไหน” เขาถามด้วยความอยากรู้
“อยู่คนเดียว ขายข้าวแกงอยู่ในตลาด บ้านอยู่ไม่ไกลจากคอนโดนี้ไม่มากหรอก” กนกขวัญทำหน้ายู่เมื่อต้องมานั่งตอบคำถามของนักแสดงหนุ่ม ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจคุยเรื่องสำคัญ
“อายุเท่าไรแล้ว เรียนอยู่ชั้นอะไร” เขาเคยเดาไว้ว่าเธอน่าจะอายุเพียงเลขสิบกลางๆ
“สิบเก้า แต่ใกล้จะยี่สิบแล้วนะ จบมอหก ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย ทำข้าวแกงขายพอมีเงินเลี้ยงดูแลตัวเองได้ ทีนี้หนูพูดเรื่องของหนูได้หรือยังคะ”
คำตอบของหญิงสาวทำเอาเขาทึ่งแล้วทึ่งอีก เมื่อรู้ความเป็นมาของเด็กสาวพอสมควรแล้ว จึงพยักหน้าให้เธอได้พูดบ้าง
กนกขวัญยิ้มบางๆ แล้วเริ่มพูด “หนูดีใจนะคะที่รู้ว่ายังมีญาติอยู่บ้าง คิดว่าต้องใช้ชีวิตบนโลกใบนี้คนเดียวเสียอีก”
เธอพูดไปหัวเราะไป “เลิกมองหน้าเหมือนจะกินหัวหนูได้แล้วค่ะ ถ้าคุณวินหมดประโยชน์หนูก็เลิกนับญาติด้วยแล้ว”
พอเห็นสายตาไม่เล่นด้วยของนักแสดงหนุ่มก็รีบปรับสีหน้าเป็นจริงจัง ยืดตัวนั่งหลังตรง
“อย่างที่บอกไปนะคะ ชีวิตของหนูมีแค่ยาย ยายเป็นทุกอย่างของหนู แม่ทิ้งหนูพร้อมกับหนี้ก้อนโต ยายขายข้าวแกงเลี้ยงหนูแล้วยังต้องแบ่งเงินไปใช้หนี้นอกระบบแทนแม่ ยายเห็นว่าพวกทวงหนี้ทวงหนักขึ้น เลยเอาบ้านพร้อมที่ดินไปจำนองไว้กับธนาคาร แล้วเอาเงินไปใช้หนี้เจ้าหนี้โหดจนหมด”
เธอเล่าไปลอบมองคนตรงข้ามไปด้วย แต่เห็นว่าเขาเอาแต่นั่งฟังนิ่งๆ ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
“ช่วงหลังมานี้ยายป่วยบ่อยๆ ข้าวแกงก็ขายไม่ค่อยดี เลยไม่มีเงินส่งดอกให้ธนาคารมานาน ตอนนี้ธนาคารกำลังจะยึดบ้านของหนู” ดวงตากลมโตทอแสงอ่อนเมื่อพูดมาถึงตรงนี้
“คุณวินคะ...” เธอเรียกคนที่เอาแต่นั่งนิ่งๆ รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถึงจุดประสงค์ “หนูเคยบอกคุณไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้ต้องการอะไรจากครอบครัวของคุณ หนูสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้มันตายไปพร้อมๆ กับหนู แต่หนูขอแค่ยืมเงินคุณจำนวนหนึ่ง ไปไถ่บ้านคืนเท่านั้น ได้ไหมคะ”
กนกขวัญหลับตาลงแล้วเปล่งเสียงขึ้นดังชัดเจนในประโยคขอร้องสุดท้าย
เสียงแอร์ดังแข่งกับเสียงลมหายใจ เธอปล่อยเวลาให้เงียบสักพัก อึดใจต่อมาก็แอบเปิดเปลือกตาข้างหนึ่งขึ้นมามองปฏิกิริยาคนตรงหน้า เมื่อเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเธอด้วยสายตาอ่านยากก็ใจแป้ว กำมือเย็นเฉียบของตัวแน่น
“ถ้าคุณวินลำบากใจก็ไม่เป็นอะไรค่ะ หนูเข้าใจ เงินไม่ใช่น้อยๆ จะให้ใครที่ไหนมายืมเอาไปก็ไม่รู้”
‘ขอโทษนะยาย ขิมคงเอาบ้านเราคืนมาไม่ได้’
กวินภพไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ รู้เพียงแค่สงสารหญิงสาวสู้ชีวิตคนนี้ในระดับหนึ่ง นึกชมที่เธอใช้ชีวิตได้เก่งจนผู้ชายตัวโตแบบเขาอ่อนแอไปเลย
น้ำเสียงหนักแน่นว่าไม่ต้องการเข้ามามีตัวตนในครอบครัวของเขาทำเอาหัวใจแกร่งกระตุกวูบ ดวงตากลมโตประกายเต็มไปด้วยน้ำใสๆ หล่อเลี้ยง ทำให้สมองเขาเบลอจนต้องหลบสายตาคู่นั้น แสร้งมองออกไปนอกหน้าต่าง
สายตาคมทอดมองออกไปนอกกระจกใส แสงจากดวงอาทิตย์เลือนหายไปนานแล้ว ตอนนี้บรรยากาศภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แสงวาบจากสายฟ้าปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเป็นระยะ เม็ดฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักจนแทบมองไม่เห็นตึกสูงระฟ้า
“ดึกมากแล้ว หิวหรือยัง”
“คะ...” กนกขวัญขานเสียงเบา มองตามสายตาคู่นั้นด้วยความงุนงง หันมองตามสายตาของเขาแล้วหันกลับมา
‘ฝนตกอีกแล้วเหรอเนี่ย’
“หนูรบกวนเวลาคุณวินมาทั้งวันแล้ว หนูว่าหนูควรกลับบ้านดีกว่า”
กนกขวัญไม่ตอบคำถามของนักแสดงหนุ่ม แต่ลุกขึ้นยืนแล้วบอกลาเจ้าของห้องเสร็จก็จะรีบเดินตรงไปยังประตูให้เร็วที่สุด ก่อนหยาดน้ำใสๆ ที่เริ่มเอ่อคลอจะล้นออกมาจากขอบตา
“รอให้ฝนหยุดตกก่อน แล้วฉันจะไปส่ง”
ทว่ายังเดินไม่ถึงครึ่งทางเสียงทุ้มของเจ้าของห้องก็ดังขึ้นเสียก่อน มือเล็กรีบยกมือปาดน้ำตาออกลวกๆ หันกลับไปยิ้มบางๆ ให้เขาอย่างต้องการขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้ ไม่รบกวนดีกว่า”
“ฝนตกหนักขนาดนี้จะกลับเองยังไง เดี๋ยวไปส่ง เธอนั่งรอก่อน ฉันขอตัวไปอาบน้ำแป๊บเดียว” กวินภพไม่รอให้หญิงสาวได้พูดต่อ เขาก็ลุกขึ้น เดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที
พอปิดประตูได้ ก็เอาแผ่นหลังพิงประตู เขาตั้งตัวไม่ทันกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่รู้ต้องทำอย่างไร เขาไม่ต้องการให้ครอบครัวแสนสุขของตัวเองสั่นคลอน แต่จิตสำนึกดีไม่อาจปล่อยให้น้องสาวร่วมบิดาเผชิญโลกกว้างเพียงตัวคนเดียวได้ ยิ่งได้เห็นขอบตาแดงๆ ยิ่งรู้สึกไม่ดี
เมื่อคิดไม่ตกจึงต้องหลบเลี่ยงมาอยู่กับตัวเองในห้อง รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้เขาขี้ขลาดเอามากๆ ดวงตาคมหลับตาลง พยายามตั้งสติเรียบเรียงสิ่งที่ต้องจัดการต่อจากนี้
กนกขวัญที่เดินกลับมานั่งโซฟาตัวเดิมได้สักพักด้วยอาการเหม่อลอยต้องสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมีเสียงกดกริ่งดังขึ้น สติที่หลุดลอยไปกลับคืนมา
เธอมองประตูห้องที่ถูกเคาะหลายครั้ง แล้วลากสายตามองประตูห้องนอนที่เจ้าของห้องหายไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
กนกขวัญไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ใจหนึ่งไม่กล้าเปิดกลัวเจ้าของห้องต่อว่า แต่เสียงเคาะดูจะไม่เงียบหายไปเลย จนในที่สุดเธอต้องไปเปิด เพราะกลัวห้องอื่นรำคาญ
เธอเปิดประตูออกเพียงเล็กน้อย ทำเพียงสอดศีรษะออกไปข้างนอกห้องเท่านั้นแล้วฉีกยิ้มให้กับสาวสวยเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารด้วยความชื่นชม
“มาหาคุณวินเหรอคะ รอสักครู่นะคะ คุณวินอาบน้ำอยู่ เดี๋ยวหนูไปตามให้ค่ะ”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ ฉันน่าจะมาผิดห้อง” หญิงสาวทำหน้าตกใจ พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พูดจบก็เดินไปทางที่ลิฟต์ทันที
กนกขวัญมองตามหญิงสาวด้วยสายตางงๆ ยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก ‘อะไรของเขา’ ก่อนปิดประตูแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม รอเจ้าของห้องที่บอกว่าจะไปส่งบ้านเงียบๆ เหมือนเดิม
รอต่ออีกไม่นานร่างสูงในชุดเสื้อยืดกับกางเกงสบายๆ เดินออกมา เธอยิ้มออกมาเมื่อการรอคอยสิ้นสุดลงแล้วและจะได้กลับบ้านเสียที หิวจนท้องกิ่วหมดแล้ว
“เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงกริ่งห้องดัง เธอได้เปิดประตูหรือเปล่า” กวินภพเปิดประตูได้ก็รีบถาม ตอนอยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้น
“ค่ะ”
เสียงตอบรับสั้นๆ ของหญิงสาวทำเอาเขาตกใจ รีบสาวเท้าไปเปิดประตูแล้วกวาดสายตามองโถงทางเดินที่ว่างเปล่า ไม่เห็นใครอย่างที่จิตตก พอปิดประตูห้องก็รีบถามทันที
“เมื่อกี้ใคร เขาบอกหรือเปล่า” เขาถามด้วยความร้อนรน กลัวเป็นปาปารัซซีแอบขึ้นมาทำข่าว แม้ระบบรักษาความปลอดภัยจะดีเยี่ยม แต่เขาประมาทคนพวกนี้ไม่ได้
“ไม่ได้บอกค่ะ เป็นผู้หญิงสวยๆ สวยเหมือนนางฟ้าเลย เธอบอกว่ามาผิดห้องนะคะ”
คำตอบของหญิงสาวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
กวินภพคว้าข้อมือเล็ก แล้วรีบพาหญิงสาวเดินลัดเลาะหลบกล้องวงจรปิดและผู้คนมาจนถึงลานจอดรถ ยัดหญิงสาวใส่รถอย่างรีบๆ มองซ้าย มองขวาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าปลอดคนก็รีบขับรถออกจากคอนโดมิเนียมหรูทันที โดยไม่ทันได้เห็นคนที่แอบหลบอยู่หลังเสา
ไม่ไกลกัน