หวนคืน

2441 คำ
ความเย็นที่ปะทะตรงแก้มเนียน ทำให้เจ้าของร่างสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา พลันเห็นสาวใช้คนสนิทกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้ตนอย่างทะนุถนอม “อ๊ะ คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” “เหตุใดเรียกข้าเช่นนั้น” น้ำเสียงอ่อนแรงเอื้อนเอ่ยด้วยความสงสัย ตั้งแต่ที่นางออกเรือนไป มี่มี่ก็เรียกขานนางว่าฮูหยินมาโดยตลอด “ค่อยๆ เจ้าค่ะ บ่าวช่วยพยุงนั่งนะเจ้าคะ” “ว่าอย่างไร เหตุใดเรียกข้าว่าคุณหนู แล้วนี่ผู้ใดพาข้ากลับเรือนหรือ” ตากลมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหลือบมองไปทั่วห้อง ก็พบว่าตนเองอยู่ที่เรือนสกุลสวี “เอ่อ คุณหนูมิได้ไปที่ใดนะเจ้าคะ หลัง- หลังจากที่ท่านชายมาขอถอนหมั้น คุณหนูก็เอาแต่ร้องไห้ เก็บตัวอยู่ในห้องเช่นนี้มาหลายวัน จนไข้ขึ้นเจ้าค่ะ” มี่มี่ว่าเสียงอ่อย ในใจไม่อยากจะซ้ำเติมนาย แต่ในเมื่อถูกถามก็ต้องตอบไปตามตรง “ข้างงไปหมดแล้วมี่มี่ ข้ามิได้แท้งบุตร แล้วถูกพามาส่งที่เรือนสกุลสวีหรือ” “คุณหนู! แท้งบุตรอันใดกันเจ้าคะ คุณหนูยังมิได้ออกเรือน จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร อย่าพูดเรื่องนี้ให้ผู้อื่นได้ยินนะเจ้าคะ” มิเช่นนั้นผู้คนคงเอาไปเล่าลือ จนเสื่อมเสียมาถึงคุณหนูของนาง “…” มือเล็กยกขึ้นกุมขมับ นี่นางกำลังอยู่ในฝัน หรืออย่างไรกัน “หากคุณหนูปวดหัวก็พักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ยังยามโฉ่ว (01:00 - 02:59 น.)” “อืม เจ้าเองก็นอนพักบ้างเถิด” ลี่อิ่งส่งยิ้มเศร้าไปให้สาวใช้ ก่อนล้มตัวนอนด้วยความเหนื่อยล้า คิดว่าวันพรุ่งนางคงตื่นจากความฝันนี้กระมัง แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น สวีลี่อิ่งก็ยังตื่นมาในเรือนสกุลสวี บ่าวทุกคนในเรือนก็เรียกขานนางว่าคุณหนู จนเจ้าตัวสับสนมึนงงกับเรื่องราวที่เป็นอยู่ กระทั่งได้พูดคุยกับบิดามารดา ถึงได้รู้ว่าสวรรค์เมตตาให้นางย้อนกลับมาในตอนที่เจี้ยนอี้โจว มาขอถอนหมั้นเพื่อแต่งสวีเสี่ยวปิงแทน “ลูกพ่ออย่าได้เศร้าไปเลย เจ้าอยากได้สิ่งใดพ่อจะหามาให้ ขอเพียงอย่าได้กักขังตนเองอยู่ในห้องเช่นนี้” “ดูที ซูบผอมไปมากนัก วันนี้แม่ทำของที่เจ้าชอบให้ดีหรือไม่” ราชครูสวีและฮูหยินเอกผลัดกันพูดปลอบบุตรสาว “นั่นสินะ พี่ใหญ่ของเจ้าก็กลับมาจากต่างเมืองวันนี้ เราฉลองกันเสียหน่อยดีหรือไม่ หรือเราจะออกไปทานข้าวด้านนอกกันสี่คน” “ข้ายังไม่อยากออกไปที่ใดเจ้าค่ะท่านพ่อ” ได้ยินบุตรสาวว่า สองสามีภรรยาก็หันมองหน้ากันอย่างจนใจ “…” “เราเลี้ยงฉลองให้พี่ใหญ่ที่เรือนเถิด อีกอย่างฝีมือทำอาหารของท่านแม่ดีกว่าเหลาอาหารชื่อดังพวกนั้นเสียอีก” “ใช่ๆ อิ่งเอ๋อร์ของพ่อพูดไม่ผิดเลยสักนิด ฮูหยินทำกับแกล้มให้ข้าสักสองสามอย่างเถิด ข้าจะร่ำสุรากับอาหัวเสียหน่อย” “จิ๊ ท่านราชครู หมอสั่งไม่ให้ดื่มมากมิใช่หรือ” ฟ่านหลันแกล้งดึงเคราสามีเบาๆ “เจ้าก็อย่าได้บอกเรื่องนี้กับท่านหมอ แค่จอกเดียว ข้าขอแค่จอกเดียว” เหตุการณ์ออดอ้อนกันของพ่อแม่ ทำให้ลี่อิ่งคลี่ยิ้มออกมาได้ นางเองก็คาดหวังให้มีคู่ชีวิตเช่นนี้ เพราะแม้ท่านพ่อจะมีอนุถึงสองคน แต่ก็ไม่เคยยกพวกนางขึ้นมาเทียบท่านแม่ ทั้งยังใส่ใจความรู้สึกของท่านแม่ที่สุด ครอบครัวสกุลสวีไม่ถือเป็นครอบครัวใหญ่ ท่านราชครูมีภรรยาสามคน ฮูหยินเอกฟ่านหลัน อนุเหลียงอี้ถง และอนุจูเหม่ยหลิงที่พึ่งแต่งเข้ามา ส่วนบุตรก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น คุณชายใหญ่สวีต้าหัว คุณหนูน้อยสวีลี่อิ่ง เกิดจากฮูหยินเอกของเรือน คุณหนูใหญ่สวีเสี่ยวปิงเกิดจากอนุเหลียง และอนุจูก็พึ่งคลอดคุณชายน้อยสวีต้าลู่ ได้เพียงสี่เดือนเท่านั้น “อิ่งเอ๋อร์ดูบิดาเจ้าเถิด ไม่ดูสังขารตนเองเสียเลย” “สุรา หากดื่มน้อยก็เป็นยานะเจ้าคะท่านแม่” ลี่อิ่งอมยิ้ม พลางพูดเข้าข้างบิดา “ฮ่าๆ จริงอย่างที่อิ่งเอ๋อร์ว่า” ทั้งที่ท่านราชครูและฮูหยินตั้งใจพูดเล่นกันสนุกสนาน แต่กลับสังเกตเห็นว่าลูกสาวมิได้ยิ้มสดใสเหมือนเมื่อก่อน แววตาของนางยังดูหม่นจนมองออก ท่านชายคงมีน้ำหนักในใจอิ่งเอ๋อร์มากทีเดียว หลังจากบิดามารดาออกไป ลี่อิ่งก็นั่งมองตนเองผ่านกระจกบานใหญ่ แทบไม่อยากเชื่อว่านางจะย้อนกลับมาเป็นเด็กสาวในวัยสิบหกหนาวอีกครั้ง นัยน์ตาสีนิลเหม่อมองเงาสะท้อน พลางย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วซ้ำไปซ้ำมา ลี่อิ่งยอมรับว่านางควบคุมตนเองไม่ได้ คิดทำลายหลักฐานปลอมพวกนั้น จนทำให้บุตรในครรภ์ต้องตาย แต่ความผิดนี้ยังมีอีกสองคนที่ร่วมกันก่อ ตัวนางได้รับโทษอย่างแสนสาหัส เจ็บปวดกับการสูญเสีย จนมิอาจให้อภัยตนเอง แล้วพวกเขาเล่า…จะเสียใจกับเรื่องนี้หรือไม่ “สวีเสี่ยวปิง เจี้ยนอี้โจว พวกท่านจะเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเป็นอยู่หรือไม่” มือเล็กสัมผัสหน้าท้องเบาๆ พลันหลับตาลงสกัดกั้นความเสียใจเอาไว้ เพราะตอนนี้มิใช่เวลามาร้องไห้ แต่ต้องคิดวางแผน ว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หากนางยอมถอนหมั้น เรื่องราวทั้งหมดอาจเป็นเช่นเดิม และก็อาจจะเป็นนางที่ต้องเจ็บปวดอยู่อย่างนี้ แกรก! แกรก! แกรก! นิ้วเล็กเคาะลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด และสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวนางตอนนี้ คือคำพูดสุดท้ายของตัวเอง… “หากรอด อึก! ตายไปได้ ข้าจะทำทุกอย่างให้ท่านเจ็บปวดเช่นข้า” “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ สำรับก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว” “อืม ท่านพ่อได้เชิญทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงด้วยใช่หรือไม่” คุณหนูสวีมองสำรวจตนเองผ่านกระจกบานใหญ่ ใบหน้าแต่งแต้มสีสัน สวมชุด สวมเครื่องประดับเต็มยศราวกับจะออกไปงานเลี้ยงนอกเรือน “เชิญทุกคนอย่างที่คุณหนูบอกเจ้าค่ะ แต่บ่าวไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูต้องให้เชิญคุณหนูใหญ่ด้วย” บ่าวตัวน้อยทำหน้าบึ้ง นางไม่ชอบคุณหนูใหญ่ แม้สตรีผู้นั้นจะพูดจาไพเราะ กิริยาเรียบร้อย แต่กลับชอบกดดันให้คุณหนูมอบของมีค่าให้ บางคราก็ผลักคุณหนู แล้วแสร้งว่าไม่ได้ตั้งใจ “เชิญมาเถิด…ข้าอยากรู้ว่านางจะสู้หน้าทุกคนอย่างไร ที่แอบไปมีสัมพันธ์กับคู่หมั้นของน้องสาว” ว่าเสร็จก็ลุกออกไปจากห้อง ทิ้งให้มี่มี่ขนลุกซู่ ยามเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของคุณหนู ตั้งแต่นางปรนนิบัติข้างกายคุณหนู ยังไม่เคยเห็นสายตาโกรธแค้นเช่นนี้เลยสักครา “โอ้โห สมกับเป็นน้องสาวพี่ งดงามทุกกระเบียดนิ้ว” สวีต้าหัวเอ่ยทักทันทีที่เห็นร่างงามเดินขึ้นมาบนศาลา “พี่ใหญ่เอ่ยยกยอข้าเกินไปแล้ว ขออภัยที่ข้ามาช้าเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเข้าไปนั่งที่ของตน พลางก้มคำนับท่านพ่อท่านแม่ “มิเป็นไรๆ นั่งลงเถิด มารดาเจ้าทำแต่ของที่เจ้าชอบทั้งนั้น” “ของข้าไม่มีเลยหรือท่านแม่ นี่พวกท่านเลี้ยงต้อนรับข้าจริงหรือไม่ รองแม่ทัพแคว้นเจี้ยนอุตส่าห์กลับมาเรือนทั้งที” เสียงโวยวายของคุณชายใหญ่สร้างความขบขำให้กับทุกคน จะมีก็แต่อนุเหลียง กับบุตรสาวอย่างเสี่ยวปิงที่ทำหน้าบูดบึ้ง เพราะถูกปฏิบัติราวกับธาตุอากาศ ขนาดอนุจูก็ถูกท่านราชครูเอ่ยทักบ้าง ไม่รู้ว่าพวกนางทำผิดเรื่องใดหนักหนา ไม่ว่าผู้ใดก็อยากถีบตนเองขึ้นสูงทั้งนั้นมิใช่หรือไร “อาลู่! เจ้าอยู่นิ่งๆ พี่ใหญ่จะสวมกำไลให้” สวีต้าลู่ เด็กชายวัยสี่เดือนขยับเท้าไปมาไม่ยอมให้พี่ชายใส่กำไลให้ “พี่ใหญ่พูดเสียงแข็งราวกับอาลู่เป็นนายทหาร ประเดี๋ยวก็ร้องไห้กันพอดี” ลี่อิ่งยื่นมือไปรับเด็กชายจากอนุจูมาอุ้มไว้เอง พลางหยอกเล่นอยู่สักพัก จึงช่วยใส่กำไลข้อเท้าให้เด็กน้อย “คุณชายน้อยก็ยังชอบคุณหนูของบ่าวเช่นเคย” มี่มี่เอ่ยทัก “งั้นหรือ เอาไว้พี่จะแวะไปหาอาลู่บ่อยๆ ดีหรือไม่” สวีลี่อิ่งมองน้องชายร้องอ้อแอ้ ก็นึกถึงบุตรของนาง ที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก ‘เจ้าจะชอบแม่เหมือนที่อาลู่ชอบหรือไม่นะ เด็กน้อยของแม่’ “คุณหนูเลี้ยงเด็กเก่งมากเลยเจ้าค่ะ ขนาดท่านราชครูอุ้ม อาลู่ยังร้องไห้เลย คิกๆ” อนุจูหัวเราะสามี “เช่นนั้นถือว่าข้าสอบผ่าน วันหน้ามีบุตรให้ท่านชายจะได้ไม่บกพร่อง” แน่นอนว่าลี่อิ่งตั้งใจพูด ในเมื่อคิดจะทำให้เจี้ยนอี้โจวและสวีเสี่ยวปิงเจ็บปวด ก็ต้องเริ่มจากเรื่องนี้ รักกัน แต่มิอาจตบแต่งกันได้ อยากรู้นักว่าเจ็บปวดเพียงใด คำพูดของลี่อิ่งทำให้ทุกคนชะงักนิ่ง ต่างคนก็ต่างตกอยู่ในความคิดของตน และก็เป็นอนุเหลียงที่เอ่ยทำลายความเงียบนั้น “เอ่อ คุณหนูคงจะลืมไปว่าเมื่อหลายวันก่อน ท่านชายมาขอถอนหมั้น เพราะรักกันกับเสี่ยวปิงของข้า” “หึ อนุเหลียงก็คงลืมไปแล้ว ท่านอ๋องเอ่ยว่าทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของข้า หากข้าจะแต่ง ผู้ใดจะค้านได้” “อิ่งเอ๋อร์ เรื่องของพี่กับท่านชายมีคนรู้กันทั่วตลาดแล้ว หากมิได้ตบแต่งพี่คงมิมีหน้าไปสู้กับผู้ใด” เสี่ยวปิงยังคงทำตัวน่าสงสาร ให้ลี่อิ่งยอมทำตามที่นางต้องการเช่นเคย ปัง!!! “เสี่ยวปิง!!” ท่านราชครูตบโต๊ะเสียงดัง แต่ยังไม่ได้กล่าวสิ่งใด บุตรสาวคนเล็กก็พูดขึ้นเสียก่อน “เรื่องการหมั้นหมายของข้ากับท่านชายก็รู้กันทั่วเมือง พี่หญิงก็ยังกล้าเล่นชู้กับว่าที่น้องเขย จะอายอันใดอีก” คำว่า ชู้ ทำเอาสองแม่ลูกสะอึก บรรยากาศบนศาลาจึงตึงเครียดขึ้นทันที ท่านราชครูเองก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นักเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หายใจฮึดฮัด ยกสุราขึ้นดื่มเป็นว่าเล่น มีอย่างที่ไหนพี่สาวแอบเชื่อมสัมพันธ์กันว่าที่สามีของน้องสาว บัดนี้ผู้คนลือกันไปทั่วเมืองหลวง “เอ่อ อาหัว เจ้าเอาของมาฝากแต่อาลู่หรือ” ฟ่านหลันเห็นท่าไม่ดี ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง กลัวสามีจะดื่มสุราเยอะเกินพอดี “ข้าเอามาฝากอิ่งเอ๋อร์กับ…เสี่ยวปิงด้วยขอรับ” กำไลทั้งสองถูกยื่นให้น้องสาวทั้งสอง แต่ดูจากสายตาก็รู้ว่าของสองชิ้นราคาต่างกันเพียงใด กำไลจากแร่ธรรมดา หรือจะสู้กำไลหยกมันแพะ ฉลุลายอย่างประณีต “ของอิ่งเอ๋อร์งดงามยิ่งนัก ทั้งยังเป็นสีที่ข้าชอบ” สวีเสี่ยวปิงยังคงใช้รอยยิ้มและน้ำเสียงหวานกับน้องสาว หวังจะให้ลี่อิ่งยอมยกกำไลให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งที่พึ่งถูกว่าไปถึงเพียงนั้น ก็ยังกล้าออกปาก มิรู้ว่าหน้าประแป้งไปกี่ชั้น จึงได้ทั้งด้านทั้งหนาเช่นนี้! “พี่หญิงชอบหรือ” “ใช่ หากว่าได้ลองใส่สักครั้งคงจะดีไม่น้อย” “เช่นนั้นคงต้องเสียใจกับท่านด้วย ข้าไม่คิดจะยกของของข้าให้กับผู้ใด” “…” ทั้งน้ำเสียงและคำพูดที่เปลี่ยนไปของลี่อิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่ได้ยิน โดยเฉพาะเสี่ยวปิงที่ไม่เคยถูกลี่อิ่งปฏิเสธเลยสักครั้ง “แล้วเครื่องประดับที่พี่หญิงยืมไป ข้าก็จะให้บ่าวไปเอาคืน” “เอ่อ-” “พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าว่าจะให้ท่านสอนวิชาดาบเสียหน่อย ท่านพอจะว่างหรือไม่” ลี่อิ่งพูดกับเสี่ยวปิงเสร็จก็หันไปคุยกับพี่ชาย จนคุณหนูใหญ่คิดว่าน้องสาวคงจะพูดเล่นเท่านั้น แต่ในวันถัดมา สวีลี่อิ่งกลับพาบ่าวหญิงถึงสามคน เข้ามาเอาข้าวของและเครื่องประดับในห้องของนาง “ชิ้นนั้นของข้า อันนั้นก็เช่นกัน เก็บไปให้หมด” หญิงสาวกอดอกชี้นิ้วสั่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “อิ่งเอ๋อร์ อะ อันนั้นเจ้าเอ่ยว่าให้พี่มิใช่หรือ” ของประดับเกือบเจ็ดส่วนของสวีเสี่ยวปิง ล้วนเป็นของที่ลี่อิ่งมอบให้ เพราะฉะนั้นในกล่องเครื่องประดับจึงเหลือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น “ข้าให้ท่านเอาไปใช้ก่อน มิได้เอ่ยว่ายกให้ พวกเจ้าอย่าลืมเอาชุดของข้าออกมาด้วยเล่า” บ่าวสาวต่างพากับเปิดตู้เอาชุดที่เคยเป็นของลี่อิ่งออกมากองไว้ที่ลานหน้าเรือน เพราะคุณหนูเล็กสกุลสวีไม่คิดจะนำไปใส่ต่อ “เผาให้หมด ส่วนเครื่องประดับก็เอาไปขายแล้วนำเงินไปบริจาคให้อารามห่างไกลเสีย” “อิ่งเอ๋อร์เจ้าทำเกินไปหรือไม่ หากเจ้ายังไม่หยุดพี่คงต้องเอ่ยเรื่องนี้กับท่านพ่อ” “เช่นนั้นรอท่านพ่อท่านแม่กลับมา พี่หญิงก็ลองพูดดูเถิด หากคิดว่าท่านพ่อจะเข้าข้างท่าน เรื่องที่ท่านแอบไปมีสัมพันธ์กับท่านชาย ท่านพ่อก็ยังไม่หายโกรธมิใช่หรือ” ลี่อิ่งกระตุกยิ้ม “ที่เจ้าทำเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องที่พี่กับท่านชายอี้โจวรักกันหรือ” “…” “พี่เองก็พยายามหักห้ามใจแล้ว แต่เรื่องความรักไหนเลยจะบังคับกันได้ อีกอย่างท่านชายก็เอ่ยว่าคิดกับเจ้าเพียงน้องสาว เจ้าอย่าได้ขัดขวางพวกเราเลย” “หุบปาก!” ลี่อิ่งตวาดลั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สตรีตรงหน้ากลับผิดเป็นถูก แย่งคู่หมั้นน้องสาว ยังกล้าพูดจาเช่นนี้อีก แต่ยังไม่ทันได้ตอบกลับไป ก็มีเอกบุรุษในชุดเกราะเต็มยศวิ่งเข้ามาในเรือนเสียก่อน “เกิดสิ่งใดขึ้น!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม