3 ปีต่อมา...
“พรุ่งนี้นายต้องไปลงพื้นที่ทางตอนเหนือเหรอ?”
“ใช่ ฉันไม่อยากไปเลย”
“ฮ่า ๆ ต่อให้นายไม่อยากไป... ยังไงนายก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ อย่าลืมสิว่านายได้เข้ามหาลัยนี้เพราะอะไร”
“ฉันไม่ลืมหรอกน่า” เปอร์ตอบเพื่อนพร้อมพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อวันพรุ่งนี้มันเป็นวันที่เขาจะต้องเดินทางไปยังทางตอนเหนือของเมืองอีกแล้ว ซึ่งเปอร์ก็ไม่ได้อยากจะเดินทางไปที่นั่นเลยแม้แต่นิด ต่อให้เขาจะไม่ได้ไปเยือนที่นั่นนานเกินสามปีแล้วก็ตาม นับตั้งแต่วันที่เขาพลัดหลงกับแม่ช่วงที่ออกไปเก็บเห็ดด้วยกัน
โดยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่เป็นดั่งฝันร้ายกับเปอร์ในคราวนั้น ชีวิตเขาก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เมื่อเปอร์ตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวกับคนในครอบครัวว่าช่วงที่เขาหลงป่า เขาได้ไปเจอกับอะไรบ้าง
ซึ่งในคราวแรกก็ไม่มีใครคิดจะเชื่อเปอร์ทั้งนั้น เนื่องจากเรื่องมนุษย์หมาป่ามันเกี่ยวข้องกับตำนานความเชื่อ ขนาดเปอร์เองตอนที่ได้รับรู้เรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้จากเจเน็ต เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ที่ทุกคนยอมเชื่อคำบอกเล่าของเขาอย่างไม่มีข้อแม้ นั่นก็เพราะเปอร์มีหลักฐานประกอบ
แถมหลักฐานที่เปอร์นำมากล่าวอ้างกับคำพูดของตัวเอง มันก็เป็นหลักฐานที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือด้วย เพราะเปอร์ได้ตัดสินใจให้เส้นขนของคาร์เตอร์กับศูนย์วิจัย เพื่อให้ศูนย์วิจัยนำไปพิสูจน์ความจริงว่าขนที่เขากล่าวอ้างว่าเป็นเส้นขนของมนุษย์หมาป่ามันเป็นจริงหรือไม่
และก็โชคดีที่ผลการตรวจสอบนั้น มันยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อถือของเปอร์ เมื่อผลตรวจสอบได้ออกมาบอกว่านี่ไม่ใช่หมาป่าปกติที่พบเห็นได้ทั่วไปในป่า
เขาคือชายผู้รอดชีวิตที่รอดพ้นจากเงื้อมือมนุษย์หมาป่าจอมหิวโหย
“แต่ให้ฉันพูดเถอะนะ ไปทางตอนเหนือรอบนี้มันเสี่ยงอยู่นะเนี่ย” เจเน็ตพูดต่อทั้งคิ้วขมวด คล้ายกับเธอเพิ่งนึกบางอย่างได้
“เสี่ยงยังไง” เปอร์ถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ
“อ้าว... ก็นายไม่กลัวว่านายจะได้เจอกับมนุษย์หมาป่าตัวนั้นอีกเหรอ”
“...”
“ถ้าฉันเป็นมันนะ... ฉันก็คงจะผูกใจเจ็บกับนายน่าดูเลย นายเล่นเอาเรื่องของพวกมันมาโพนทะนาแบบนี้ ตัวมันก็คงใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นอะ เพราะทุกคนล้วนแต่ไล่ตามหามนุษย์หมาป่าเพื่อจับเอามาวิจัยกันทั้งนั้น” เจเน็ตร่ายยาว โดยในนาทีเดียวกันเปอร์ถึงกับเกิดอาการหน้าถอดสีทันที ก่อนที่เขาจะสวนกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วเธอจะมาพูดให้ฉันเครียดทำไมเนี่ย ยิ่งวันพรุ่งนี้ฉันต้องเดินทางไปที่นั่นอยู่ด้วย”
“ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ” เจเน็ตรีบขอโทษขอโพยกลับมาโดยพลัน ทว่าคำขอโทษของเธอกลับไม่ได้ช่วยให้เปอร์รู้สึกดีขึ้นเลย เขายังคงเครียดเช่นเดิม เนื่องจากคำพูดของเจเน็ตได้ทำให้เปอร์ฉุกคิดได้ว่าบางทีคาร์เตอร์อาจจะรอแก้แค้นเขาอยู่ก็เป็นได้
มันเป็นเวลาสามปีแล้วที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นและเป็นเวลาสามปีแล้วเช่นกันที่เปอร์ได้ผิดคำสัญญากับคาร์เตอร์ เมื่อเขามองเห็นช่องทางที่จะทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และคิดไปว่าเขาคงไม่ดวงซวยเวียนไปเจอกับคาร์เตอร์อีกครั้งหรอก
ซึ่งบางทีตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะตายไปแล้วก็ได้
หลังจากที่เขาออกมาจากป่าได้โดยได้รับการช่วยเหลือจากคาร์เตอร์ เปอร์ก็ได้เล่าเรื่องราวที่ผ่านการแต่งเติมเพื่ออรรถรสให้ทุกคนฟัง ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เดินสายไปให้สัมภาษณ์กับรายการดังมากมาย และยังได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าเรียนสถาบันดังจากทุนการศึกษาของผู้ก่อตั้งเว็บด้วย เพราะคำบอกเล่าของเปอร์มีส่วนช่วยทำให้เว็บไซต์ที่นำเสนอเรื่องราวมนุษย์หมาป่าดังเป็นพลุแตก
เหตุการณ์ที่แสนจะโชคร้ายในวันนั้น มันทำให้ชีวิตของเปอร์ดีขึ้นเสียจนเขาไม่อยากเชื่อ
โดยหลังจากที่เปอร์ตัดสินใจตอบรับข้อเสนอพิเศษที่ได้รับจากผู้ก่อตั้งเว็บมาแล้ว เขาก็ต้องย้ายตัวเองไปอยู่หอพักของสถาบันแทน เนื่องจากสถาบันที่เปอร์จะเข้าเรียนนั้นอยู่ที่เมืองข้าง ๆ กัน นั่นจึงทำให้การเดินทางระหว่างที่บ้านไปที่นั่นมันไม่ค่อยสะดวกนัก
“เปอร์ พรุ่งนี้เราต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเลยเหรอ?”
“ใช่ครับ พวกเขาน่าจะมารับเปอร์ตั้งแต่เช้ามืดเลย แม่มีอะไรหรือเปล่า?” หลังเดินทางกลับมาถึงบ้านในรอบปี ขณะที่เปอร์กำลังจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เขาก็หันไปคุยกับแม่ตัวเองทั้งหน้าซื่อ
“เปล่าหรอก แม่ว่าแม่จะทำอาหารไทยให้กินน่ะ เห็นเราเคยคุยโทรศัพท์กับแม่แล้วบ่นว่าอยากกินอาหารไทยนี่” แม่ตอบกลับมา
“ถ้าแม่จะทำก่อนที่เปอร์จะออกจากบ้านน่าจะไม่ทันนะครับ ถ้าอย่างนั้นแม่ค่อยทำตอนที่เปอร์กลับมาก็ได้”
“แล้วเราจะไปที่นั่นกี่วัน”
“ตามกำหนดการเปอร์จะต้องไปพักที่นั่นสองคืนครับ”
“...”
“หมายถึงต้องไปนอนกลางป่าสองคืน” สิ้นเสียงของเปอร์ ใบหน้าสวยที่ดูมีอายุตามช่วงวัยก็ฉายความกังวลใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเหตุการณ์หลายปีก่อนตอนที่แม่พลัดหลงกับเขาช่วงที่ออกไปเก็บเห็ดด้วยกัน มันได้สร้างแผลใจให้กับเธอ
“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมโอเค” เปอร์ที่รู้สาเหตุของความกังวลนั้นตอบกลับทั้งรอยยิ้ม เมื่อเขาอยากให้เธอคลายความกังวลลง
“ถ้าเปอร์บอกว่าตัวเองโอเค งั้นแม่ก็จะพยายามโอเคเหมือนกับเราแล้วกัน” แม่บอกกลับมาด้วยท่าทีที่พยายามจะเข้มแข็ง และในนาทีนั้นความรู้สึกผิดของเปอร์ที่มีต่อแม่ก็กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เพราะนอกจากคาร์เตอร์แล้ว เปอร์เองก็มีส่วนสร้างแผลใจให้แม่ของตัวเองเช่นกัน
แต่ว่าตอนนี้เขาถอยกลับไม่ได้แล้ว... เปอร์ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเดินหน้าต่อไปพร้อมกับความรู้สึกผิดที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่เกือบทุกครั้งยามที่นึกถึงมัน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นเปอร์ขึ้นไปนอนก่อนนะแม่ พอดีเปอร์นั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมงรู้สึกเมื่อยตัวจะแย่” เปอร์เลือกที่จะจบบทสนทนาไว้เพียงแค่เท่านั้น เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจของเขานานกว่านี้
“อืม งั้นเราขึ้นไปพักผ่อนเถอะ แม่ไม่รบกวนแล้ว” แม่พยักหน้าตอบกลับมา จากนั้นเปอร์ก็รีบยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นไปยังชั้นสองของเปอร์อย่างไม่รีรอ
เวลาต่อมา เมื่อเปอร์เดินเข้ามาในห้องนอนที่แสนจะคุ้นเคยแล้ว เปอร์ก็ทิ้งร่างลงบนเตียงขนาด3.5 ฟุตของตัวเองทันที เขาเอนกายมองเพดานห้องของเขาอย่างใช้ความคิด รู้สึกคิดถึงบรรยากาศห้องนอนของตัวเองมาก มันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าก่อนที่เปอร์จะย้ายไปอยู่หอของสถาบัน ตัวเขาจะเคยอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงปีก็ตาม
“เดี๋ยวนะ... แม่เอาโพสต์อิตมาแปะไว้ที่หน้ากระจกเหรอ?” ทันใดนั้นเสียงของเปอร์ก็ดังขึ้น เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นโพสต์อิตที่ถูกแปะไว้ที่หน้ากระจกพอดี
โดยมันก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษเพียงสั้น ๆ ว่า ‘Welcome back’
“ไม่ใช่แล้ว นี่มันไม่ใช่ลายมือแม่นี่” เขาพูดต่อ ขณะเดียวกันขนอ่อนตรงบริเวณหลังคอของเขาก็ลุกชันขึ้นมา เมื่อเปอร์คิดไปว่าคนที่เขียนข้อความนี้คือคาร์เตอร์
และบางทีอีกฝ่ายก็อาจรอให้เขากลับมาที่นี่อย่างใจจดจ่อ
“เมื่อคืนนี้ลูกได้นอนหรือเปล่า”
“นอนสิครับ ทำไมแม่ถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“ก็หน้าตาของลูกดูอิดโรยมากเลย”
“เมื่อคืนนี้ผมได้พักผ่อนอยู่ครับ เพราะงั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เปอร์ยืนยันกับแม่ทั้งรอยยิ้ม เมื่อเขาถูกซักถามด้วยท่าทีเป็นห่วง โดยนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วที่เปอร์จะถูกแม่ทัก เพราะเขาเพิ่งเผลอหลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาตื่นเท่านั้นเอง
ซึ่งสาเหตุของการนอนไม่หลับ มันก็มาจากข้อความที่ถูกเขียนไว้บนกระจกเงานั่นแหละ...
“เอ่อ... แม่ครับ เปอร์ขอถามอะไรหน่อยสิ” เปอร์เอ่ยขึ้น เมื่อเขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้
“เราจะถามอะไรเหรอ?” แม่ถามกลับมาทั้งหน้าซื่อ ดูมีความกระตือรือร้นที่จะตอบคำถามเขา
“ผมอยากรู้ว่าก่อนหน้าที่ผมจะกลับบ้าน แม่ได้เข้าไปทำความสะอาดห้องผมหรือเปล่าครับ”
“ทำสิจ๊ะ มันยังสะอาดไม่พอเหรอหรือว่าฝุ่นเริ่มเกาะแล้ว เพราะแม่เข้าไปทำก่อนที่เปอร์จะกลับบ้านประมาณสามวันเห็นจะได้”
“แล้วแม่เห็นอะไรแปลก ๆ ไหมครับ เช่นข้อความที่หน้ากระจก”
“ข้อความที่หน้ากระจก? เปอร์พูดถึงเรื่องอะไรน่ะ แม่ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” แม่ตอบกลับมา โดยนั่นก็ทำให้เปอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป เมื่อเขายังไม่มีความคิดที่จะเล่าอะไรให้เธอฟังทั้งนั้น
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรแล้ว” เปอร์เลือกที่จะบอกเธอทั้งหน้านิ่ง
“เปอร์ดูแปลก ๆ นะเนี่ย ลูกรู้ตัวหรือเปล่า?”
“...”
“ตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่เรากลับมาบ้าน แม่ก็รู้สึกเหมือนเปอร์ดูกังวลยังไงไม่รู้ หรือว่าเราไม่อยากออกไปสำรวจป่ากับทีม?” แม่ตั้งข้อสันนิษฐาน
“ครับ ประมาณนั้นแหละ ผมไม่ค่อยอยากเข้าป่าเท่าไร ยิ่งป่าทางตอนเหนือผมยิ่งไม่อยากไป”
“แต่เมื่อคืนนี้ลูกเพิ่งบอกแม่เองนะว่าลูกโอเค”
“ใช่ครับ เปอร์เคยบอกแม่แบบนั้น” เปอร์พยักหน้ารับ ก่อนจะว่าต่อ “แต่ตอนนี้เปอร์ไม่โอเคแล้วไง”
ในตอนแรกเปอร์รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แม้เขาจะไม่เคยมีความคิดที่อยากกลับไปทางตอนเหนือของเมืองอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ไปเลย เขาแยกแยะและสามารถข่มใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอเขารู้ว่ามีบางอย่างที่กำลังรอคอยเขาอยู่ นั่นก็ทำให้จากความโอเคในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่โอเคแทน
เพราะเปอร์กลัวว่าเขาจะไม่ได้ออกมาจากป่าอีก...
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะลูก เพราะอีกไม่ถึงชั่วโมงมันก็จะถึงเวลานัดหมายแล้วนะ” แม่ถามกลับมาด้วยท่าทีกังวลไม่ต่างจากเขา
เนื่องจากเปอร์โด่งดังมาจากการที่เขาพบเจอกับมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ ประกอบกับตัวเขาเองก็แสร้งทำเป็นสนใจเรื่องการมีอยู่ของมนุษย์หมาป่า นั่นจึงทำให้เปอร์ได้เข้ามาเรียนสถาบันวิทยาศาสตร์และได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าที่เพิ่งค้นพบว่ามันมีอยู่จริงไม่ได้เป็นแค่ตำนานอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ
“ทุกคนเตรียมตัวพร้อมกันหมดแล้วนะ พวกเราจะได้ออกเดินทางกันสักที” หลังเดินทางมายังศูนย์วิจัยในเขตทางตอนเหนือ เสียงของอาจารย์ที่จะเป็นคนนำทีมเข้าป่าก็พูดขึ้น
โดยการสำรวจป่าทางตอนเหนือในครั้งนี้ ทีมของเปอร์ก็จะมีกันราว ๆ สี่ห้าคนเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล ซึ่งพวกเขาก็เลือกที่จะเข้าป่ากันในช่วงฤดูหนาว เพราะจากการเก็บข้อมูลและพยายามศึกษามนุษย์หมาป่าเท่าที่พอจะทำได้ พวกเขาก็พบว่ามนุษย์หมาป่ามีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกับหมาป่าปกติทั้งทางกายภาพและพฤติกรรม นั่นก็คือมันจะผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว
ซึ่งมันก็เป็นช่วงนี้นี่แหละ
“แล้วเราจะเริ่มงานกันตั้งแต่วันนี้เลยไหมคะ” หนึ่งในทีมที่ต้องเข้าป่าด้วยกันถามขึ้น
“อาจจะไม่ เพราะพวกเราต้องไปดูสถานการณ์หน้างานจริงก่อน” ผู้ดูแลตอบกลับมาและอธิบายต่อให้เข้าใจตรงกัน “ฟังนะทุกคน หลังเดินทางไปถึงที่หมายแล้วสิ่งแรกที่พวกเราต้องทำคือตต้องตั้งเต็นท์ก่อน เพราะพวกเราต้องนอนในป่า ดังนั้นสถานที่หลับนอนของพวกเราจึงสำคัญมาก”
“...”
“ถ้าพวกเราตั้งเต็นท์เสร็จเร็ว เราก็อาจจะได้เริ่มงานวันนี้เลย และถ้าพวกเราทำการสำรวจและเก็บข้อมูลเสร็จก่อนเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ พวกเราก็จะได้เดินทางออกจากป่าก่อนกำหนดการ”
ทันทีที่เปอร์ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขามีความกระตือรือร้นที่อยากจะทำงานนี้และรีบออกมามากขึ้น จากที่ตอนแรกเปอร์เอาแต่ฟุ้งซ่านคิดหาวิธีที่จะทำยังไงก็ได้ไม่ให้ตัวเองได้เข้าป่าที่เป็นเขตของคาร์เตอร์
“ทางศูนย์ให้เต็นท์มาจำนวนทั้งหมดสามหลังนะ นั่นก็หมายความว่าจะมีหนึ่งคนในนี้นอนคนเดียว” เสียงของอาจารย์ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเวลาต่อมาทั้งหมดได้เดินทางมาถึงพื้นที่ทางตอนเหนือแล้ว และก็เพิ่งจะหาสถานที่เหมาะ ๆ ในการตั้งฐานที่อยู่ในป่าตลอดทั้งสองถึงสามวันได้
“แล้วเราจะใช้วิธีไหนในการจับคู่เหรอครับ” เปอร์ถามออกไป
“เพื่อความยุติธรรมเดี๋ยวเราจับฉลากก็แล้วกัน เพราะถ้าอาจารย์จับคู่ให้เองบางคนก็อาจคิดว่ามันไม่แฟร์เท่าไร”
“ครับ เราเอาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” เปอร์พยักหน้าเห็นด้วย
“โอเค ถ้ายังไงระหว่างนี้ทั้งหมดก็ช่วยกันตั้งเต็นท์ไปก่อนนะ เพราะหน้าหนาวแบบนี้ท้องฟ้ามันมืดเร็ว ส่วนอาจารย์ก็จะขอไปทำฉลากก่อนแล้วพวกเราค่อยมาจับกัน”
เมื่อตกลงหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว เปอร์ก็ทำการช่วยเพื่อนในทีมกางเต็นท์ตามคำสั่งของอาจารย์ทันที โดยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนร่วมทีมก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น เปอร์ไม่ได้รู้สึกสนิทสนมกับเพื่อนในทีมเหมือนอย่างเจเน็ต เนื่องจากเขาไม่ได้มีความชอบที่คล้ายคลึงกับคนในทีม
เขาก็แค่แสร้งทำเป็นว่าชื่นชอบเรื่องมนุษย์หมาป่าเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเขาทำทุกอย่างเพื่อเงินต่างหาก
“เสียง? เสียงอะไรน่ะ ทุกคนได้ยินเหมือนกันหรือเปล่า?” ขณะที่กำลังช่วยกันกางเต็นท์อย่างขยันขันแข็งก่อนที่ดวงตะวันจะลับขอบฟ้าไป เสียงของเพื่อนในทีมก็ดังขึ้นด้วยอาการตื่นตระหนก เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนคล้ายกับคนที่กำลังถูกทรมาน
“ทุกคนก็ได้ยินเหมือนกันหมดนั่นแหละ” เปอร์ตอบกลับไปเสียงนิ่ง พยายามไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาทั้งที่เขากลัวมากกว่าใครในนี้
“แล้วทำไมนายถึงดูนิ่งจัง? หรือว่านายรู้ว่ามันเป็นเสียงของอะไร”
“อืม ฉันรู้” เปอร์พยักหน้ารับพร้อมกระแอมเสียงเบา ๆ ในลำคอ เมื่อเขารู้สึกว่าเสียงของเขากำลังสั่นมาก “มันเป็นเสียงของหมาป่า”
“...”
“ตอนสามปีก่อนตอนที่ฉันหลงป่า ฉันได้ยินพวกมันส่งเสียงแบบนี้แหละ ตัวผู้มันชอบหอนเวลาที่ได้กลิ่นตัวเมีย” เขาว่า ซึ่งข้อมูลนี้เปอร์ก็ได้มาจากลุงนิคที่เคยบอกกันเอาไว้